กราบเรียนท่าน อาจารย์ จิระ หงส์ลดารมภ์ วันนี้ผลขออนุญาต นำบทความลงBlog อาจจะมีความคิดเห็นดี ๆ มีประโยชน์ เรียนรู้ไปด้วย..นะครับ
ยำสามกรอบ (พิเศษ)
ตระเวนการศึกษาไทย 23-24 แต๊ะเอียครู :แต๋ะอั๋งการศึกษา
23 ตรุษจีน : Unseen : คุรุสภา
ปัง! ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ...
ผมพนมมือกำธูป 9 ก้าน สำหรับอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแด่ ปู-ย่า ตา-ยาย เจ้ากรรม-นายเวร และวิญญาณผู้เสียชีวิตเพื่อสังคม
ภายใต้ดวงจิตอันนิ่งสงบ ผมสัมผัสได้ถึงเสียงประทัดที่รัวเร็ว และกลิ่นธูปหอมที่อบอวลในวันตรุษจีน ปี’ 52
ภายใต้ดวงตาที่พริ้มสนิท ผมนึกย้อนไปถึง Count Down ปีใหม่หมาดๆ ที่สนุกด้วยความตายกันทุกปี
นึกถึงวันเด็กที่ผู้ใหญ่ส่วนกลางจัดให้เด็กเล่นปืนและรถถังสงครามที่ไม่เคลื่อนไหวและไร้กระสุน
นึกถึงวันครูที่ให้อารมณ์ขรึมขลังถ่อมตนเจียมตัวในความยิ่งใหญ่แห่งวิชาชีพแต่เป็นหนี้เป็นสินระดับชาติ
ภายในมกราคมเดือนเดียวเราได้สัมผัสอารมณ์ที่หลากหลายบนความสนุกเริงร่าบนพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ง่อนแง่น
วันตรุษจีนปีนี้ (25-26 มกราคม 2552) ผมจึงรำลึกถึงบรรพบุรุษ บูรพาจารย์ด้วยความกตัญญูและภาวนาคาถาสั้นๆ ว่า... “พอเพียง” แล้วนำธูป 9 ก้าน (ก่อนเถ้าก้อนแรกจะร่วง) ไปปักสถานที่ต่างๆ ดังนี้
ธูปก้านแรกปักที่ประตูเก่าโบราณ (สีแดง) ของคุรุสภา
ธูปก้านสองปักที่กำแพงวังจันทรเกษม (หลังสกสค.)
ธูปก้านสามปักที่ริมคลองเม่งเส็งหน้าหอพัก
ธูปก้านสี่ปักที่จุดเชื่อมคลองผดุงกรุงเกษม
ธูปก้านห้าปักที่มุขหลังหอประชุม
ธูปก้านหกปักที่มุขที่ประทับในหอประชุมชั้น 2
ธูปก้านเจ็ดปักที่โต๊ะทรงพระอักษร ร.6 (หอสมุด)
ธูปก้านแปดปักที่อาคารราชวัลลภ (อาคารกระทรวงศึกษาธิการ)
ธูปก้านเก้าปักที่ตู้เก็บบันทึกการประชุมกรรมการคุรุสภาตั้งแต่ครั้งที่ 1 (2487) ถึงปัจจุบัน
ไม่มีใครบอกผมว่าธูปเก้าดอกควรปักที่ใด แต่เสมือนจิตบันดาลว่าผมน่าจะไปปักที่นั่นทั้ง 9 ที่ ซึ่งเสมือนมีพลังจิตแห่งบรรพบุรุษ บูรพาจารย์กำกับอยู่ เป็นพลังที่อ่อนโยน แผ่วเผินและวนเวียนอยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน
ผมจึงไม่แปลกใจ ที่มักจะได้ยินเรื่องพลังอันเร้นลับ ที่เล่าขานกันในหมู่เจ้าหน้าที่คุรุสภายามดึก ว่าจะได้ยินเสียงแว่วๆ ของมโหรีในหอประชุม ได้ยินเสียงบู๊ทบนพื้นไม้เก่าในอาคารราชวัลลภ ได้ยินเสียงพลิกหน้าหนังสือในหอสมุดคุรุสภาเมื่อล่วงหลังสองยาม
ครับในยามสงัด เมื่อทุกอย่างสงบ บางอย่างที่สถิตย์อยู่อาจทำให้เรามีโอกาสได้สดับและผมยืนยันได้โดยสัมผัสพิเศษว่าพลังที่สถิตย์และวนเวียนอยู่ที่คุรุสภาเป็นพลังด้านดีงามซึ่งคุ้มครองลูกหลานและ“สภาครู”แห่งนี้เสมอ
หลายครั้งที่ผมมาจากต่างจังหวัดในเวลาดึกมักได้กลิ่นโบราณแบบดอกไม้ไทยที่กรุ่นกลิ่นระรื่นเป็นระยะ
จึงเป็นความรู้สึกที่สุขแบบปิติในดึกอันเงียบงามเมื่อได้สูดอากาศที่ฉ่ำเย็นด้วยไอน้ำค้างผสมอายหอมซึ่งไม่เห็นที่มา
ผมเคยนึกครื้มๆ ว่า เออ! หนอคุรุสภาก็มี UnSeen ที่ไม่ค่อยมีใครได้สัมผัสและเห็นเหมือนผมในยามที่โลกหลับไหล
24 “ตะเพินคี่” : นรกหรือสวรรค์
วันครู ปี 2552 นับเป็นการจัดงานวันครูครั้งที่ 53 และทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมได้ดำรงตำแหน่ง “คุรุชน” มาครบ 1 ปี แล้ว
ในเส้นทางตระเวนการศึกษาไทยก็ผ่านไปยี่สิบกว่าตอน ทำให้เพื่อนครูเราทั่วประเทศได้เห็นเส้นทาง-เนื้องานของคุรุชนที่เคลื่อนไปพบครูและเด็กของเราในจุดลี้ลับ ในซอกมุมของไทย
แต่เมื่อคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคุรุชนให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิของคุรุสภาทำให้เส้นทางที่ถูกกำหนดเป็นลำดับ 1-54 จุดทั่วประเทศจึงต้องปรับใหม่
นั่นคือจะไม่เคลื่อนตามลำดับตามแผนที่ แต่จะใช้คุรุสภาเป็นศูนย์กลางที่จะพุ่งต่อไปใช้บ้านพักครูริมทะเลเป็นฐาน เพราะจิตวิญญาณความเป็นครูของผมถูกหล่อหลอมมาจากที่นี่
ด้วยเหตุนี้...พอหลังวันครูปั๊บผมก็เตลิดซิครับ ถอดไทด์สลัดสูททิ้ง แปลงร่างเป็น “คุรุชน” เหวี่ยงเป้คู่ใจขึ้นบ่าคาดขะม้าเคียนพุงเพิ่มความกระชับ แล้วลงมาเตร็ดเตร่หน้าหอประชุม
ครู่เดียวน้องสมชาย รัตนอารี ผอ.ร.ร.วัดประชานาถ, นครไชยศรี ก็ควบแคริเบียนดำจอมลุยโฉบมารับผมออกไปจากความวุ่นวายของเมืองหลวง
เพียงห้านาทีผมก็ได้กลิ่นดินชนบทที่นครปฐม สมชายฯ ชลอรถเล็กน้อย เพื่อรับผู้ร่วมงานน้องประเสริฐ ประกายรุ่งรัศมี ผอ.ร.ร.บ้านพลินวัฒนา ก็โยนกระเป๋าเข้าในรถ แล้วก็มุดตัวเองตามเข้ามาโดยไม่อิดออด แต่ดูทุลักทุเลหน่อยเพราะรูปร่างของสหายเก่าจากสวนสามพรานนั้นสูงยาวเข่าดีดูไม่สอดรับกับโครงสร้างของแคริเบียนน้อย
แต่สามหนุ่ม “คุรุโรย” ก็ควบขับเจ้าม้าแคระซูซูกิคันนี้ไปจนได้
ครับ เป้าหมาย “ด่านช้าง” สุพรรณบุรี เขตป่าเขาช่วงรอยต่ออุทัยธานีและกาญจนบุรี
ช่วงปลายหนาว ซึ่งปีนี้หนาวนานอากาศแห้ง ดินโหย ฟ้าดูหม่น
หลังจากโขยกกันมาหลายชั่วโมง หลุดจากตัวอำเภอด่านช้างไป ก็ผ่านบ้านทุ่งมะกอก
เป้าหมายวันนี้อยู่ที่บ้านวังยาวรถไต่เนินขึ้นเขาไปตามลำดับที่เราแทบไม่รู้ตัว ยอดสุดท้ายที่เจ้าแครี่ดำตะกายขึ้นไป ผมเห็นบ้านหลังคาขาวตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางหมอกหม่นบนดอยสูง
ที่นั่น ครูแดงกับแบงค์ ลูกชายยืนคอยอยู่แล้วในช่วงเย็นโพล้เพล้ แสงเหลืองอ่อนของแดดผีตากผ้าอ้อมให้ความรู้สึกปีติสุขทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมพบครูในพื้นที่กันดารเสี่ยงภัยและสัมผัสกับธรรมชาติบริสุทธิ์
ครูแดงหรือนิภาพร น้ำค้าง เป็นครูดีเด่นสมัยปี 2546 สมัย 4-5 ปีที่แล้วเธอพาผมลุยป่าเขาแถวศรีสวัสดิ์-ทองผาภูมิซะพรุน ผมจำได้ว่าสมัยนั้นเธอมีครูคู่แข่งที่มงฟอร์ดวิทยาลัยซึ่งเก่งและอลังการมาก แต่ครูแดงเฉือนเข้าป้ายไปกับเด็กชาวเขามอมแมมด้วยจิตวิญญาณครูที่ทุ่มเทอย่างลึกซึ้งและเนิ่นนาน
วันนี้ผมจึงมาพบเธออีกครั้งเมื่อรู้ว่าเธอหอบหิ้วเจ้าลูกแบงค์ขึ้นป่าเขาไกลกว่าร.ร.ศึกษาสงเคราะห์เดิมของเธอที่อยู่ใกล้เมืองพนมทวน
วันนี้แบงค์โตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยที่ดูแลแม่ได้แล้ว และผมพบว่า “แดง” ยังคงอุดมการณ์เดิม หนักแน่น-ทุ่มเท เป็นครูแม่แดงของเด็กๆ อย่างต่อเนื่อง
ในอุณหภูมิ 10 องศาเราห่อตัวหมกไฟคุยกันถึงความฝันในคืนวันเก่าๆ กับก้าวใหม่ในอนาคต พร้อมกับปัญหาเด็กและการศึกษาทรุดโทรมเช่นเดิม
ในเปลวไฟที่โฉบพริ้วเหนือกองฟืน ผมเห็นประกายตาของน้องๆ และหลานแบงค์ วาบวาวสู้ไฟยามราตรีไม่มีประกายเจิดจ้า แต่สงบนิ่งและมั่นคงจนผมทึ่งและอุ่นใจ
เสียงนกราตรีบินผ่านไปพร้อมเสียงกังวาล หลังจากบรรจุมื้อค่ำลงกะเพาะแบบยืดเยื้อแกล้มด้วยเหล้าป่าเพื่อป้องหนาวและด้วยบรรยากาศการแลกเปลี่ยนทางความคิดอย่างหิวโหยของพวกเรา ทำให้เวลาดูเหมือนจะเคลื่อนผ่านไปไวนัก
คืนนั้นเราใช้ภูเขาเป็นหมอน ใช้พงไพรเป็นแพรห่ม ปล่อยให้แอร์คอนดิชั่นพระเจ้าบ่มใจ อืม...มันเย็นจนได้ยินเสียงหมาครางและคนครวญ!
เมื่ออรุณรุ่งมาเยือนดูเหมือนแสงตะวันต้องเบียดตัวขึ้นมาจากกลุ่มหมอกเช้าอันเย็นฉ่ำ
เราเตรียมลุยต่อนั่นคือขึ้นเขาผ่าอุทยานพุเตย เป้าหมายหมู่บ้านกะเหรี่ยง “ตะเพินคี่”
เช้านี้ “ครูแดง” พาพวกเราไปฝากไว้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เปิดร้านอาหารใกล้ๆ โรงเรียนบ้านวังยาว
ครูแดงสั่งเปิดบัญชี ทิ้งเราไว้ แล้วไปโรงเรียน
ในเวลาครึ่งชั่วโมงของอาหารเช้าผมเห็นความสัมพันธ์ของประชาชนที่ตื่นตัวกับครูที่ก้าวหน้า ในชุมชนที่ด้อยโอกาส
ครับ “คุรุชน” แอบยิ้มกับความหวังเล็กๆ ในการพัฒนาสังคมไทยด้วยปฏิสัมพันธ์เช่นนี้
เราไม่ต้องสู้กับใคร...แต่
เราจัดความสัมพันธ์อันดีงามให้เหมาะสมและลงตัว ทุกอย่างจะเคลื่อนไปด้วยความตั้งใจเล็กๆ เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจของคนตัวน้อยๆ ในชุมชน
เจ้าแคริเบียนดำเลื้อยปราดขึ้นเขาที่ผมไม่รู้สภาพ คลานผ่านร่องน้ำแต่ละร่องขึ้นไป ตะกายหินขึ้นไปอย่างช้าๆ บางจังหวะที่ไม่มั่นใจ น้องสมชายฯ สั่งคุรุชนให้ลงดูเส้นทางและทำสัญญาณให้ก้าวย่างไม่เบี่ยงพลาด
หลายช่วงที่เจ้าแครี่ดำไต่และครางไปโดยปล่อยให้คุรุชนเหยะย่างพร้อมหายใจฟืดฟาดตามหลัง เราผ่านจุดที่เลาดาห์แอร์ตก เมื่อ 26 พฤษภาคม 2534
ผมภาวนาให้ทั้ง 223 วิญญาณไปสู่สุขคติ และขอให้มนุษย์ปัจจุบันรอบคอบอย่าระเริงกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจนพระเจ้าเขม่น
เราทุลักทุเลขึ้นไปจนจวนถึงสวรรค์ ในอากาศยะเยือก มีสายหมอกระเรี่ย ดอกไม้ระริกล้อลมหนาว
สาบานได้ครับบรรยากาศนั่นน่ะสวรรค์แน่
แต่เด็กและโรงเรียนที่ผมเห็นนั้นไม่แน่ใจ
บนนั้นผมพบครูมานัส เมืองช้าง ครูคนเดียวของห้องเรียนตะเพินคี่ที่ดูกร้านแกร่ง สวมเสื้อยืดปอนปอนแต่วิญญาณครูกลับแจ่มจรัสจากสัมผัสทางใจของผม
เขาสอนเด็ก ป.5 ให้การบ้าน อธิบาย ป.4 สั่งการ ป.3-ป.2 ให้อ่านหนังสือในรัศมีสายตา แล้วพัวพันจูงไปจูงมากับ ป.1
แถมยังบรรยายสรุปให้ผมฟังพร้อมเปิดเวบไซด์ของงานใน ร.ร.ให้ผมดูพร้อมสรรพ
ว้าว! ในร.ร.ที่พื้นห้องเปื่อยผุหลังคาโหว่ ห้องส้วมเสีย พระเจ้ามักบรรดาลครูดี-เก่งมาให้เสมอ
ผมดีใจที่หนูโซ่วีรี่สาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ได้คุณครูมานัสไปครอง
แต่ผมก็กังวลว่า สพฐ. จะสูญเสียครูดีและเก่งไปหรือเปล่าเพราะวันนี้ครูมานัสฯ เป็นเพียงครูตำแหน่งพนักงานราชการเท่านั้น
ครูมานัสฯ บอกผมด้วยหน้าหม่นเหมือนหมอกบ่ายว่า
...” ไม่รู้ปีหน้าเขาจะจ้างผมต่อหรือเปล่า”...
ในคำถามที่ว่างเปล่าเขาทอดตาดูเด็กๆ กะเหรี่ยงน้อยๆ ด้วยความกังวล
คุรุชนไม่มีคำตอบในวันนั้น
แต่ “พี่สาว” ผมคงช่วยได้ในวันต่อไป