ภายหลังการประชุมร่วมกับหอพักยุติลงในช่วงหกโมงเย็นเศษ ๆ (11 ธันวาคม 2551) ผมก็เดินทางเข้าร่วมเป็นเกียรติ
ในงานเลี้ยงรับรองกลุ่มบรรดาสภานิสิตจากเครือ “เทา – งาม” ที่มาร่วมโครงการ “สัมมนาสภาห้าเทาสัมพันธ์
ครั้งที่ 3”
โครงการดังกล่าวนี้เป็นความร่วมมือของสภานิสิตจากมหาวิทยาลัยที่แยกตัวออกมาจาก “มศว” หรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ
“มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว ประสานมิตร) มหาวิทยาลัยบูรพา (มศว บางแสน) มหาวิทยาลัยทักษิณ (มศว สงขลา) มหาวิทยาลัยนเรศวร (มศว พิษณุโลก) และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มศว มหาสารคาม)
กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2549 โดยครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นจากแรงบัลดาลใจที่บรรดาผู้นำนิสิตได้เข้าร่วม
กิจกรมเทางามสัมพันธ์ ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นเจ้าภาพ และครั้งนั้นก็พามวลสมาชิกทั้งหมดไปจัดกิจกรรมแบบบูรณาการที่ “ประเทศลาว” มีทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม วิชาการ นันทนาการ กีฬา และอาสาพัฒนา
ภายหลังกิจกรรมเทางามสัมพันธ์ที่ประเทศลาวยุติลง กลุ่มสมาชิกสภานิสิตก็รวมตัวกันจัดโครงการในชื่อ “สัมมนาสภาห้าเทา” ขึ้นมา เพื่อเปิดพื้นที่ทางความคิดในกลุ่มของสภานิสิตได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ขณะที่กิจกรรมเทางามสัมพันธ์ ก็ยังคงดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็จัดติดต่อกันมาเป็นครั้งที่ 12 แล้ว
จะว่าไปแล้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ส่งเสริมและสนับสนุนให้สภานิสิตได้เข้าร่วมเวทีการสัมมนา หรือแม้แต่การอบรมในโอกาสต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าสภานิสิตได้รับโอกาสในการเรียนรู้โลกภายนอกอย่างหลากหลายและสม่ำเสมอ แต่จะสามารถพัฒนาโลกทัศน์ตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ยังเป็นโจทย์ที่ผมกังขาอยู่ไม่ใช่น้อย
หรือแม้แต่กิจกรรมการสัมมนาในทำนองนี้จะเกิดดอกผลทางปัญญาที่ขับเคลื่อนให้กระบวนการทางด้านกิจกรรมนิสิตพัฒนาไปอย่างเป็นรูปธรรมได้มากน้อยหรือไม่นั้น นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมยังไม่อาจปล่อยวางและนิ่งเฉยไปเสียทั้งหมด เพราะเป็นที่รู้ ๆ กันทั่วประเทศว่า สภานิสิตนักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัย ก็ล้วนแล้วแต่ทำงานกันอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่สามารถทำงานในบทบาทของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการสัมมนาในแต่ละเวทีก็ถกคิดถึงเรื่องนี้กันทุกครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงในสภาพเดิม ๆ เสมอ
แต่ก็อย่างว่า ในฐานะของคนต้องดูแลและพัฒนานิสิต ผมเองก็ไม่เคยสิ้นหวังกับกระบวนการเหล่านี้เสียเท่าไหร่ และยังคงย้ำกับทีมงานเสมอว่า ให้โอกาสกับการเรียนรู้แก่นิสิตอย่างเต็มที่ ให้เขาได้คิดและได้ทำในสิ่งที่เขาคิด แต่ต้องไม่ลืมที่จะย้ำให้เขา “ถอดบทเรียน” ในสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาตัวเขาและองค์กรของเขาเอง
สภาพการณ์เช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่กระมัง เพราะในความเป็นจริงนั้น ในแวดวงการทำงานของผู้ใหญ่ ก็คงมีไม่น้อยที่ล้มเหลวกับกระบวนการสัมมนา หรืออบรม โดยการทุ่มงบประมาณลงเยอะ ๆ และสุดท้ายก็ไม่สามารถค้นพบองค์ความรู้ใหม่ หรือไม่สามารถนำความรู้ที่ได้จากเวทีเหล่านั้นมาปรับแต่งการทำงานให้พัฒนาขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงกระตุ้นให้สภานิสิตออกไปทำค่ายเล็ก ๆ ของตัวเองในหมู่บ้านใกล้ ๆ หรือไม่ก็จับมือกับองค์กรอื่น ๆ ออกไปให้บริการแก่สังคมบ้าง หรือไม่ก็ให้ไปเสวนากันแต่เฉพาะกลุ่มบ่อย ๆ รวมถึงการหอบหิ้วพวกเขาตระเวนเยี่ยมค่ายในที่ต่าง ๆ เพราะไม่ปรารถนาให้เขารอคอยแต่จะเปิดประชุมเพื่อพิจารณาโครงการสถานเดียว
การเสนอแนะเช่นนั้น เพียงเพราะต้องการให้เขาเรียนรู้จากการลงมือทำ มากกว่าเรียนรู้จากเอกสาร และไม่อยากให้เขาติดยึดกับการนั่ง “วางมาดเข้ม” พิจารณาและกลั่นกรองโครงการอยู่แต่ในห้องประชุม โดยไม่แยแสต่อการออกไปร่วมสัมผัสจริงกับคนทำงานว่า “มีชะตากรรม” กันอย่างไรบ้าง
สิ่งเหล่านี้ หากไม่ก้าวออกไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง การมานั่งพิจารณาโครงการโดยขาดประสบการณ์ของการลงพื้นที่ ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า แทนที่จะพัฒนาและสนับสนุนการทำงานขององค์กรอย่างเข้าใจและเห็นใจ แต่กลับอาจส่งผลให้กำกับดูแลไปบนพื้นฐานที่ปราศจากความเป็นจริงไปโดยปริยาย ก็เป็นได้ ...
และสำหรับในค่ำคืนนี้ ทีมงานสภานิสิต ได้เชิญ “วงแคน” มาร่วมบรรเลงเป็นเจ้าภาพต้อนรับ พร้อม ๆ กับการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญตามธรรมเนียมอีสาน “รับขวัญ” ผู้มาเยือนประดุจญาติมิตรที่เดินทางมาเยี่ยมเยือน โดยมี “พาแลง”
ในแบบอีสาน ๆ เป็นอาหารเย็นให้ร่วมรับประทานกันแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ภายใต้บรรยากาศอันเย็นสบาย และอบอุ่น
นี่คือ น้ำใสใจจริงของการเป็นเจ้าภาพที่ยินดีเป็นยิ่งนักกับการได้ต้อนรับมิ่งมิตรผู้มาเยือน การนำพาศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นอีสาน ทั้งในมิติของดนตรี อาหาร และพิธีกรรมมาสื่อสารกับผองเพื่อนเช่นนี้ ก็ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งของการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเชิงวัฒนธรรมด้วยเหมือนกัน
สำหรับผมแล้ว บรรยากาศเช่นนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายและอบอุ่นเป็นที่สุด
ส่วนเวทีการสัมมนาจะประสบความสำเร็จกี่มากน้อยนั้น ก็ยังคงต้องดูและเชียร์กันต่อไป
และพรุ่งนี้ ผมเองก็จำต้องขึ้นเวทีเป็น “วิทยากร” ในเวทีนี้อีกครั้ง
ส่วนจะออกหัวออกก้อยอย่างไรนั้น , ... ก็สุดแท้แต่บุญแต่กรรมก็แล้วกัน
ชอบการตกแต่งทางเข้างาน สวยมากค่ะ
คุณแผ่นดินขึ้นเวทีกี่ครั้งก็สุดแท้แต่บุญ บุญ และบุญ เป็นบุญของน้องๆในงานต่างหากค่ะโชคดีได้ผู้นำเป็นแบบอย่างเช่นนี้ ขอสำเนามาอยู่รั้วสีม่วงสักคนสิคะ
เห็นภาพบรรยากาศแล้วประทับใจค่ะ รอยยิ้มของผู้รำบ่งบอกว่าต้อนรับ อดประทับใจตามไปด้วยจริงๆ