ขณะนี้ในสังคมไทยมีการใช้คำว่า “อหิงสา” กันค่อนข้างจะบ่อยมาก ผมลองค้นคว้าเรื่องหลักอหิงสา พบว่าคอลัมน์ “หน้าต่างความจริง” ที่ท่านอาจารย์ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมานี้ ท่านมีการอธิบายที่ค่อนข้างชัดเจนดีมาก จึงคัดลอกมา (บางส่วน) เพื่อได้ให้อ่านกัน ดังต่อไปนี้
คานธีมีความเชื่อว่า ในส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์นั้นมีคุณธรรมและความจริงซ่อนอยู่ในตัว ท่านอธิบายว่าเราอาจจะเคยได้ยินคนที่ปฏิเสธพระเจ้า (God) แต่เราจะไม่ได้ยินคนที่ปฏิเสธความจริง (Truth) แม้แต่บุคคลที่เลวที่สุดหรือโง่ที่สุดก็ยังมีความจริงบางอย่างอยู่ในตัวของเขา เราทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความจริงสากลของธรรมชาติทั้งหมด
ด้วยการปฏิบัติแบบ “อหิงสา” ความจริงหรือคุณธรรมในตัวของมนุษย์จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในจิตสำนึก และไม่ว่ามิตรหรือศัตรูก็จะกลายเป็นบุคคลที่รักความจริงและความเป็นธรรมในที่สุด ถ้าเป็นมิตรก็จะเป็นมิตรที่ดียิ่งขึ้น ถ้าเป็นศัตรูก็จะค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีจากศัตรูกลายเป็นมิตรในที่สุด คานธีมีความเชื่อมั่นในมนุษยชาติมาก ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว หากได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ทุกคนไม่มียกเว้น
ดังนั้น การใช้ความรุนแรง การประหัตประหาร หรือสงคราม จึงถือเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะเท่ากับเป็นการสิ้นหวังในมนุษยชาติ เป็นการทำลายคุณธรรมและความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน และเป็นการปลุกธรรมชาติฝ่ายต่ำของมนุษย์ให้แสดงพละกำลังออกมา อันกลายเป็นการจองล้างจองผลาญไม่มีที่สิ้นสุด วิธีที่จะเอาชนะความชั่วจึงไม่ได้อยู่ที่การทำลายคนชั่ว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนจิตใจของคนชั่วโดยไม่ทำความชั่วตอบ คานธีได้ย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ให้เกลียดชังความเลวแต่อย่าเกลียดชังคนเลว เพราะทุกคนมีโอกาสกลับตัวเป็นคนดีได้เสมอ
ผมเห็นว่าถ้าจะใช้หลักอหิงสาได้ จิตใจของเราต้องเปี่ยมไปด้วยเมตตา ต้องสามารถรักคนทุกคนได้ แม้กระทั่งคนที่อยู่คนละฝ่ายหรือที่คิดไม่เหมือนเรา !!
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ตรงกับประเด็นของกลุ่มคำนี้ไหมคะ
ขอบคุณค่ะ..อาจารย์ฝึกให้ครูอ้อย คิดอีกแล้ว..ดีจัง
ก็ขอร่วมสนับสนุนแนวความคิดด้วยคน ถูกต้องที่สุดครับความรักช่วยแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ที่สำคัญเมื่อเรามีความคิดไม่เหมือนกันเราจะนั้งแล้วหันหน้าเข้าหากันได้หรือไม่ หาเหตุผล หาจุดลงตัว แน่นอนที่สุดเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ แต่เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ดิฉันสอนลูกและบอกน้องๆในที่ทำงานเสมอว่า " ถ้าเรายังมองไม่เห็นความดีงามในตัวคนอื่น เราเองน่ะแหละที่ยังไม่ฉลาดพอ"
ผมเสริมคุณดวงใจนิดหนึ่งครับ . . . พอดีเพิ่งอ่าน The Last Lecture จบ . . . ในนั้น Randy Pauch พูดไว้คล้ายๆ กันว่า "ถ้าเรายังมองไม่เห็นความดีงามในตัวคนอื่น แสดงว่าเรายังไม่ให้เวลามากพอ" อะไรทำนองนั้นครับ
ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ถ้าเราไม่เคยคิดรักตัวเอง ไหนเลยจะคิดรักผู้อื่นได้
และถ้าเรายังไม่เคยเห็นความดีงามของตัวเอง ไหนเลยจะมองเห็นความดีงามของผู้คนในโลกใบนี้ได้
สำหรับแนวคิดของดิฉัน ..ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ต้วเราค่ะ.
ชอบมากกับแนวคิดที่ว่า ให้เกลียดชังความเลว แต่จงอย่าเกลียดช้งคนเลว ..ใช่เลยค่ะ
ผมเองก็เชื่อว่า . . . ต้องเริ่มต้นที่ตนเองก่อนเป็นอันดับแรกครับ
เข้ามายกมือค่ะ
ได้ความคิดดีๆเสมอค่ะ
สวัสดีครับ
ถ้างานไม่ยุ่งจนเกินไป ดิฉันก็จะจัดสรรเวลามาแวะอ่านสาระดี ๆ ของทุกท่าน ประทับใจและได้ความคิดใหม่ ๆ จรรโลกใจให้เกิดปิติสุขด้วยค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านที่แบ่งปันสิ่งดีงามค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ Handy มากครับ ที่นำรูปอาจารย์ทวีวัฒน์มาลงให้พวกเราดู ผมรู้สึกชื่นชมท่านมากครับ
ขอบคุณ ครูตา เช่นกันครับ สำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของ "ชุมชน" นี้
ตามมาอ่านค่ะ ชอบมากๆเลย
เคยได้ยิน แพทย์ รุ่นพี่ สอน และ บอก ลูกศิษย์ เกี่ยวกับให้รักคนไข้ ไม่ใช่รักษาแต่โรค มองแต่โรค
คิดๆต่อ ว่า เอ พอเขาป่วย แพทย์ พยาบาลเจ้าหน้าที่ ผู้ให้การรักษา จึงจะรัก หรือ
ถ้าไม่ป่วย ไม่รัก หรือไง
เออ ก็ งง ๆ เอามานั่งคิดต่อ
เลย คิดได้ สรุปในใจตนได้เหมือนกับอาจารย์ บล็อกนี้เลยค่ะ
ถูกใจ โดนใจจริงๆ กับทีอาจารย์ เขียนว่า
ต้องสามารถรักคนทุกคนได้ แม้กระทั่งคนที่อยู่คนละฝ่ายหรือที่คิดไม่เหมือนเรา !!
ขอบคุณ คุณหมอรวิวรรณสำหรับ "อาหารใจ" และครูปูสำหรับ "อาหารตา" . . . ทำให้หิวข้าวขึ้นมาทันที
ดีใจจังเลยค่ะ วันนี้ได้เข้ามาเจอบทความมีสาระอย่างนี้
พอดีว่าดิฉันกำลังศึกษาอยู่ แล้วมีความสนใจทำรายงานวิชาภาษาอังกฤษ
มาเจอเรื่องนี้ตรงกับเรื่องที่เขียนอยู่พอดี
ขอบคุณมากนะคะที่นำสาระดีๆอย่างนี้มาเผยแพร่
ด้วยความยินดีครับ คุณ NaruemonNB