ขันธ์ดับมิใช่ขันธ์แตก
ข้อมูลในการเรียบเรียง : ธรรมบัญชา โดย บัญช์ บงกช
“...ก็มรณะ...ความแตกแห่งขันธ์”
พุทธพจน์ทรงกล่าวเช่นนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน “แตก” แปลว่าแยกออกจากส่วนรวม ความแตกแห่งขันธ์ หรือขันธ์แตก จึงแปลว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกออกจากกันซึ่งเรียกว่า “ตาย” เหล่าสัตว์เมื่อตายแล้วกรรมไม่ดับ ยังเหลือเชื้อกิเลสอยู่แพร่ออกไปถูกเกาะเกี่ยวด้วยธาตุรู้เป็นวิญญาณใหม่ปฏิสนธิขึ้นไปเกิดในภพใหม่อีก เวียนว่ายอยู่เช่นนี้ไม่รู้จบ ส่วนคำว่า “ดับ” แปลว่าสูญสิ้นไป เช่นวิญญาณดับ ถ้าใช้กับพระพุทธเจ้าก็เท่ากับดับวิญญาณขันธ์ให้สูญสิ้นไป ไม่มีกรรม หมดเชื้อกิเลส ไม่เกิดในภพใหม่อีก เป็นการดับรอบ คือปรินิพพาน ซึ่งแตกต่างจากการตายที่จะต้องมีการเกิดเป็นของคู่กันเสมอไป
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะกิเลสได้เด็ดขาด
กิเลสที่ทรงชนะแล้วไม่ติดตามพระองค์ไปอีก
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระสัพพัญญุตญาณหาที่สุดมิได้
ไม่ไปตามทางของกิเลสแล้ว พวกเธอจะนำท่านไปตามทางไหนเล่า”
(พุทธวจนในธรรมบท เสถียรพงษ์ วรรณปก)
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงดับกิเลสได้สิ้นแล้ว ทรงมีพระปรีชาญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวงทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคต หาที่สุดมิได้ กิเลสมาร ตามพระองค์ไม่ได้แล้ว มัจจุมาร (ความตาย) ไม่น่าจะตามพระองค์ได้เช่นกัน เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในที่สุดน่าจะแตกต่างกับความหมายที่แปลว่าความตายของสัตวโลกอย่างตรงกันข้าม ไม่น่าจะนำท่านมาสู่ความตายอีก
ดับวิญญาณคือการดับรอบ
ณ พระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัดในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิหลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไปจึงดำรงอยู่ เพราดำรงอยู่จึงยินดีพร้อมเพราะยินดีพร้อมจึงไม่สะดุ้ง เพราะไม่สะดุ้งย่อมดับรอบเฉพาะตนเธอย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว”
..... เพราะหลุดพ้นไปจึงดำรงอยู่ (อมตนิพพาน) นิพพานเป็นสิ่งไม่ตาย ยืนยง มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นการดับรอบจากวัฏสงสารพ้นมาจากวัฏสงสารแล้วไม่กลับไปอีก จึงแตกต่างกับความหมายที่แปลว่า “ตาย” อย่างสิ้นเชิง
มีวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทินิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์สมัยนั้น พระวักกลิกุลบุตรได้อาพาธหนัก ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
“มาไปกันเถิดภิกษุทั้งหลาย เราจะพากันไปยังวิหารกาฬกลิกา ข้างภูเขาอิสิคิริ ซึ่งเป็นที่ที่วักกลิบุตรอาพาธอยู่”
ภิกษุเหล่านั้นรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังวิหารกาฬกลิกาพร้อมด้วยภิกษุเป็นจำนวนมาก ได้ ทอดพระเนตรเห็นท่านพระวักกลิกุลบุตรนอนคอบิดอยู่บนเตียง ก็สมัยนั้นปรากฏคล้ายกลุ่มหมอก กลุ่มควัน ลอยไปทางทิศบูรพา ทิศปัจฉิม ทิศทักษิณ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ (ทิศเล็กทิศน้อย) พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมองเห็นกลุ่มหมอกกลุ่มควันลอยไปทางทิศทั้งหลายอยู่หรือไม่”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
“เห็นพระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นแหละคือมาร (มัจจุมาร) หยาบช้าค้นหาวิญญาณของวักกลิกกุลบุตรด้วยคิดว่าวิญญาณของวักกลิกกุลบุตร ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งไหนหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วักกลิกุลบุตรมีวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ ปรินิพานแล้ว”
พระวักกลิกุลบุตร เป็นพระอรหันต์ นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับกิเลสดับขันธ์สิ้นแล้ว มิได้ตายเหมือนสัตวโลก ซึ่งมาร (มัจจุราช) จะค้นหาวิญญาณได้ เพราะเป็นผู้มีวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ ถ้าตายจะมีเชื้อของกิเลสเป็นกรรมแพร่กระจายออกไปให้เป็นที่ตั้งของวิญญาณใหม่เพื่อมารจะค้นพบนำไปปฏิสนธิรับกรรมในภพใดใหม่ได้ปรินิพพาน หรือนิพพาน แม้ของพระอรหันต์จึงแตกต่างกับความหมายที่แปลว่าตายของเหล่าสัตว์
เสด็จไปดีแล้ว
พุทธคุณประการหนึ่งใน 9 ข้อ ของพระพุทธเจ้าคือ “สุคโต” แปลว่าเสด็จไปดีแล้ว คือทรงมีทางเสด็จที่ดีงาม อันได้แก่อริยมรรค เสด็จไปสู่ที่ดีงาม กล่าวคือพระนิพพาน เสด็จไปด้วยดีโดยชอบ กล่าวคือทรงดำเนินรุดหน้าไม่หวนกลับคืนมาสู่กิเลสที่ทรงละได้แล้ว ทรงดำเนินสู่ผลสำเร็จไม่ถอยหลัง ไม่กลับตกจากฐานะที่ทะลุถึง ทรงดำเนินในทางอันถูกต้องคือมัชฌิมาปฏิปทา ไม่เฉเชือนไปในทางผิด คือกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค เสด็จไปดีเสด็จที่ใดก็ทรงทำประโยชน์ให้แก่มหาชนในที่นั้น เสด็จไปโดยสวัสดีและนำให้เกิดความสวัสดีแม้แต่พบองคุลิมาลมหาโจรร้ายก็ทรงกลับใจให้เขากลายเป็นคนดีไม่มีภัย, เสด็จผ่านไปแล้วด้วยดี ได้ทรงบำเพ็ญพุทธกิจไว้บริบูรณ์ประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้เพื่อชาวโลกให้เป็นเครื่องเผล็ดประโยชน์แก่ประชาชนทั้งปวงผู้เกิดมาภายหลัง ทรงมีพระวาจาดี หรือตรัสโดยชอบ คือตรัสแต่คำจริงแท้ ประกอบแต่คำจริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ในกาลที่ควรตรัสและแก่บุคคลที่ควรตรัส
การเสด็จไปดีของพระพุทธเจ้าอันเป็นพุทธคุณที่เรียกว่า “สุคโต” คือการเสด็จไปสู่พระนิพพานเป็นสำคัญ แตกต่างกับ “สุคติ” คือการไปสู่ที่ดีที่สัตวโลกซึ่งทำกรรมดีตายแล้วไปเกิด ฉะนั้น การเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าจึงแตกต่างกับการตายของสัตวโลกซึ่งตายแล้วไปเกิดในภพที่ดีที่เรียกว่า “สุคติภพ” ซึ่งยังอยู่ในวัฏสงสารมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่อไป
เมืองกระดูก
ร่างกายนี้ธรรมชาติสร้างให้เป็นเมืองกระดูก
ฉาบด้วยเนื้อ และโลหิต
เป็นที่สถิตแห่ง ชรา มรณะ
ความเย่อหยิ่ง และความดูถูกบุญคุณกัน”
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นแล้วว่า “รูป” คือขันธ์นี้เป็นเพียงโครงสร้างซึ่งประกอบด้วยเลือดเนื้อและกองกระดูกอันน่ารังเกียจเป็นที่สถิตของความแก่และความตายอันน่าสะพรึงกลัว จึงบำเพ็ญเพียรค้นหาทางหลุดพ้นไปจากเมืองกระดูกนี้เลย เมื่อค้นพบทางหลุดพ้นแล้วได้ทรงสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์เป็นจำนวนมากให้หลุดพ้นตามไปด้วย แล้วทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานเพื่อหลุดพ้นกองกระดูกเลือดเนื้อความแก่ความตายอย่างสิ้นเชิงในที่สุด เช่นนี้ควรหรือที่จะเรียกว่าการดับขันธปรินิพพานคือการตายของพระพุทธเจ้า อันเป็นความหมายของเหล่าสัตวโลกที่จะเวียนว่ายไปเกิดในเมืองกระดูกอันน่ารังเกียจนั้นอีก
ไม่ตายไม่เกิดอีกแล้ว
“เมื่อตามหานายช่างผู้สร้างเรือนไม่พบ เราได้เวียนว่ายตายเกิดในสงสารนับชาติไม่ถ้วน
การเกิดแล้วเกิดอีกเป็นทุกข์
.....นายช่างเอยบัดนี้เราพบท่านแล้ว ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีก
จันทัน อกไก่ เราทำลายหมดแล้ว
จิตของเราบรรลุนิพพานหมดความทะยานอยากแล้ว
ปฐมพุทธพจน์ เป็นอุทานครั้งแรกที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งด้วยความเบิกบานหลังจากตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในขณะนั้น ....ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีก (เรือนหมายถึงอัตภาพของพระพุทธทงค์) ... จันทันอกไก่เราทำลายหมดแล้ว (โครงสร้างเรือน หมายถึงอวิชชา)
จิตของเราบรรลุนิพพานหมดความหมายทะยานอยากแล้ว....ทรงรู้ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะในขณะนั้นว่าหลุดพ้นแล้ว พ้นจากการตายเกิดอันน่าเบื่อและจะไม่ตายเกิดอีกต่อไปนับแต่บัดนั้น ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเป็นการดับเพื่อไม่เกิด ควรหรือที่จะเรียกว่าพระพุทธเจ้าตาย
สิ่งที่สัตวโลกขอไม่ได้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ 5 อย่างเหล่านี้อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกไม่พึงได้คือ
1. ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อย่าได้แก่เลย
2. ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าได้เจ็บไข้เลย
3. ของสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าได้ตายเลย
4. ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าได้สิ้นไปเลย
5. ขอสิ่งที่มีความพินาศไปเป็นธรรมดา อย่าได้พินาศไปเลย
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ 5 อย่างเหล่านี้แล อันสมณะ หรือ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกไม่พึงได้”
-->> ในสงสารวัฏ หรือโลกสงสาร สัตวโลกต่าง ๆ จะพึงขอมิให้แก่ มิให้เจ็บ มิให้ตาย มิให้สิ้น มิให้พินาศ ไม่พึงได้ สัตวโลกทั้งหลายจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา เช่นนั้นอย่างแน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทราบแล้วได้ค้นหาวิธีที่จะทำให้ไม่เป็นไปเช่นนั้น และได้ทรงพบวิธีแล้วคือโดยการประพฤติปฏิบัติตนให้พ้นออกมาจากโลกสงสารหรือสงสารวัฏนั้นเสียและทรงประพฤติปฏิบัติได้สำเร็จแล้วขณะที่ตรัสรู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นฐานะทั้ง 5 รวมถึงฐานะข้อ 3 สิ่งที่ความตายเป็นธรรมดา (คือตายแล้วเกิดอีก) ขอไม่ให้ตายไม่ได้
-->> พระพุทธองค์ทรงหลุดพ้นจากความตายแล้วเกิดอีกนับแต่ขณะตรัสรู้ ทรงเป็นผู้ไม่เกิดต่อไป ต่อมาเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานควรหรือจะเรียกการดับขันธปรินิพพานหรือปรินิพพานว่าตายเช่นฐานะในข้อที่ 3 ดังกล่าว
แตก....ดับ
สมัยนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กูฎาคารศาลาในป่ามหาวันใกล้เมืองเวสาลีแห่งแคว้นวัชชี
พระสุทินน์ กลันทบุตร ได้ก่อเสนียดขึ้นในโลกขณะที่เป็นภิกษุในพระสมณโคดมทนการอ้อนวอนของโยมมารดาบิดาไม่ได้ในการที่ขอให้พระสุทินน์ ให้พืชพันธุ์ (ลูก) ไว้เป็นผู้รับมรดกเพื่อเป็นทางแก้ไม่ให้พวกเจ้าลิจฉวีริบทรัพย์มหาสมบัติเนื่องจากหาผู้สืบสกุลรับมรดกมิได้ จึงจูงแขนปุราณทุติยิกา (ภรรยาก่อนออกบวช) เข้าป่ามหาวันให้มรรยาทของคนคู่ (เสพเมถุน) เป็นไปในปุราณทุติยิกา 3 ครั้งในป่านั้น ซึ่งต่อมาภรรยาก่อนบวชก็ตั้งครรภ์เพราะอัชฌาจารนั้น ต่อมาพระพุทธองค์ทรงทราบจึงเรียกประชุมสงฆ์ เพราะเหตุดังกล่าว ทรงสอบถามพระสุทินน์ว่า
“ดูก่อนสุทินน์ ข่าวว่าเธอเสพเมถุนธรรมในปุราณทุติยิกาจริงหรือ”
“จริงพระเจ้าข้า”
เห็นเป็นกาลอันสมควรที่จะทรงธรรมกถา และบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลายในบัดนี้ โดยเหตุแรกที่ภิกษุสุทินน์ได้ก่อขึ้นเป็นอสัทธรรมควรแก่การตำหนิติเตียนเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างตอไป
“ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สมไม่ควรไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไมได้ ไม่ควรทำ เธอบวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีอย่างนี้แล้วไฉนจึงไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตเล่า
ดูก่อนโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยายเพื่อคลายความกำหนัดไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพรากไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่นไม่ใช่เพื่อมีความถือมั่นมิใช่หรือ เมื่อธรรมชื่อนั้นอันเราแสดงแล้วเพื่อคลายความกำหนัดเธอยังจักคิดเพื่อมีความกำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น ดูก่อนโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยายเพื่อเป็นที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความกระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อเป็นที่เข้าไปตัดแห่ง วัฏฏะ เพื่อเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่ดับแห่งตัณหา เพื่อออกไปจากตัณหาชื่อวานะมิใช่หรือ
ดูก่อนโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจัดความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยายมิใช่หรือ
ดูก่อนโมฆบุรุษ องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าไปในปากอสรพิษที่มีพิษร้ายยังดีกว่าอันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าไปในองค์กำเนิดของมาตุคาม (ผู้หญิง) ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าไปในปากงูเห่ายังดีกว่าอันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าไปในองค์กำเนิดของมาตุคามไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในหลุมถ่านที่ไฟติดลุกโชนยังดีกว่าอันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าไปในองค์กำเนิดของมาตุคามไม่ดีเลย
เพราะ....บุคคลผู้สอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากอสรพิษเป็นต้นนั้นพึงถึงความตายหรือความทุกข์เพียงแต่ตายซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย[b]เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไปไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาติ นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามนั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายตายไปพึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุ
ดูก่อนโมฆบุรุษ เมื่อการกระทำนั้นมีโทษอยู่เธอยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรมอันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นมารยาทของคนชั้นต่ำอันชั่ว หยาบมีน้ำเป็นที่สุด มีในที่ลับ เป็นของคนคู่อันคนคู่พึงร่วมกันเป็นไป เธอเป็นคนแรกที่กระทำอกุศลธรรม เป็นหัวหน้าของคนเป็นอันมาก การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสและเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการคือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ 1
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ 1
เพื่อข่มบุคคล ผู้เก้อยาก 1
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก 1
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน 1
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต 1
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 1
เพื่อความเสื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 1
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม 1
เพื่อถือตามพระวินัย 1
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้
1. ก็ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม เป็นปาราชิกหาสังวาสมิได้ เป็นพระปฐมบัญญัติ (พระวินัยข้อแรก) และปฐมปาราชิก (ปาราชิกข้อแรก)[/b]
เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป (ความแตกแห่งขันธ์) พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เป็นความตายของสัตวโลกที่จะไปเกิดในทุคติดังกล่าวเหล่านั้น ซึ่งเป็นความตายที่เรียกว่า “ขันธ์แตก” หรือแม้จะตายไปเกิดในสวรรค์ก็ใช้คำว่า “แตกกายตายไป” เช่นกันดังตัวอย่าง...
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้หายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นดาวดึงส์จำนวนมากเข้ามาหาอภิวาท ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะเทวดาว่า
“ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย การประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่าแม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั่น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม เป็นความดีแล เพราะเหตุที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุดติโลกสวรรค์ การประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม .... ในพระสงฆ์..... เป็นความดีแล เพราะเหตุที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ....ในพระสงฆ์ .....สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ การประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นความดีแล เพราะเหตุที่ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”
เทวดาทั้งหลายได้ฟังแล้วต่างก็อนุโมทนาสาธุการ ยินดีเห็นชอบตามคำกล่าวของท่านพระมหาโมคคัลลานะ ต่างกล่าวตามว่า
“ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์การประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นในพระพุทธเจ้า....ในพระธรรม...ในพระสงฆ์เป็นความดีแล การประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วไม่ขาด....เป็นไปเพื่อสมาธิเป็นความดีแล ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เพราเหตุที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ...ในพระธรรม....ในพระสงฆ์....การประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”
เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คือตายแล้วไปเกิดในสวรรค์หรือในชั้นพรหมก็ล้วนแต่แตกกายตายไปเกิดทั้งนั้นเพราะเป็นการตายในวัฏสงสาร ขันธ์ 5 แตกแยกสลายทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกทั้งสิ้น แต่กิเลสอันเป็นตัวเชื้อแห่งกรรมมิได้ดับไป ไปเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณใหม่ปฏิสนธิในภพใหม่อีกตามกรรมดีกรรมชั่วที่จะชักนำ ถ้ามีกรรมดีชักนำก็จะเกิดในมนุษย์ สวรรค์พรหม ถ้ากรรมชั่วชักนำก็จะเกิดเป็นเดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ นรก วนไปเวียนมาอยู่เช่นนั้นมิรู้จบจนกว่าจะหลุดพ้นออกไปจากวัฏสงสารด้วยวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนไว้เป็นจำนวนมากเมื่อนั้นจึงจะเรียกว่าดับขันธ์ หรือขันธ์ดับ คือดับกิเลสหมดสิ้นแล้วจึงดับขันธ์ในที่สุด ฉะนั้น ดับขันธปรินิพพานจึงไม่ใช่ความหมายที่แปลว่าตาย
ทรงดับขันธ์ น่าจะแปลได้ว่าทรงทำให้ขันธ์สูญสิ้นไปเหมือนกับที่ทรงทำให้กิเลสสูญสิ้นไปก่อนหน้านี้แล้วเมื่อตอนตรัสรู้ซึ่งเป็นการดับอวิชชาด้วยปัญญา เป็นความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบขึ้นมาอีก เป็นการดับกิเลสภายในตนซึ่งทำได้ด้วยจิตตน แต่ขันธ์ 5 อันเป็นกองมารเปรียบเทียบกิเลสภายนอกที่มาปรุงแต่งให้ไว้ตอนที่ยังไม่หลุดพ้น (ตั้งแต่เกิด) จะดับยังไม่ได้ ต่อเมื่อถึงเวลา (แก่)อันเป็นไปตามธรรมชาติแห่งมาร ความเจ็บป่วย (เจ็บ) อันเป็นเครื่องมือมารเข้าบีบคั้นเพื่อจะให้ตายแล้วเกิดใหม่อีก ตรงนี้พระพุทธองค์ทรงรู้เท่าทันล่วงหน้าอยู่แล้วจึงทรงดับขันธ์เสียแทนที่จะให้ขันธ์แตกไปตามอำนาจมัจจุราช เป็นดับขันปรินิพานไม่ไปสู่การเกิดในภพตามที่มารต้องการ มารไม่อาจตามหาได้ ทรงพ้นอำนาจมารไปทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นในสมัยพุทธกาลตั้งแต่พระพุทธองค์ได้ประสูติทรงอยู่ในเงื้อมมือมารทั้งหมด จนกระทั่งถึงตรัสรู้แล้วทรงอยู่ในเงื้อมมือมารครึ่งหนึ่ง เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วทรงพ้นเงื้อมมือมารอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะเรียกภาวะ 4 ของพระพุทธเจ้าภาคแรกก็น่าจะเรียกได้ว่า ทรงเกิด ทรงแก่ ทรงเจ็บ และปรินิพพาน ไม่ชอบที่จะเรียกว่า ทรงเกิด ทรงแก่ ทรงเจ็บ ทรงตาย มิใช่หรือ...