คำว่า “ศรัทธา”
ในพุทธศาสนาหมายถึงความเชื่อดังต่อไปนี้
1. ความเชื่อในพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ
และความเชื่อในการกระทำและในผลของการกระทำ เช่นเชื่อว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฯลฯ
2. ความเชื่อมั่นที่เกิดจากปัญญาหรือความมั่นใจ เช่น
ในทุกกรณีที่ตรัสถึงศรัทธาพระองค์ทรงเน้นรวมถึงปัญญาด้วยเสมอไป
โดยนัยนี้ คำว่า ศรัทธา-ความเชื่อ
ตามลักษณะที่ 2
ก็คือ ไวพจน์ของคำว่า ปัญญานั่นเอง
ซึ่งหมายถึง ความเชื่อตามที่เข้าใจแล้ว
หรือสิ้นสงสัยเพราะเข้าใจ
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเชื่อนั้น
เมื่อแยกออกโดยถือเอาลักษณะการเกิดมี 2 ประเภท
คือ
1. ความเชื่อที่เกิดก่อนการรู้แจ้ง
เรียกว่า ศรัทธา
2. ความเชื่อที่เกิดภายหลังการรู้แจ้ง
เรียกว่า
ปัญญา
เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า
หลักพุทธศาสนานั้นตั้งอยู่บนฐาน คือ
ปัญญา
เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แจ้งความจริงจนสิ้นสงสัยแล้ว
พุทธศาสนาจึงได้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้
พุทธศาสนาจึงได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญา
มิใช่เป็นศาสนาแห่งศรัทธา
ดังที่ปรากฏในระบบปรัชญาสายอื่น
ๆ ดังที่ท่านมุสีละกล่าวไว้ว่า
“ท่านสาวิตถะ
โดยไม่ต้องอาศัยความภักดี ไม่ต้อง
อาศัยศรัทธาหรือความเชื่อ ไม่ต้องอาศัยความเห็นหรือ
การเห็นคล้อยตาม ไม่ต้องอาศัยข่าวลือหรือการยอมรับ
ตามประเพณี ไม่ต้องอาศัยการสังเกตลักษณะภายนอก
ไม่ต้องอาศัยการครุ่นคิดนานาทัศนะ ข้าพเจ้ารู้และเข้า
ใจได้ว่า ความดับแห่งสังขาร (ความคิดปรุงทั้งปวง)
คือ นิพพาน”
คำกล่าวนี้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาที่ว่า
เอหิปัสสิกะ
คือ จงมาแล้ว จงเข้าใจ
หรือมาทำความเข้าใจแล้วจึงเชื่อ
มิใช่จงมาแล้วจงเชื่อ
และว่าผู้ฉลาดมีปัญญาจะเข้าใจได้เฉพาะตน
(ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ
วิญญูหิ)
มีอีกประเด็นหนึ่งที่ควรทำความเข้าใจ
คือ ความเชื่อที่ถูกต้องสัมพันธ์กับความจริงอย่างไร?
ประเด็นนี้
ผู้ศึกษาควรจะเข้าใจทฤษฏีว่าด้วยความจริงที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบันและนำมาเปรียบเทียบกับหลักพุทธศาสนา
คือ ทฤษฏีความจริงตามทัศนะของนักปรัชญาตะวันตก 4
ทฤษฏี นักปรัชญาตะวันตกได้กล่าวถึงทฤษฏีความจริงไว้
4 ทฤษฏี คือ
1. ความจริง คือ
ความตรงกันระหว่างความเชื่อที่เกิดจากการรับรู้และสิ่งภายนอก
2. ความจริง คือ
สิ่งที่นำไปปฏิบัติได้
3. ความจริง คือ ความสำเร็จ หรือ
อัตถประโยชน์จากการปฏิบัติ
4. ความจริง คือ
สิ่งที่พิสูจน์ทดลองได้ด้วยประสบการณ์
ทฤษฏีที่
1
ความจริงคือความตรงกันระหว่างการรับรู้และสิ่งภายนอก
เสนอโดยนักปรัชญาสายจิตนิยมที่มีความเชื่อว่า
ความจริงส่วนย่อยจะต้องลงรอยกันกับความจริงส่วนรวม
ตัวอย่างเช่น เราเชื่อว่าดวงอาทิตย์มีความร้อน
เช่นนี้เรียกว่าความเชื่อของเราเป็นความจริงแต่ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์
หรือไม่มีความร้อนจากดวงอาทิตย์ หรือไม่มีทั้งสองอย่าง
ความเชื่อของเราก็เป็นความเท็จ
ทฤษฏีที่
2 ความจริงคือสิ่งที่ขัดแย้ง
สามารถนำไปปฏิบัติได้ เสนอโดยนักปรัชญาสายปฏิบัตินิยม
อาทิเช่น วิลเลียม เจมส์ ชาวอเมริกัน
ที่เน้นว่า ความรู้ ความเชื่อ
หลักการและทฤษฏีทั้งปวงคือเครื่องมือนำไปสู่ความสำเร็จ
เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดีแก่ผู้ปฏิบัติ
จึงถือว่าเป็นความจริง
ทฤษฏีที่
3
ความจริงคือความสำเร็จ หรือความมีประโยชน์
เสนอโดยนักปรัชญาสายจิตนิยม
มีความชื่อว่าความจริงส่วนย่อยจะต้องลงรอยกับความจริงส่วนรวม
ตัวอย่างเช่นทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ 2+2 = 4, 4 + 4 =
8, 8 + 8 = 16 เลขจำนวนใดลงท้ายด้วย
0 เอา 5 หาร ย่อมลงตัวเสมอ
ทฤษฏีที่
4 ความจริงจะต้องพิสูจน์ทดลองได้ด้วยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสเสนอโดยนักการศึกษากลุ่มเวียนนา
โดยได้ประกาศหลักการที่ว่า
สิ่งที่พิสูจน์ทดลองได้ด้วยประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่เป็นความจริง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ปราชญ์ขยะ ใน ความรู้ทั่วไปในพุทธศาสนา
ทฤษฏีที่ว่าด้วยความจริง 4 ประการนี้ เป็นหลักการที่พุทธศาสนาได้ประกาศยืนยันมาแล้ว และสมบูรณ์ยิ่งกว่าความคิดของนักปรัชญาในยุคหลัง ซึ่งผู้ศึกษาพอจะพิจารณาเห็นได้จากหลักความจริงทางพุทธศาสนาดังต่อไปนี้
1. หลักความจริงทางพุทธศาสนามีว่า “ชีวิตหลังจากตายแล้วมีอยู่ตราบเท่าที่วิญญาณหรืจิตยังมีกิเลส เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ พุทธศาสนา มีความเชื่อว่าตายแล้วเกิดใหม่ มีพุทธพจน์ยืนยันถึงเรื่องชาติหน้าหรือการเกิดใหม่ เช่น คนบาปหรือคนชั่ว เมื่อตายแล้ว ย่อมไปเกิดในนรก คนมีบุญหรือคนดีเมื่อตายแล้วย่อมไปเกิดในสวรรค์ การที่ผู้เห็นผิดว่าไม่มีชาติหน้า ชื่อว่ากล่าวคำไม่จริง และชื่อว่าคัดค้านพระอริยเจ้า
นี้คือการประกาศว่า ความจริงคือความตรงกันระหว่างข้อเท็จจริงภายนอกกับความคิด หรือกับความเชื่อภายในจิตใจของบุคคล
นอกจากนี้ พุทธศาสนายังชี้ถึงความตรงกันระหว่างการหยั่งรู้ภายใน (ญาณทัศนะ) กับความจริงภายนอกอีกด้วย ซึ่งเป็นขั้นที่ละเอียดกว่าขั้นประสาทสัมผัส
2. พุทธศาสนาไม่เน้นเฉพาะความลงรอยกันทางทฤษฏีเท่านั้น แต่ยังเน้นถึงความลงรอยกันระหว่างทฤษฏีและภาคปฏิบัติด้วย ปรากฏหลักฐานในสันธกสูตรว่า เป็นไปได้ที่ทฤษฏีไม่ขัดแย้งกัน แต่ในทางปฏิบัติอาจไม่ลงรอยกันได้
3. พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบคำสอนทั้งหมดเหมือนพาหนะหรือเครื่องใช้ เครื่องอาศัยมิใช่มีไว้เพื่อ โอ้อวดหรือเพื่อยึดมั่น แต่มีไว้เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ข้อแตกต่างระหว่างปรัชญาปฏิบัตินิยมกับพุทธศาสนาก็คือ พุทธศาสนาไม่สนับสนุนหลักการที่ว่า
1. ความจริงทุกอย่างจะต้องมีประโยชน์ หรือ
2. ความมีประโยชน์ทุกอย่างคือความจริง แต่พุทธศาสนาเน้นว่า ความจริงจะต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ประสบการณ์สามัญ หรือประสบการณ์พิเศษ สามารถนำไปปฏิบัติได้และก่อให้เกิดผลจากการปฏิบัตินั้นตามวัตถุประสงค์
3. หลักการที่ว่า สิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้นคือความจริง พุทธศาสนาได้ประกาศไว้นานแล้ว เป็นเวลา 2,500 ปี
ดังนั้น ความจริงตามหลักพุทธศาสนาจะต้องมีลักษณะดังนี้
1. มีเหตุผล (สนิทานัง)
2. พิสูจน์ทดลองได้ (เอหิปัสสิกะ)
3. เป็นที่ยอมกันโดยผู้รู้ทั้งหลาย (เวทิตัพโพ วิญญูหิ)
4. เป็นความจริงสากลตลอดไป ไม่ขึ้นกับกาลเวลา (อกาลิกะ)
เพื่อความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้ให้ชัดเจน ควรศึกษาหลัก 10 ประการที่บุคคล ไม่ควรเชื่อ ซึ่งปรากฏใน กาลามสูตร อันเป็นสูตรที่แสดงถึงเสรีภาพทางความคิดที่ไม่เคยมีปรากฏในที่ใดเลยในประวัติศาสตร์ศาสนาของโลก เสรีภาพดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความรอดพ้นของบุคคลขึ้นอยู่กับการรู้แจ้งความจริงด้วยตัวของเขาเอง มิใช่ด้วยอาศัยการดลบันดาลหรือประสาทพรจากพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหารภายนอก