พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องจริง(Fact) ซึ่งไม่มีค่าว่าเท็จแต่อย่างไร ไฉนเลยคนเราจึงบอกว่าศีลเป็นข้อห้ามของกาย วาจา ใจ อย่างนั้นหรือ .... ส่วนคำว่า สีล หมายถึง... สามสิ่งที่ทรงแสดงถึงแก่นพระพุทศาสนา คือ หลักไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมธิ และปัญญา
ศีล คือ ปกติ ที่สอดคล้องกับคำว่า Fact เป็นปรากฎการณ์จริง หากสรรพสิ่งดำเนินการไม่เป็นปกติก็หมายถึงการละเมิดศีล การที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหา Fact เช่น CERN กำลังค้นหาอนุภาคที่เป็นปรมะ หรือที่สุดของอนุภาค จริงหรือไม่อย่างไร มวลมนุษยชาติทำไมต้ต้องลงทุนมหาสาร มากว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัส ถ้าไม่ได้ Fact ตามที่ประสงค์แห่งการพิสูจน์สมมุติฐาน(Hypothesis) แล้ว การตรวจสอบทฤษฎี Theory หนึ่ง ๆ จะเป็นอย่างไร คำที่ โทมัส อัลวา เอดิสัน มักกล่าวปลอบในในความมุ่งมั่นหากอุปสรรคบังเกิด เขามักจะกล่าวคำที่แปลเป็นไทยสั่น ๆ ว่า "อย่างน้อย ๆ ก็รู้ว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล" มันก็คืtอ Fact ที่ เอดิสัน รับรู้
กระบวนการที่ได้มาแห่ง Fact คือ อริยะสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ คือ ความไม่เป็นปกติสุข ๑.สมุทัย คือ เหตุแห่งความไม่เป็นปกติสุข มีหลายเหตุ แต่ทุกเหตุมักเกี่ยวเนื่องตามกฎแห่งกรรม (Action - Reaction) ๒.นิโรธ คือ กำหนดเป้าหมายสุ่ความเป็นปกติ ถึงแม้เป้าหมายนั้นอาจจะดำเนินการได้ไม่เป็นปกติก็ตาม ก็ยังเป็นเป้าแห่งความหวัง ส่วนมรรค ดังจะกล่าวมาจากสารานุกรมอิศระ วิกีพีเดีย ดังนี้ที่มา :http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84
มรรค (ภาษาสันสกฤต : มรฺค; ภาษาบาลี : มคฺค) คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) และนับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) โดยมีรายละเอียดดังนี้
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นปฏิปทางสายกลาง คือทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
มรรคมีองค์แปด สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
จากข้อความที่กล่าวเท้าความเดิมของมรรค สรุป ย่อว่า เป็นหนทางหรือวิถีทางที่จะนำไปสู่ปกติได้ หรือเป็นกระบวนการวิธีย่อยของการพิสูจน์ Fact นั้น ๆ
เมื่อกระทำการที่สรุปได้เป็น Fact แล้ว มันมีมากมายเหลือเกิน หรืออุปสรรคของ Fact ที่ยังสับสน กระบวนการสร้างสมธิ มีทั้ง เดี่ยวสมาธิ คู่สมาธิ และกลุ่มสมาธิหรือการระดมสมองที่ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ Brain stroming แต่อดุมไปด้วยสมธิแห่งจุดมุ่งหมายเดียวกัน เช่นที่ศุนย์วิจัย CERN จึงเป็นเหตุของการที่จะต้องศึกษาวิธีแห่งการเกิด สมาธิ แล้วสมาธิคืออะไร สภาวะใดจึงเรียกสมาธิ ทำไมเราจึงมักปรากฎการ์สมาธิเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่สมาธิก็คือ วิถีธรรมชาตินั้นเอง คือการปรับกระบวนการเรียนรู้ของสมองที่อาจจะอยู่ในรูปแบบสัญาณไฟฟ้า เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน แล้วสัญาณไฟฟ้าดังกล่าวเกิดจากอะไร อนุภาคมูลฐานระดับใดสร้างสัญาณไฟฟ้า และสื่อสารสัญาณไฟฟ้าเสมือนคอมพิวเตอร์หรือไม่ ผู้เขียนมีความรู้ไม่เพียงพอ... จึงละไว้ แม้การทดลองที่จะเกิดกับขึ้นในอนาคตอันไกล้ อาจจะมีใครที่ใช้สัญาณรับรู้แบบดังกล่าว เห็นแจ้งจริงมาแล้ว
ถามว่าเห็นแจ้งแล้วทำไม ...องค์พระพุทธมักจะกล่าวบทที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของข้อจำกัดใน
การสิกขา ตามแบบไตรลักษณ์ และข้อจำกัดตามแบบ ขันธ์ 5 (ขันธ์ 5 คือ ๐รูป/ ๑เวทนา ๒สัญญา ๓สังขาร ๔วิญาณ )ของการศึกษาได้ การเข้าถึงปัญญา จึงเป็นบทที่พิสูจน์ Fact ที่แท้จริง ปัญญานี้แหละ คือสิ่งที่นำไปถ่ายทอดได้ ตลอดที่พระพุทธองค์ทรงสิกขา ก็เพื่อให้ได้ปัญญาควรค่าแก่การถ่ายทอด ของผู้ตระหนึกคำว่าครู
CERN คนพบอะไร ก็จะนำไปประมวลเป็นปัญญา มาถ่ายทอด ซึ่งปัญญาดังกล่าวไม่ได้หมายถึงเพียงความรู้(Body of Knoledge) แซ่งผสมผสาน ความรู้แบบกระบวนการวิธี (Process) และความรู้ที่สุจริตรธรรม(เหตุที่ใช้สุจริตรธรรม คำพุ่มเฟือย เพราะ คำว่าสุจริตร ก็หมายถึงดีสุด ๆ แล้ว และมีความเป็นธรรมในตัว กลัว คำผสมผิดแบบ ผิดโดยสุจริตร ครู จึงอธิบายยาก)
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็เปรียบได้เป็นสาวกของพระพุทธองค์ ของจงสิกขาอย่างเป็นสุข ก็พอ....
ดิน หมายถึง มวล Mass
น้ำ หมายถึง ระนาบหรือตัวกลาง E
ลม หมายถึง การเคลื่อนที่หรือการเปลี่ยนตำแหน่งของมวลสารตลอดการเคลื่นที่ของโฟตอน W
ไฟ หมายถึง P พลังงานที่อยู่ในรูปโฟตอน (Photon)สรรสิ่งมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งเกินที่มนุษย์ธรรมจะเข้าใจ แต่อันตรกิริยาที่ปรากฎเป็นเพียงสื่งที่รับรู้โดยอ้อม
แม้จะกล่าวผิดเพี้ยนบ้าง คือหนึ่งใน 16 สาขาวิชาที่พระพุทธองค์ทรงสิกขาก่อนบรรลุธรรม รหัสทางอนุภาค เป็นรหัสที่สัมพันธ์ M-E-W-P
มนุย์อยู่เพื่อสิกขา กรรม สัมพันธ์ ตามกฎ การเข้าใจปัญญาปกติ ก็เป็นการ อยู่เพื่อสร้าง ธรรมะ ถึงแม้อนุภาคพระเจ้า สุดท้าย ไม่มีใครเห็นด้วยตนสัมผัส แต่ก็นำมาถ่ายทอดได้ ก็คือ ธรรมะ (ปัญญาเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดได้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดได้เฉพาะคนนั้น ๆ ) กลุ่มนักวิจัย CERN ทำความยิ่งใหญ่เพราะเขามองเห็นซึ่งแก่นของพระพุทธะมากกว่า
ความรู้นั้นไม่สามารถถ่ายทอดได้....มันเป็นการเติบโตภายใน..ใครคนนั้น (สันทิฎฐิโก)
คุณยุทติกันนะผมขอ