ผู้เขียนมีประสบการณ์แนะนำนิสิตนักศึกษาท่านหนึ่ง(ขอไม่ระบุสถาบัน)ให้ออกกำลังกายบ้าง สมองจะทำงานได้ดีขึ้น ท่านผู้นี้เรียนเก่งมาก ได้เกรดเกิน 3
ท่านตอบกลับมาหน้าตาเฉยทันทีว่า เห็นพวกเล่นกีฬาไม่ฉลาด เรียนไม่ดีเลยสักคน แถมยังถามกลับมาว่า ผู้เขียนมีหลักฐานอะไร ถึงได้กล่าว(กับท่าน)ว่า ออกกำลังแล้วสมองดี
ตอนนั้นผู้เขียนจนตรอก จนปัญญา ไม่ทราบจะตอบโต้อะไรกับท่านนักปราชญ์น้อยได้อย่างไร
ทว่า... วันนี้มีข่าวดีครับ อาจารย์นายแพทย์โฮเวิร์ด เลอไวน์ อายุรแพทย์แห่งโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดกรุณาทบทวนผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลการออกกำลังกายต่อสมอง
ผลของการออกกำลังกายต่อสมรรถภาพของสมองในด้านการรับรู้ การคิด และการทรงจำมีอย่างนี้ครับ...
ผลนี้จะดีที่สุดถ้ารู้จักติดต่อกับสังคมตามสมควร ควรเลือกคบกับคนดี และคบหาสมาคมกับสังคมที่มีเมตตากรุณาต่อกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน หมั่นทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมเท่าที่จะทำได้
สรุปคือ แรงดี(ออกกำลัง)วันนี้ เพื่อสมองดีวันหน้าครับ...
หมายเหตุ:
ชีพจรสูงสุด:
ชีพจรสูงสุด (maximal heart rate) สำหรับคนที่ไม่เป็นโรคหัวใจ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจมีค่าเท่ากับ 220 ลบด้วยอายุ เช่น คนที่อายุ 20 ปีมีค่าเท่ากับ 220-20 เท่ากับ 200 ครั้งต่อนาที คนที่อายุ 40 ปีเท่ากับ 220-40 เท่ากับ 180 ครั้งต่อนาที ฯลฯ
คำแนะนำทั่วไปคือ อย่าออกกำลังกายจนชีพจรเร็วถึงระดับชีพจรสูงสุด เพราะเสี่ยงอันตรายเกินไป
ช่วงชีพจรออกกำลังกาย:
ช่วงชีพจรออกกำลังกาย (exercise heart rate) สำหรับคนที่ไม่เป็นโรคหัวใจ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจมีค่าประมาณ 60-75 % ของชีพจรสูงสุด เช่น คนที่อายุ 20 ปีมีชีพจรสูงสุด 200 ครั้งต่อนาที นำมาคูณด้วย 60 หารด้วย 100 จะได้ 120 ครั้งต่อนาทีเป็นชีพจรขั้นต่ำ นำมาคูณด้วย 75 หารด้วย 100 จะได้ 150 ครั้งต่อนาทีเป็นชีพจรขั้นสูง จะได้ช่วงชีพจรออกกำลังกายเท่ากับ 120-150 ครั้งต่อนาที ควรเริ่มจากน้อย และค่อยๆ เพิ่มช้าๆ
อย่าลืมว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการออกำลังกายเพื่อสุขภาพคือ ความปลอดภัย ไม่ใช่การทำลายสถิติ
สรุป:
แหล่งข้อมูล:
เปรียบเทียบในสภาวะแวดล้อมและตัวแปรต่างๆ ที่ใกล้เคียงกันแล้ว คนออกกำลังกายเป็นประจำ จะหลั่งสารอดินาริน ทำให้เป็นคนที่มีความสุข เมื่อคนที่มีความสุข มักจะเป็นคนที่อะไรก็มักจะมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการเรียนหนังสือ หรือ การใช้สมองด้วยคะ
ดิฉันยืนยันที่อาจารย์เขียนอีกอย่างคะ คือ เวลาคิดอะไรไม่ออก
หรือเวลาเครียดๆ ซึ่งมักจะทำให้ดิฉันหายใจไม่ค่อยสะดวก
ดิฉันจะไปออกกำลังกายแบบ Strength training
ด้วยเครื่องออกกำลังกายที่มีอยู่ในบ้าน เช่น ยกกำลังแขนด้วย dumbbell,
ออกกำลังหน้าท้องด้วย ab-swing เป็นต้นคะ สัก 10-15 นาที
แล้วก็จะรู้สืกสมองมัน spark คะ :)
ปล. ชอบอ่านและรู้สึกขอบคุณบันทึกความรู้ของอาจารย์หมอมากคะ บางเรื่องที่ดิฉันสนใจอยู่ ดิฉันก็รู้สึกอยากเขียนประสบการณ์ต่อยอด อาจถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่ทราบนะคะ แต่อย่างไรก็ ดิฉันเป็นคน experiment เองคะ รู้ผลเอง :)
ขอบคุณคุณหมอมากครับ สำหรับคอมเมนต์
positive reinforcement ที่เป็นกำลังใจในการทำ blog ต่อ
และแนวคิดที่แฝงความนัย ของ optimistic
ทำให้ผู้อ่านคอมเมนต์ สามารถอ่านไปและยิ้มไปได้ครับ
:-)