พริกแก้ปวดปลายประสาท
สารสำคัญที่อยู่ในพริก สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.สารที่ให้รสเผ็ด ได้แก่ สารแคปไซซิน และ 2. สารแคปแซนทีน โดยสารแคปไซซิน มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเป็นยาสำหรับมนุษย์ โดยสารดังกล่าวสามารถลดอาการปวดต่างๆ ได้ จากการวิจัยเบื้องต้นพบว่า สารที่ให้ความเผ็ดจะมีผลต่อระบบไหลเวียนของโลหิต โดยสารสกัดจากพริกขนาด 0.25-4.0 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เทียบเท่าพริกกะเหรี่ยงแห้ง 0.79-12.64 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน สามารถลดและป้องกันการเพิ่มของระดับไขมันชนิดอันตรายหรือคอเลสเตอรอลได้
และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดหลอดเลือดแข็ง และลดการสะสมไขมันผิดปกติที่ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ ทดแทนการใช้ยาลดไขมันในเลือดขนาด 40 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวันได้
จากประโยชน์ดังกล่าวได้นำมาพัฒนาเป็นยาแก้ปวดปลายประสาท สำหรับผู้ป่วยโรคเริม หรืองูสวัด ในรูปขี้ผึ้ง เจล และสเปรย์ โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลและศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) เบื้องต้นอยู่ระหว่างพัฒนาให้สามารถซึมลึกเข้าสู่ผิวหนังได้ดี เนื่องจากที่ผ่านมาในท้องตลาดมียาแก้ปวดที่ผลิตจากพริกอยู่แล้ว แต่การดูดซึมไม่ดีพอ ทำให้ไม่สามารถระงับการปวดที่ปลายประสาทที่อยู่ลึกในชั้นผิวหนัง
แต่ใจเย็นนะคะเพราะขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อลดขนาดอนุภาคของสารสกัดพริกให้อยู่ในระดับนาโนเมตร เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวซึมเข้าสู่ผิวหนังและไปถึงเส้นประสาทอย่างรวดเร็ว การพัฒนาดังกล่าวจะช่วยลดอาการแสบร้อนจากผลิตภัณฑ์ทาถูนวด ระหว่างรอการศึกษาอยู่นี้ท่านผู้ที่สนใจทุกท่านก็ควรหาพริกตามท้องตลาดกินกันไปก่อนนะคะหรืออาจลองก้มมองไปที่จานข้าวแต่ละมื้อที่กินอยู่แล้วลองทานดูบ้าง คงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยละคะ(ฮิๆๆๆๆๆ)
****แถลงข่าว งานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ : เกษตรเพื่อคุณภาพชีวิต สายธารแห่งคุณค่าจากภูมิปัญญาเกษตรไทย ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายนนี้ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน สกว.ได้สนับสนุนการศึกษาวิจัยโครงการสมุนไพรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากมติชน คอลัมน์ ส่องโรค ไขสุขภาพ
ถือว่าเป็นเรื่องดีนะคะ ใช้พืชผักมาเป็นยารักษาโรค คนไทยจะได้ไม่ต้องหันไปพึ่งยาราคาแพงๆจากเมืองนอกเมืองนา และทีสำคัญเป็นการใช้ทรัพยากรในประเทศที่หาได้ตามท้องตลาด ให้มีมูลค่าเพิ่ม อีกทั้งยังแสดงถึงศักยภาพทางด้านการคิดค้นพัฒนาวิจัยตัวยาใหม่ๆของคนไทยอีกด้วย