การจัดการความรู้ของกลุ่มผักปลอดสาร :
เรื่องเล่าของนักปฏิบัติตัวจริง
วิสันต์ ทองเต่ามก ประธานกลุ่มปลูกผัก จังหวัดพิจิตร
“คุณกิจ”
ตัวจริงเพียงหนึ่งตัวอย่างของการเป็นนักจัดการความรู้ของเครือข่ายพิจิตร
วิสันเป็นเล่าให้ฟังว่า หลังจากจบ ป.6
ก็ออกมาทำงานจนต่อมาได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพ และเมื่อประมาณ 2-3
ปีที่ผ่นมาเกิดเจ็บป่วยแทบเอาชีวิตไม่รอด ระหว่างที่ป่วยคิดได้ว่า
ทำไมเราต้องมาต่อสู้ดิ้นรนอะไรมากมายขนาดหนี้
อยู่บ้านเราไม่ต้องลำบากลำบนมากนัก เมื่อคิดได้ดังนั้น
วิสันต์จึงกลับบ้านที่พิจิตร กลับไปปลูกผัก ทำนา ทำไร่
ทำเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ใช้สารเคมีเป็นหลัก
ต่อมาเมื่อจังหวัดพิจิตรเปิดโรงเรียน วปอ.ภาคประชาชน
(วิทยากรกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง)
โดยมีปราชญ์ชาวบ้านในจังหวัดพิจิตร
ที่มีความรู้และภูมิปัญญาในการทำเกษตรปลอดสารมาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
วิสันต์ได้แนวคิด วิธีการลด ละ
เลิกการใช้สารเคมีอย่างมากและตรงกับที่อยากจะทำ
ในที่สุดจึงรวมกลุ่มคนที่สนใจมาได้ประมาณ 30 คน
ช่วยกันคิดหาวีการปลูกผักหรือการทำเกษตรแบบปลอดสาร
จากนั้นจึงจัดตั้งกลุ่ม “ปลูกผัก”ปลอดสารเคมีขึ้น
และมีการสร้างเครือจ่ายระดับตำบลในอำเภอโพธิ์ประทับช้างได้ถึง 6 ใน 7
ตำบล มีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เทคนิควิธีการลด ละ
เลิกการใช้สารเคมีร่วมกันเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง
ซึ่งระหว่างนั้นกลุ่มได้เรียนรู้เยอะมาก
โดยเฉพาะเรื่องการทำตลาด เพราะเมื่อส่งผักไปขาย
ผักของกลุ่มถูกนำไปวางรวมกับผักที่ปลูกด้วยสารเคมี
และราคาก็ไม่ได้แตกต่างซ้ำยังอาจถูกกว่าเพราะผักไม่สวยมีแมลงกัดกิน
กลุ่มจึงหาวิธีแก้ไขด้วยการตั้ง “คณะกรรมการการตลาด”ขึ้นมา
โดยทำขึ้นอย่างไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย
แต่สรุปกันได้ว่า
ควรจะต้องเริ่มจากตลาดในบริเวณบ้นของพวกเรากันเองก่อน
โดยไปพูดอธิบายให้ลูกค้าฟังว่า สารเคมีนั้นมีอันตรายอย่างไร
การปลูกผักปลอดสารเหล่านี้ทำกันอย่างไร ในวันแรก ๆ ขายได้ไม่มากนัก
แต่กลุ่มฯก็ทำการตลาดแบบนี้ต่อไปไม่หยุดหย่อน
มีการประชาสัมพันธ์และโฆษณาคุณสมบัติของผัก
โดยใช้ความจริงและความจริงใจต่อผู้บริโภค
ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคชี้ให้เห็นความแตกต่างของผักปลอดสารกับผักที่ปลูกด้วยสารเคมี
ทำให้เกิดการบอกต่อ ๆ กันไปของลูกค้า
บางรายยังไม่แน่ใจก็ขอมาดูที่แปลงผักของกลุ่ม
ตลาดเพิ่มขยายออกไปมากขึ้นมีการเชื่อมโยงกับจังหวัดเพื่อนำผักไปวางขาย
นอกจากนั้นยังมีการขยายกลุ่มลูกค้าออกไปอีก
โดยเจากลุ่มลูกค้าที่ออกกำลังกาย กลุ่มเต้นแอโรบิก
เพราะเป็นกลุ่มที่รักสุขภาพโดยเฉพาะ
ซึ่งต่อมาลูกค้าเริ่มให้ความสนใจผักปลอดสารของกลุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทำให้กลุ่มมีกำลังใจปลูกผักปลอดสารเคมีเพราะขายผักได้มากขึ้น
ต้นทุนลดลง มีรายได้เพิ่มขึ้น หนี้สินลดลง
ทำให้คุณภาพชิวตของกลุ่มเกษตรกรดีขึ้น สุขภาพแข็งแรง
ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกาย ครอบครัวมีความสุข
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวของการจัดการความรู้ในกลุ่มย่อยๆ
ของเครือข่ายพิจิตรปลอดสาร
เป็นการทำโดยผู้ทำเองก็ไม่รู้ว่าจัดการความรู้คืออะไร
แต่เมื่อได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตร
แลกเปลี่ยนในเรื่องที่ชาวเกษตรกรแต่ละคนมีความรู้อยู่แล้ว
ซึ่งทุกครั้งที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็จะได้ความรู้ ความคิด
วิธีการต่าง ๆ กลับไปใช้
และการเข้าร่วมกระบวนการจัดการความรู้แบบนี้จะทำให้เกษตรกรมีความรู้ในเรื่องการทำการเกษตรอย่างเป็นระบบและมีทิศทางมากขึ้น
“เพราะในกระบวนการจัดการความรู้จะมีการประเมินขีดความสามารถของตนเอง
ทำให้รู้ว่า ในเรื่องหนึ่ง ๆ ใครเก่งที่สุด ใครเก่งเรื่องอะไรบ้าง
ก็จะได้ไปเรียนรู้จากคนนั้น ๆ ต่อไป
ซึ่งทำให้แต่ละคนได้ความรู้ในระดับที่ลึกมากขึ้นกว่าที่รู้อยู่แล้ว
ต่ปัญหาปัจจุบันคือ กลุ่มรู้ว่าใครเก่งอะไรใครรู้เรื่องอะไร
แต่ขาดการบันทึก ขาดการจัดเก็บความรู้ที่ดี
ซึ่งตอนนี้ก็กำลังฝึกการบันทึกให้มากขึ้น” วิสันต์ กล่าว
“ผู้นำ” “ผู้ประสาน”
“คุณอำนวย”
ในฐานะ“ผู้นำ”
“ผู้ประสาน” และ “คุณอำนวย” คุณสุรเดชใช้เรื่อง “เมืองไทยแข็งแรง”
ซึ่งเป็นนโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุข มาใช้ในการโน้มน้าว
ชักชวนผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ
ในพิจิตรให้หันมาสนใจเรื่องการจัดการความรู้
โดยตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“เรามีศักยภาพแค่ไหนที่จะทำให้นโยบายเมืองไทยแข็งแรงประสบผลสำเร็จ
หันมาดูตัวเองก่อนดีไหมว่ามีความพร้อมแค่ไหน”
โดยส่วนตัว
คุณสุรเดชเห็นว่านโยบายเมืองไทยแข็งแรง น่าจะเป็นชุมชนนักปฏิบัติ
(CoP) ได้ 6 ชุมชน คือ การออกกำลังกาย , อาหาร , อนามัย ,อโรคยา
,อารมณ์ และอบายมุข
ซึ่งหากมีการทำงานอย่างต่อเนื่องก็จะได้ชุมความรู้ของชุมชนทั้ง 6
ออกมาเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่นๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
และจากการจัดเวทีในกลุ่มเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย 10 แห่งใน
อ.โพธิ์ประทับช้าง ทำให้รู้ว่าเพื่อนทำอะไรกันบ้าง
ได้รู้ว่ามีสิ่งดีๆ ในตัวเพื่อนๆ
และสุดท้ายสรุปว่าน่าจะจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างนี้ทุกเดือน
และสามารถนำไปใช้กับในแก้ปัญหาและพัฒนาเครือข่ายเกษตรปลอดสารได้เช่น
กรณีเครือข่ายที่ อ.โพธิ์ประทับช้าง ในเมื่อ “คุณอำนวย” เริ่มขยับ
เกษตรกรจะอยู่เฉยได้อย่างไร ก็ต้องขยับให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ต่อไป
รวมทั้งเกษตรกรยังช่วยกันหาวิธีการในการพัฒนาตนเองใน “แก่นความรู้”
ต่างๆ เช่น เรื่องการขยายเครือข่าย
ทำได้โดยประชุมกลุ่มระดับตำบลเดือนละ 1 กลุ่ม
ระดมทุนเรื่องการจัดการผลิต ก็ใช้วิธีเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง
พัฒนาคุณภาพส้มท่าข่อย และการก่อตั้งโรงงานปุ๋ยชีวภาพ
โดยภาพรวมของเครือข่ายเกษตรปลอดสารสามารถแบ่งความชำนาญออกเป็น 7
ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) เช่น กลุ่มข้าว , กลุ่มโรงสี ,กลุ่มผัก
ของคุณวิสันต์ ทองเต่ามก ,กลุ่มเกษตรประณีต , กลุ่มไร่นาสวนผสม ,
กลุ่มทายาทเกษตร และกลุ่ม อบต. เกษตร
ก้าวต่อไปของเครือข่ายเกษตรปลอดสาร คือ
ต้องการจะได้ชุดความรู้ของชุมชนนักปฏิบัติทั้ง 7
ออกมาเผยแพร่แก่สังคมในวงกว้างต่อไป
ภาพเคลื่อนไหวของการจัดการความรู้ในแต่ละกลุ่มชุมชนนักปฎิบัติของเครือข่ายพิจิตรที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคึกคักเพื่อเข้าถึงแก่นของความรู้ในแต่ละเรื่องที่จะนำไปสู่การพัฒนาพิจิตรให้เป็นจังหวัดที่แข็งแรงทั้งผู้คนและศักยภาพการแข่งขันด้านอื่น
ๆ ซึ่งมีจุดเริ่มมาจากพลังความรู้และการเรียนรู้ของคนพิจิตรเอง
จากกระบวนการจัดการความรู้ที่เป็นเพียงเครื่องมือเสริมให้พวกเขาสามารถมองทะลุปัญหา
ค้นพบทางออก และก้าวสู่เป้าหมายอย่างมั่นใจ.
คุณสุรเดช เดชคุ้มวงศ์
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร
ถ.คลองคะเชนทร์ ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.พิจิตร 66000
0-9961-1204
ไม่มีความเห็น