นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๕)
จากเครือข่ายปลอดสาร สู่ เครือข่ายสุขภาพ
การจัดการความรู้เพื่อพิจิตรแข็งแรง
(โปรย) หลังจากพยายามมานาน ในที่สุดจังหวัดพิจิตรก็กำลังก้าวสู่การเป็นเมืองเกษตรปลอดสารและผู้คนสุขภาพดี ด้วยการนำกระบวนการจัดการความรู้ไปใช้กับเครือข่ายเกษตรปลอดสาร และเกิดกลุ่มเครือข่ายของคนพิจิตรกว่า 7 กลุ่มที่มาร่วมกันสร้างองค์ความรู้บนฐานทุนเดิมของแต่ละกลุ่ม/ชุมชน/หน่วยงาน ที่นำไปสู่การปฎิบัติจริงเพื่อการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี และทำทุกเรื่องที่ให้คนพิจิตรสุขภาพดี มีการทบทวนและยกระดับความรู้อยู่ตลอดเวลา
พิจิตรป่วย :
ปัญหาร่วมและจุดเริ่ม
จากข้อมูลยืนยันของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่าพิจิตรเป็นจังหวัดที่ติดอันดับ
1 ใน 5 ในเรื่องของเกษตรกรมีสารเคมีตกค้างในเลือดมาโดยตลอด
อีกทั้งสถิติการขายสารเคมีของเกษตรกรจังหวัดพิจิตรก็อยู่เป็นอันดับ 2
ของประเทศ เพราะพิจิตรเป็นเมืองน้ำ มีชลประทานอยู่ใกล้ที่นา
เกษตรกรทำนา 2 ปีต่อ 7 ครั้ง
ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่เกษตรกรจะให้ทำผลผลิตได้เยอะๆ
รวมทั้งกลุ่มเกษตรผู้ปลูกผักด้วย
ทำให้พฤติกรรมของเกษตรกรต้องมาเร่งผลิตและใช้สารเคมีกันมากขึ้น
และเมื่อทำมาเป็นเวลานานสภาพดินก็เสื่อม น้ำก็เสีย
คนก็สุขภาพเสียและเสื่อมไปด้วย บางคนป่วยถึงขั้นเสียชีวิต
เนื่องจากสารเคมีสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน
คนพิจิตร
จึงมีปัญหาอยู่ 2 อย่าง คือ ปํญหาด้านสุขภาพ
และปัญหาด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรประสบปัญหาดินเสื่อม
ทำการเกษตรไม่ได้ผล
มีหนี้สินและที่ยากจนอยู่แล้วก็ยิ่งจนลงไปอีก
ซึ่งปัญหาต่าง ๆ
เหล่านี้ส่งผลให้เกษตรกรและชาวพิจิตรมีคุณภาพชีวิตไม่ดี
คุณสุรเดช ซึ่งทำงานด้านสาธารณสุขในจังหวัดพิจิตรมองเห็นว่า
การดูแลรักษาให้ความรู้ทางด้านสาธารณสุขกับชาวบ้านเพียงด้านเดียว
จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชาวพิจิตรได้
จำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาที่พัวพันรอบตัวเกษตรกรหรือชาวบ้านให้ได้ด้วย
เครือข่ายพิจิตรปลอดสาร :
การขับเคลื่อนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร
และมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรจึงร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับชาวบ้าน
และค้นพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรเจ็บป่วย
คือสารเคมีที่มาจากการทำการเกษตร
จึงได้ช่วยกันผลักดันให้เกิดเป็นเครือข่ายเกษตรปลอดสาร
สร้างความตระหนักให้แก่เกษตรกร
ส่งเสริมกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเกษตรกรบนพื้นฐานชุมชนและองค์ความรู้ที่มีอยู่
เพื่อนำไปสู่การ ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีอย่างสิ้นเชิง
โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า
“เกษตรกร่จังหวัดพิจิตรต้องมีสุขภาพดีเลิกการใช้สารเคมีให้ได้”
“การแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการจำเป็นต้องใช้ความรู้ที่หลากหลายเพิ่มขึ้น
ความรู้ที่มีอยู่เดิมของเกษตรกรไม่เพียงพอแล้ว
จำเป็นต้องหาความรู้ชุดใหม่ หาวิธีการแก้ไขปัญหาแบบใหม่เพิ่มเติม
ทีมงานต้องมาวิเคราะห์ว่า ในจังหวัดพิจิตร มีคนที่มีความรู้
มีภูมิปัญญา หรือคนที่ทำเกษตรปลอดสารหรือไม่ คำตอบคือมี
และคนมีคนที่ทำเกษตรปลอดสารที่ประสบความสำเร็จด้วย
ทางทีมงานจึงนำบุคคลเหล่านั้นมาร่วมกันคิด
นำความรู้ฝังลึกของกลุ่มคนเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
หาวิธีการหรือทางแก้ปัญหาร่วมกัน”คุณ สุรเดช เดชคุ้มวงศ์
ผู้อำนวยการมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร กล่าว
การดำเนินงานของเครือข่ายเกษตรปลอดสารนั้น
จึงมีผู้ที่คอยผลักดันและเติมเต็มแรงบันดาลใจให้เกิดการขับเคลื่อนมาจากหลายๆ
ภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข
จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.พิจิตร) สาธารณสุขอำเภอ ,
สถานีอนามัย เช่น คุณสุรเดช เดชคุ้มวงศ์ ,คุณชัยณรงค์ สังข์จ่าง
, คุณลำไย บัวดี และอีกหลายต่อหลายท่าน ทั้งชาวนา ชาวไร่
และปราชญ์ชาวบ้าน เช่น ลุงจวน ผลเกิด ที่มีที่ดินทำกินเพียง 6
งาน แต่สามารถหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัวได้
ลุงสุนทร มัจฉิม
จากโรงสีเนินปอ ที่ชักชวนภรรยามาร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับ สคส.
ลุงณรงค์ แฉล้มวงศ์
ที่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยจากสารเคมีตกค้างในเลือดจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
แต่ปัจจุบัน เปลี่ยนวิถีการทำมาหากินมีเป็นไร่นาสวนผสมปลอดสาร
เป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นครูให้แก่โรงเรียนในอำเภอบางมูลนาก
ส่วนคุณสินชัย
บุญอาจ ที่ไปได้ความรู้เรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าวจากมูลนิธิข้าวขวัญ
จ.สุพรรณบุรี ก็นำกลับไปพัฒนาพันธุ์ข้าวและการทำนาของตนเอง
จนได้ผลผลิตท่วมท้นที่ใครเห็นก็อิจฉา
สินชัยก็ได้ขยายความรู้นี้ให้กับเพื่อนเกษตรกรที่สนใจ
แต่ที่ผ่านมาการดำเนินงานของเครือข่ายเกษตรปลอดสารเกิดปัญหาความไม่ต่อเนื่องหลายประการ
เช่น การไม่สามารถขยายเครือข่ายได้ในบางเครือข่าย เช่น ที่
อ.โพธิ์ประทับช้าง
เพราะแกนนำกลุ่มขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการ
และขาดการวางแผนที่ดี และการติดตามผลงาน
ทำให้นอกจากสมาชิกจะไม่เพิ่มแล้วยังกลับลดลงไปอีก
รวมทั้งปัญหาส่วนตัวของผู้นำเอง
ซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้เครือข่ายและที่ปรึกษาที่มีงานประจำ
ก็ไม่สามารถช่วยเหลือในเชิงลึกได้
และไม่สามารถใช้เครื่องมืออะไรมาจัดการให้เกิดการทำงานที่มีความสุขได้
สคส.คุณครูผู้แนะนำ
จนเมื่อปลายปี
2547 คุณสุรเดช ได้พบกับ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
ซึ่งได้เสนอแนะแนวทางการจัดการความรู้ การทำงานกับชุมชนให้
คุณสุรเดชจึงลองนำไปใช้กับเครือข่ายฯโดยจัดเวทีให้ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ทบทวนแนวทางการทำงาน จนได้ “ตารางอิสรภาพ”
ซึ่งเป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่ช่วยใช้เครือข่ายสามารถประเมินตนเอง
วางแผนพัฒนาโดยกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และรวบรวมองค์ความรู้
ยกระดับความรู้และเพื่อมุ่งไปสู่การมีสุขภาพดี การลดหนี้สิน
และสิ่งแวดล้อมปลอดสารพิษทั้งในระดับครัวเรือน ชุมชน และสังคม
ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาของเครือข่าย
นายสุรเดช กล่าวว่า
หลังจากได้แนวคิดและข้อเสนอแนะแนวทางการจัดการความรู้การทำงานกับชุมชน
จึงเกิดการจัดเวทีให้ “คุณอำนวย” ได้เรียนรู้เครื่องมือใหม่ชุด
“ธารปัญญา” ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร เมื่อเดือนตุลาคม 2547
และให้ผลที่กลุ่มผู้นำรู้สึกว่าเครื่องมือต่างๆที่ได้เรียนรู้มีความน่าสนใจ
และน่าจะนำไปใช้กับองค์กรหรือกลุ่มประชากรที่ทำงานด้วย
จึงได้ติดตามและร่วมเรียนรู้กับสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
(สคส.) อีกครั้ง ณ วัดวังจิก โดยจัดแกนนำเกษตรกรซึ่งเป็นทีมงานของ
สสจ. ให้ทำหน้าที่ “คุณอำนวย” และ Note taker
ถือว่าเป็นการสร้างคนขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง คือ ระดับผู้นำเกษตรกร
ที่มีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน
จึงมีความสำเร็จมาเล่าให้กลุ่มฟังอย่างเข้มข้นและสามารถสร้างพลังขับเคลื่อนกลุ่มได้อย่างมากมาย
และทำได้ “แก่นความรู้” เรื่องเกษตรกรสุขภาพดี ปลอดหนี้
“ไม่น่าเชื่อว่าการเรียนรู้เพียงสองหน
และความตั้งใจที่จะพัฒนากลุ่มของเครือข่ายพิจิตรฯ
สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ต่อ
โดยพบว่ากลุ่มพยายามพัฒนาและเรียนรู้เพิ่มเติม
และมีการนำเครื่องมือชุดธารปัญญานำมาใช้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งในส่วนของสาธารณสุขและเครือข่ายเกษตรปลอดสาร
โดยมีลำดับขั้นตอนไม่เหมือนกัน เช่น หน่วยสาธารณสุขจังหวัด
ก็จะเป็นการนำเครื่องมือใช้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับ
และใช้ให้สอดคล้องและไปในทิศทางเดียวกับงานปกติ (งานประจำ)
คือสวมเข้ากับงานของทีมพัฒนาคุณภาพ
อีกขั้นหนึ่งคือการทำความเข้าใจกับผู้บริหารเพื่อให้เข้าใจ
เห็นความสำคัญ
และสุดท้ายคือให้ความร่วมมือสนับสนุนทีมงานพัฒนาคุณภาพทำให้ข้าราชการที่เป็น
“คุณอำนวย” สามารถทำงานด้วยความสบายใจ ไม่มีอุปสรรค์
ปลดปล่อยพลังดีงามออกมาอย่างสร้างสรรค์
จัดการความรู้แบบพิจิตร
ผู้อำนวยการมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร กล่าวว่า
จากเป้าหมายของเครือข่ายที่ต้องการทำให้พิจิตรแข็งแรงขึ้น
แต่ปัญหาก็คือ จะต้องลดหนี้สินให้ได้ ต้องให้สุขภาพฟื้นขึ้นมา
ต้องรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งดินและน้ำ
ซึ่งเราจะต้องเน้นการเกื้อกูลแบ่งปันความรู้สู่เกษตรกรท่านอื่นๆ
ให้สามารถเพิ่งตนเองได้ และสิ่งที่ต้องทำต่อไป ประเด็นการสร้างปัญญา
สร้างความรู้ให้กับชาวบ้าน ทำอย่างไร ชาวบ้านคิดเอง และทำเอง
ซึ่งสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จของเครือข่ายจังหวัดพิจิตรมากกว่า
เมื่อลองนำการจัดการความรู้มาใช้เสริมในกระบวนการที่ทำอยู่
และเกิดผลที่เป็นทั้งการสร้างคน สร้างความรู้
และสร้างพลังของกลุ่มเครือข่ายให้ก้าวไปอย่างมีแนวทางและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
โดยเน้นการจัดเวทีให้เครือข่ายได้มาแลกเปลี่ยนกันให้มากที่สุด
ทั้งเวทีในระดับพื้นที่ ตำบล อำเภอ และเวทีสัญจร
เมื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันแล้ว
ก็นำมาวางแผนต่อไปว่าจะทำงานอะไรต่อไป
จากนั้นก็ดำเนินงานตามแผน
พร้อมกับการประเมินว่าสิ่งที่แต่ละกลุ่มทำเป็นอย่างไร
อยู่ในขั้นตอนไหน ทุกครั้งที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
แต่ละกลุ่มจะพยายามถอดรหัสความรู้ออกมา โดยมี “คุณลิขิต”
ที่ได้พัฒนาขึ้นมาพร้อมกับการดำเนินงาน
ซึ่งเดิมไม่เคยมีการจดบันทึกในสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนกันแต่ละครั้งทำให้การทำงานนั้นไม่คืบหน้า
แต่หลังจากที่มีเครื่องมือการจัดการความรู้เข้ามาให้กลุ่มได้เรียนรู้
ทำให้ความสำคัญของการจดบันทึกถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
“คุณลิขิต”
จึงมีความสำคัญมากในกระบวนการจัดการความรู้ในแบบของเครือข่ายพิจิตรฯ
ไม่มีความเห็น