การเดินทางด้วยความประมาท..อวดดี และหยิ่งผยอง


การจะทำอะไรสักอย่าง อาศัย “หัวใจ” เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ

ผมเพิ่งสัมผัสได้ด้วยตนเองอย่างจังว่า   การจะทำอะไรสักอย่าง   อาศัย “หัวใจ”  เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ  เราคงต้องถาม “กาย” ของเราด้วยเหมือนกันว่า พร้อมหรือไม่ ?
 
ล่าสุด  ภายหลังกลับออกมาจากการจัดกิจกรรมร่วมกับพี่หน่อยและเด็กรักป่า  วันนั้น (10 สิงหาคม 2551)  ผมเดินทางกลับถึงมหาสารคามในราวทุ่มเศษ  จากนั้นก็ขับรถส่วนตัวออกเดินทางไปยังกรุงเทพฯ  โดยมีนิสิตสองคนนั่งไปเป็นเพื่อน

สองถึงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  ถือเป็นช่วงชีวิตที่ผมทำงานหนักมาก 

ผมเดินทางทั้งที่รู้ตัวดีว่า  ร่างกายผุโทรมอยู่มาก  แต่เพียงเพราะความต้องการอันแรงกล้าที่จะเดินทางไปให้กำลังใจแก่น้อง ๆ “วงแคน”  ที่เข้าประกวดวงดนตรีพื้นบ้านโปงลางชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยที่กรุงเทพฯ  ทำให้ผมดื้อดึงที่จะเดินทาง และเดินทางทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ตนเองเหนื่อยเกินกว่าจะไปไหนต่อไหนอีกแล้ว

ผมขับรถด้วยตนเอง  ท่ามกลางความมืดและสว่างของเส้นทาง  ชีวิตได้คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย  ยิ่งเดินทางยิ่งเริ่มรู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าและเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด  บ่อยครั้งผมเริ่มมีอาการซึม และโรยแรงมากขึ้น  การเตือนให้ตัวเองมีสติ คือ  วิธีการเดียวเท่านั้นที่ผมพยายามปฏิบัติกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ผมไปถึงกรุงเทพฯ  ในราวเกือบ ๆ จะตีสาม  แต่ในช่วงปทุมธานีนั้น  ผมเกิดอาการหลับในอยู่บ่อยครั้ง  แต่ก็ยังโชคดีที่ยังสามารถผ่านพ้นตรงนั้นมาได้  จากนั้นก็เข้าพักร่วมกับคนอื่น ๆ  ที่เดินทางมาก่อนแล้ว  ตื่นอีกทีในเวลาเกือบ ๆ จะสองโมงเช้า  เสร็จแล้วก็เข้าสู่วิถีของการงานตลอดทั้งวัน

ผมตั้งใจว่าจะหามุมเงียบ ๆ  สบาย ๆ เอนกายหลับพักกลางวันสักเล็กน้อย  เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น  แต่เพราะการที่หัวใจต้องการเกาะติดบรรยากาศของการแข่งขัน  และการให้กำลังใจแก่น้อง ๆ  ทำให้ผมไม่สามารถหลีกหลบไปหามุมส่วนตัวเช่นนั้นได้

การแข่งขันยุติลงในราวสามทุ่ม  ผมเปลี่ยนใจที่จะออกเดินทางในคืนนั้น  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะนอนพักสักคืนก่อน  เพื่อให้ร่างกายสดชื่นและมีพลังมากกว่าที่เป็นอยู่   แต่เพราะหัวใจร่ำเรียกหา “บ้าน”  อย่างรุนแรง  รวมถึงเสียงใส ๆ ของลูกชายคนโตที่ลอดผ่านโทรศัพท์  ยิ่งทำให้ผมไม่คิดที่จะอยู่ในกรุงเทพฯ  อีกคืน  ยิ่งการคิดถึงภาพที่น้องดินร่ำไห้ในวันก่อนเดินทาง  ด้วยเหตุผลที่ว่า  อยากให้ผมอยู่กับเขานาน ๆ  นั้น  ยิ่งชวนให้ผมมุ่งมั่นที่จะหอบสังขารกลับบ้านให้เร็วที่สุดเเท่าที่จะทำได้

ตลอดระยะเวลาของการเดินทางฝ่าความมืดและสายฝน  ..  ผมเดินทางด้วยความทุลักทุเล.  อาการง่วงซึมมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย  เกิดอาการสะดุ้งตื่นเป็นระยะ ๆ  และนั่นยิ่งทำให้ผมเห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต  ยิ่งเดินทาง ยิ่งดูเหมือนว่าบ้านได้ห่างออกไป..ห่างออกไป

นี่เป็นการเดินทางอย่างประมาท  - เลินเล่อ – อวดดี และหยิ่งผยอง  โดยไม่พยายามที่จะสำรวจดูตนเองว่า สภาพร่างกายมีความพร้อมหรือไม่

การเดินทางในค่ำคืนนี้  จึงเป็นการเดินทางอย่างทุกข์ทรมาน  เป็นการเดินทางในมุมของการทำร้ายตัวเอง  และทำร้ายคนที่รักเราอย่างเห็นได้ชัด  สำหรับผมแล้ว  นี่คือการเดินทางอย่างสุ่มเสี่ยง  และแสนเปลี่ยวที่สุดที่ผมเพิ่งสัมผัสได้อย่างน่าหวาดวิตก  เมื่อหวนคิดกลับไปยังค่ำคืนที่ผ่านมา  ผมเห็นความเลวร้ายท่ามกลางความโชคดีของตนเอง  และเชื่อว่า ในอนาคต  ผมคงไม่โชคดีเช่นนี้เป็นแน่

 

โดยปกติ  ผมเชื่อมั่นเสมอว่า  การมีหัวใจอันกล้าแกร่ง  คือกุญแจอันสำคัญที่สุดของการลงมือทำสิ่งใด ๆ  ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  แต่พฤติการณ์ที่สัมผัสคราวนี้  ได้สอนบทเรียนอย่างแสนสาหัสแก่ผม  จนผมสัมผัสได้ถึงความอันตรายของชีวิต  และสัมผัสได้ว่า  ผมใช้ชีวิตด้วยความประมาท และอวดดีอย่างไม่น่าให้อภัยรวมถึงการรู้ซึ้งว่า  การเดินทางในครั้งนี้  ไม่ต่างอะไรกับการเดินทางแบบตายทั้งเป็น


ผมไม่คิดว่า  ครั้งต่อไปชีวิตจะโชคดีแบบนี้อีก .
การเดินทางในสภาพที่ไม่พร้อมเช่นนี้  ช่างเป็นการเดินทางที่น่ากลัวและทุกข์ทรมานเป็นที่สุด


ขอบคุณทุกสิ่งอย่าง  ที่นำพาผมกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย  และครั้งต่อไป  ผมคงไม่เอาหัวใจมาเป็นนายของร่างกายโดยปราศจากเหตุผลแบบนี้อีกแล้ว

คำสำคัญ (Tags): #โลกและชีวิต
หมายเลขบันทึก: 200469เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2008 20:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 20:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)
  • โชคดีครับ
  • อย่าประมาทนะครับ
  • เป็นบทเรียนนะครับพี่
  • แวะมาให้กำลังใจและมาเยี่ยมครับพี่
  • สบายดีนะครับ

 

  • ว่าหายไปไหนหลายวัน
  • ที่แท้ก็งานๆๆน้องๆต้องการกำลังใจ
  • แต่ก็ไม่ไหวนะถ้าไม่พักผ่อน..ใจสู้ๆๆสังขารไปไม่รอด
  • มีคนเคยพูดว่ากระพริบตาที่เดียว ....เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป
  • ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนเด็ดขาด...จอด..งีบก่อน
  • ขอบคุณมากครับ

ขอโทษน่ะครับที่ทำให้พี่ลำบาก ....ขอโทษสำหรับการขับรถที่ค่อนข้างทุลักทุเลเนื่องด้วยอะไรหลายอย่างในตัวผม ขอบคุณทุกๆสิ่งที่พี่มอบให้ด้วยดีเสมอมาครับ พักผ่อนดูแลตัวเองบ้างน่ะครับ...ห่วงเสมอ

วันนั้นนุ้ยได้ไปเล่นกะน้องดินและน้องแดน เลยคุยกะพี่เจี๊ยบว่าพี่นัสคงกลับจากสุรินทร์มาถึงสารคามค่ำแน่ๆ แล้วยังต้องขับรถไป กทม. ต่ออีก นุ้ยยังอึ้งเลยว่า โอ้โห ขับไหวเหรอเนี่ย ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆเลยนะ ยิ่งกลับมาเหนื่อยๆ  แล้วมีใครนั่งเป็นเพื่อนป่ะเนี่ย

คราวหลังก็อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ เข้าใจว่าทุ่มเทกับงานมาก แต่ก็ดูเป็นห่วงตัวเองด้วยนะคะ อย่าลืมว่ายังมีเด็กน้อยสองคนที่ชื่อแผ่นดินและแดนไทและเมียหนึงคือพี่เจี๊ยบรออยู่ที่บ้านอยู่นะพี่  

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เป็นห่วง

ขอให้โชคดีทุกๆครั้งและตลอดไปค่ะ

 

สวัสดีคะ

อ่านบันทึกแล้วก็ถอนใจ ดีใจที่เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ ดีนะคะที่ยังรู้ตัวว่า  คนเราบางครั้งฝืนเกินไปหรือดึงดัน ก็ทำให้อันตรายมาเยือนได้ วันนี้อาจโชคดีนะ

ยังไงก็ต้องคำนึงถึงสุขภาพและคนข้างหลังไว้เยอะๆ นะคะ สุขภาพเราใช้มากก็เหมือนทำลายตัวเองนะคะ รักตัวเองก่อนรักคนอื่นนะคะ ถ้าเราไม่รักแล้วเราจะรักคนอื่นได้ไง อิอิ

เวลาย้อนหลังไม่ได้ สุขภาพก็ซือ้หาไม่ได้เช่นกัน ต้องดูแลให้ดีที่สุด   ระลึกถึงเสมอนะคะ ฝากความระลึกถึงคุณเจี๊ยบ และเจ้าตัวเล็กสองคนด้วยนะคะ (อิอิ )

หัวหน้าฯเอ๊ย...

เจ้าคักแท้  เอารถเข้ากทม.แถมขับเองอีกต่างหาก  บ่อดีกับสุขภาพและครอบครัวเด้อ   คนของความรักเจ้าวาจั๋งได๋เนี่ย...

ดูแลหัวใจของเขาแนเด้อ

หัวใจที่กล้าแกร่งอย่างเดียวยังไม่พอครับ ต้องดูแลสุขภาพด้วย

----------------------

ผมฝาก ดร.กะปุ๋ม ให้แสดงความห่วงใย เธอบอกกับผมว่าได้เพียงแต่บอก

ดูแลสุขภาพตนเองครับ

สวัสดีครับ  นี่เป็นการเดินทาที่ทุกข์ทรมานที่สุดเท่าที่จำได้

การฝืนสังขารคราวนี้  สอนบทเรียนสาหัสให้กับชีวิต  มีหลายครั้งที่สะดุ้ง และวูบไปบ้าง  แต่พอมีสติ ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คราวหน้า.  คงไม่ฝืนสังขารอีกแล้ว

...

ขอบคุณครับ

 

สวัสดีครับ พี่ยาว เกษตรยะลา

การเดินทางครานี้  ผมโชคดีมาก  แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายถึงการโชคดีเสมอไป.

จริงดังว่าครับ...กระพริบตาที่เดียว ....เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป

 

สวัสดีครับ ..เมืองแคน

ยังไงก็ยังรู้สึกผิดเลยนะที่ต้องรบกวนเราช่วยขับรถให้ในช่วงท้าย  เหนื่อยจนลืมไปว่า  เราเองก็มองอะไรต่ออะไรไม่ชัดเจนนัก

ปกติก็ลุยได้เสมอ  แต่พักนี้ร่างกายไม่ไหวจริง ๆ  และนั่นอาจหมายถึง  แก่แล้ว.  อิอิ

 

 

 

ขอบคุณครับ . นุ้ยcsmsu

พักหลัง เป็นช่วงที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนนัก  ร่างกายเลยดูอ่อนแรงอ่อนเพลีย  แต่บทเรียนคราวนี้สาหัสมาก  จำไปอีกนานเลยแหละ

แต่ค่อยไปไหนมาไหนก็ดูอึด  แต่ตอนนี้อายุมากขึ้น  เลยออกอาการอย่างที่ว่านี้แหละ

สวัสดีครับ พี่ราณีRanee

ค่ำคืนนั้น .. ตอนขากลับจากกรุงเทพฯ  ยิ่งขับยิ่งรู้สึกทุกข์ทรมาน  แต่ยังดีที่ว่าร่างกายฟื้นเร็ว  เลยยังอยู่รอดปลอดภัย  ตอนนั้นตัดสินใจให้นิสิตขับแทน  เพราะรู้ตัวว่า  ตนเองไม่ไหวแล้วจริง ๆ  ขืนดื้อไปก็คงไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

มาถึงห้องพัก. สิ่งแรกที่ทำ คือ เดินเข้าไปหอมแก้มลูก ๆ  และซุกตัวนอน  พร้อม ๆ กับหวนคิดว่า  เราโชคดีมากที่ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย

ขอบคุณครับ

 

ขอบคุณเจ้หนิง มากครับ  DSS "work with disability" ( หนิง )

คราวนี้ใช้หัวใจทำงานมากกว่า "สมอง"  เลยพลอยเหนื่อยกายเหนื่อยใจไปมากโข

ส่วนคนที่บ้าน  ก็ไม่เห็นด้วยหรอกครับ แต่ก็ห้ามไม่ได้ ..ผมมันคนดื้อ.และดื้อมาก

ขอบคุณครับ

 

สวัสดีครับ คุณเอก. จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

ขอบคุณความปรารถนาดีที่มีให้เสมอมา  แต่คราวนี้  ผมก็จำต้องทำเช่นนั้น  สถานการณ์หลายอย่างบียรัดที่ต้องตัดสินใจ

ถือว่าผมโชคดีมาก..และโชคดีจริง ๆ

ขอบคุณครับ

 

 

  • กรรมดีที่สั่งสม กับร่างกายเป็นคนละเรื่องแน่นอนค่ะ  
  • รักษากายให้ดี เพื่อจะได้มีเวลาทำดีเพื่อแผ่นดิน ไปนานๆ
  • สู้สู้ค่ะ อาจารย์
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท