สวัสดีครับ
ที่หงสาระยะฤดูเข้าพรรษาปีนี้ฝนตกดีจริงๆ ตกได้ทุกวัน ผู้เฒ่าผู้แก่ท่านเตือนว่าฝนดีอย่างนี้ระวังหน้าหนาวมักหนาวจัด ก็ต้องคอยดูว่าจะเป็นดั่งนั้นหรือไม่ แต่ฝนที่นี่ผมว่าแปลกกว่าบ้านเราตรงที่ว่าฝนมักตกในช่วงกลางคืนต่อเนื่องไปจนถึงบ่ายต้นๆ หลังจากนั้นก็ฟ้าแจ้งแดดส่อง ทำให้ผมพอได้ออกเดินเล่น(ออกกำลัง)ในช่วงเย็นๆได้บ้าง รู้สึกเขินๆที่ใช้คำว่าเดินออกกำลังกาย อันที่จริงน่าจะเรียกเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยซะมากกว่า ถือเป็นการผ่อนคลายหาเวลาอยู่กับตัวเองที่ดีได้ในเมืองเล็กๆเช่นนี้
เดินไปก็ทักทายผู้คนไปบ้าง การได้พูดคุยกับคนพื้นถิ่นบ่อยๆทำให้ภาษาของเรากลมกลืน การสื่อสารกันได้สะดวก ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนสำเนียงตัวเองจากภาษาอีสานสำเนียงโซ่ดงหลวง(ที่ป้าแดงเคยล้อ) มาเป็นสำเนียงลาวหงสาที่ลงท้ายคำว่า “โอ๋”จนติดปากแล้วครับ แต่สำเนียงพูดที่นี่แตกต่างกันในแต่ละหมู่บ้าน หากมาอยู่นานๆแล้วจะฟังออกว่าเพียงแค่คนละฝั่งแม่น้ำก็พูดกันคนละสำเนียงแล้ว ผมว่านี่เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่ อยากให้มาเที่ยวมาได้ฟังจังเลยครับ ไว้ปีหน้าเขาเปิดเป็นด่านสากลแล้วมาเที่ยวกันนะครับ เข้าทางน่านแวะเที่ยวหงสาแล้วไปลงเรือล่องแม่น้ำโขงหกชั่วโมงก็ถึงหลวงพระบาง
บางครั้งผมก็แวะเล่นกับวัวน้อยแถวข้างทางบ้าง เห็นเด็กๆลงเบ็ดดักไซวางตุ้มแถวร่องระบายน้ำก็แวะไปจุ้นขอลองทำบ้างไปตามเรื่อง (ขอย้ำว่าทั้งหมดนี่ในเขตเทศบาลเมืองครับ ชาวหงสา หาปลากันแถวร่องน้ำหน้าบ้านนี่เอง แล้วจะเล่าในบันทึกต่อๆไป)
เส้นทางเดินของผมมีสามสี่สาย แล้วแต่ว่าวันไหนอยากเดินใกล้ไกล หรือว่าขึ้นอยู่กับข่าวกรองที่ว่า วันนี้เพื่อนฝูงเขานัดตั้งวงก๊งสุรากันแถบไหน จะได้เลี่ยงไปไกลห่างไม่อย่างนั้นก็ต้องเดินขาเป๋กลับบ้านกันพอดี แต่โชคดีอย่าง ที่ในทุกเส้นทางที่เดินมีวัดให้แวะพักให้ไหว้พระ ไม่ว่าจะเป็นวัดศรีบุญเรือง วัดทุ่งทางเหนือ วัดจอมแจ้ง วัดนาส้านทางตะวันตก หรือวัดโพนไชยทางตะวันออก ได้แวะเข้าไปในวัดได้ยินเสียงพระเณรท่องบทสวดก็ทำให้ใจสงบแล้ว ช่วงเข้าพรรษานี่หากตรงกับวันพระก็ถือโอกาสเข้าไปไหว้พระในสิม แล้วคุยกับหลวงพ่อกับผู้เฒ่าที่มานอนวัดจนมืดค่ำ แล้วค่อยกลับ
เข้าเรื่องของ “เจ้าหลักคำ” ที่จั่วหัวไว้เสียที มีอยู่วันหนึ่งผมได้ไปนั่งพยายามอ่านภาษาลาวที่ฐานรูปปั้นตัวหงส์ในวัดศรีบุญเรือง เป็นลายมือช่างชาวบ้านที่คงใช้ของแหลมขีดเขียนไว้ในขณะที่ปูนยังเปียกอยู่ ตัวหนังสืออ่านยากพอดูอยู่เหมือนกัน เลยต้องลงทุนลงนั่งกับพื้นอ่าน เขาบันทึกถึงเจ้าหลักคำของวัดนี้มีสามองค์ มีชื่อ อายุ ปีที่มรณภาพ และเกร็ดประวัติเล็กๆน้อยๆไว้ อ่านออกแล้วแต่ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า เจ้าหลักคำ งงๆอยู่เลยเข้าไปนมัสการถามท่านสาธุเจ้าอาวาสที่กำลังกวาดลานวัด
พระท่านได้เฉลยให้หายสงสัยว่า “เจ้าหลักคำ” คือพระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับการ ฮดสรงหรือการสรงน้ำจากเจ้ามหาชีวิต ต้องเป็นพระที่บวชมานาน มีผู้คนเคารพนับถือ และมีวัตรปฏิบัติเรียบร้อยดี ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองหงสาขึ้นมานี้ ก็มีเจ้าหลักคำเพียงสามรูป เฉพาะวัดนี้เท่านั้นส่วนวัดอื่นๆไม่เคยมีเจ้าหลักคำเลยสักรูปเดียว ทุกวันนี้ไม่มีเจ้ามหาชีวิตก็ไม่มีการแต่งตั้งเจ้าหลักคำแล้ว
ผมว่าเจ้าหลักคำ เปรียบกับทางบ้านเราก็คือ พระราชาคณะชั้นสมเด็จหรือชั้นสุพรรณบัตร และชั้นหิรัณยบัตรนั่นเอง
การบวชพระในเมืองหงสา มีลำดับชั้น เริ่มจากการบวชเณรหรือทางนี้เรียก “จัว”ของวัยเด็ก เมื่ออายุครบยี่สิบปีมีเจ้าศรัทธามาทำพิธี “พิก”หรือบรรพชา ขึ้นเป็น “เจ้าหม่อม” ทางนี้เขามีพิเศษกว่าที่อื่นคือ ช่วงต่อของการเปลี่ยนจากจัวมาเป็นเจ้าหม่อมนั้น เขาให้เวลา พ่อนาคสามวันให้ออกไปเที่ยวเล่นสาวจีบสาวได้ หลังจากบวชเป็นเจ้าหม่อมได้สองสามปี หากญาติโยมเห็นว่าประพฤติดีอยู่ในศีลในธรรมครบ ชาวบ้านก็จะตกลงกันจัดพิธี “ฮดสรง”ให้ พิธีดังกล่าวจะมีการนิมนต์พระเข้าไปอยู่ในเฮือนสรงแล้วศรัทธาญาติโยมก็นำน้ำขมิ้นน้ำหอมรดสรงท่านผ่านรางฮดสรง เสร็จแล้วท่านก็ได้เปลี่ยนจากเจ้าหม่อมมาเป็น “สาธุ” ว่ากันว่าสมัยก่อนเจ้าหลักคำท่านก็ต้องผ่านการฮดสรงในวังจากเจ้ามหาชีวิตเหมือนเช่นนี้
คำนำหน้าชายคนลาว แตกต่างกันตามการบวช ท้าว คือชายที่ไม่เคยได้บวช เซียงคือคนที่ผ่านการบวชเณร ทิดคือคนที่ผ่านการเป็นเจ้าหม่อม จานคือคนที่ผ่านการเป็นสาธุ
พาท่านเดินเล่นยามเย็น เลยเข้าไปในวัดในวาจนเย็นแล้ว กลับบ้านกันเถอะครับ มืดแล้วคืนนี้แรมแปดค่ำ แต่ฟ้าหลังฝนยังคงพอมีดาวกระจ่าง มีเดือนข้างแรมให้แสงสว่างให้เดินกลับได้ ราตรีสุขสันต์ทุกท่านครับ
หวัดดีจ่ะ อาวปาลี
สวัสดีครับคุณ เป ลี ยน
คิดถึงครับ ไม่ได้เข้ามาอ่านนานแล้วครับ อ่านแล้วเนื้อหาความรู้ยังเข้มข้นเหมือนเดิมครับ
ขอบคุณครับ
สบายดี พี่เปลี่ยน
ได้เรียนรู้ภาษาเพิ่มอีกหลายคำเลยครับ
รักษาสุขภาพนะครับ