ทำบัญชีมาหลายปี ทำจนเป็นความเคยชิน เหตุที่ทำเพราะเป็นคนขี้ลืม ขี้กังวล ขี้งก บางทีเงินในกระเป๋าหมดไป ก็จำไม่ได้ว่าจ่ายไปเป็นค่าอะไร เมื่อไร ที่ไหน หรือทำหาย เสียดายตายห่....
ต่อมา ทำบัญชีทุกวัน หลังจากเขียนบันทึกประจำวันแล้ว ทำให้ยังไม่ทันลืมว่า ในรอบ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา จ่ายค่าอะไร ที่ไหน เมื่อไร
ที่ไม่ลืม เป็นเพราะเราเขียนบันทึกประจำวันไล่เหตุการณ์ตั้งเช้าถึงเย็น บันทึกและบัญชีจึงอาศัยกัน
เขียนไปนานๆ ได้ระบบงบประมาณของตัวเอง ว่าเงินเดือนแต่ละเดือน จะต้องจ่ายเป็นงบประจำ 1 ส่วน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าข้าวสาร ค่าใช้จ่ายของลูก ส่วนนี้กันไว้ก่อนเพราะเป็นรายจ่ายที่ไม่มีจ่าย จะปั่นป่วนมาก ส่วนนี้ประมาณ 60% ของรายได้
ส่วนที่สอง เป็นเงินงบกลาง ใช้จ่ายตามความจำเป็น หรือตามความอยาก เป็นอัตราส่วน 30% ถ้าไม่พอ ไปเงินคงคลังมาใช้ก่อน แต่ต้องเอาไปคืน
ส่วนที่สาม เป็นเงินคงคลัง เก็บไว้เป็นทุนสำรองเงินตราประจำบ้าน สามารถนำมาใช้ได้ในยามจำเป็น แต่ต้องนำมาใช้คืน เงินคงคลัง เป็นอัตราส่วน 10% (ยอดนี้ถ้าวินัยทางการคลังดี จะมีเงินคงคลังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ)
เวลาจะใช้เงินก้อน เช่น เปิดเทอมใหญ่ ก็ตัดยอดจากเงินคงคลังนี้ไปใช้ ก็จะไม่ไปกระทบกับยอดอื่นๆ ข้าวสารก็ยังมีกิน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ก็ยังใช้ได้ ลูกก็ยังมีเงินไปโรงเรียน (ตัดยอด หมายถึง ไม่ต้องนำมาใช้คืน)
ประสบการณ์ชีวิต ถ่ายทอดไว้เป็นสาธารณะ ใครจะนำไปปรับประยุกต์ใช้ก็ยินดี