ได้รับการติดต่อให้ไปพูดคุยกับ นศ.ปริญญาโท สาขาหนึ่งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในหัวข้อ "เรียนปริญญาโทอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ" การปฐมนิเทศนักศึกษาครั้งนี้ ทางคณาจารย์รวมถึง นักศึกษาไปเก็บตัวทำกิจกรรมกันยัง วิมานดารารีสอร์ท อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่าใช้บรรยากาศธรรมชาติเพื่อทำกิจกรรมสัมพันธ์เตรียมตัวสำหรับการก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ระดับปริญญาโท ให้เป็นผู้รู้รอบ พร้อมทั้งคุณธรรม จริยธรรม
ผมตอบตกลงแบบไม่ลังเล เพราะผมเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นศิษย์เก่าที่นั่น รวมถึงรับผิดชอบสอน-แลกเปลี่ยนในบางกระบวนวิชาที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัย และการวิเคราะห์ชุมชน การกลับไปยังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในครั้งนี้ก็เหมือนได้กลับบ้าน กลับไปเติมเต็มความรู้สึกดีๆ พร้อมกับ พบปะ อาจารย์และนักศึกษาใหม่สายเลือดเดียวกัน
ย้อนมาถึงประเด็นเรียน ป.โท อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ...เป็นประเด็นที่กว้างมาก และผมก็คิดว่าผมเองก็ไม่น่าจะใช่บุคคลเป้าหมายที่ประสบความสำเร็จตามความคาดหวังของหลายท่าน แต่คิดว่าการได้ใช้ความรู้อันเป็นศาสตร์ รวมถึงวิธีคิดที่ถูกลับคมในช่วงเรียนปริญญาโท การเคี่ยวกรำในช่วงนั้นหล่อหลอมให้เรากล้าแกร่งในการทำงานในสถานการณ์จริงมากขึ้น และได้นำผลผลิตของการเรียนรู้เหล่านั้นมาใช้ในงานโดยตรง...และผลงานเชิงประจักษ์ รวมถึงผลกระทบที่ส่งผลต่อเป้าหมายจากการทำงานเป็นผลงานที่บอกถึงความสำเร็จในการทำงานหลังจากที่เรียนจบในภาคการศึกษากระแสหลัก ผมอยากบอกว่า มีปัจจัยมากมายที่เป็นเงื่อนไขของความสำเร็จ การเรียนในระบบแต่เพียงอย่างเดียว เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้นเอง แถมยังรู้สึกจะอ่อนแรงด้วยซ้ำไปหากเราไม่ได้ บูรณาการความคิดความสนใจ กับประสบการณ์ การคิดเชิงระบบ รวมถึงสร้างความรู้จากการปฏิบัติจริง
เขียนมาแบบนี้ ดูเหมือนไม่เห็นกระบวนการที่พาไปสู่ความสำเร็จของการเรียนในระบบ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จใหญ่ ผมเข้าใจว่านักศึกษาเข้ามาเรียน สิ่งที่คาดหวังและผมพูดแบบจริงใจว่า ส่วนใหญ่คิดว่าทำอย่างไรจะให้จบปริญญาโท? ตรงนี้เป็นความคาดหวังหลัก เพราะช่วงที่ผมเรียนผมก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ผมขอแยกออกเป็นช่วงๆ ให้เห็นชัดเจนนะครับ
ในการเรียนระดับปริญญาโทนั้น หลักๆน่าจะมีอยู่ ๔ ประเด็น คือ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน ที่ลืมไม่ได้คือหัวใจของการศึกษาระดับนี้คือ วิทยานิพนธ์ (Thesis) และการค้นคว้าอิสระ (Independent Study) ตามแต่ละหลักสูตรกำหนด
สะสางการงาน หากเรายังเคลียร์งานยังใม่ลงตัว เป็นดินพอกหางหมู ยิ่งไปเพิ่มภาระการเรียนให้หนักมากขึ้น เพราะการเรียนจะต้องทุ่มเททั้งเวลาและพลังสมอง
สุขภาพร่างกาย เหมือนเรากำลังขึ้นเวทีเพื่อชกมวย (เวทีนี้มีพี่เลี้ยง) จำเป็นต้องใช้พลังแรงกาย แรงใจ รวมถึงองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ออกมาใช้ สุขภาพที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ
การเงิน การเรียนคือการลงทุน(Invest) ดังนั้นการมีงบประมาณที่เพียงพอทำให้ไม่มีปัญหาในการใช้จ่าย จะหาอย่างไร ก็ตามแต่ละบุคคล
หัวข้อ Thesis ตรงนี้ ผมแนะนำว่าเตรียมไว้ในใจหรือร่าง(Proposal)ไว้ก่อน คิดเผื่อไว้ ให้สอดคล้องกับสาขาวิชาที่เรียน เราสนใจ รวมถึงสอดคล้องสถานการณ์มีประโยชน์ต่อสังคม
ทักษะที่จำเป็น บางวิชาจะกำหนดทักษะบางอย่างควรต้องฝึกฝนไว้ ส่วนทักษะที่ต้องมีทุกคนคือ "ทักษะภาษาต่างประเทศ" การเรียนการสอนระดับนี้ต้องใช้ทักษะด้านนี้เยอะ
อาจารย์ที่ปรึกษา อย่างที่บอกว่าเวทีนี้มีพี่เลี้ยง เราจะมีอาจารย์ที่ปรึกษาประจำตัว ท่านจะคอยดูแลให้คำปรึกษา และให้ข้อเสนอแนะ ดังนั้นการเข้าหาอาจารย์ที่ปรึกษาสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่ควรอย่างยิ่ง
เครือข่าย - กลุ่มเพื่อน สำคัญครับ เพราะระบบการเรียนการสอนเป็นการฝึกฝนด้านวิธิคิด การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ทำให้เราได้ความรู้ใหม่ รวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลในเรื่องต่างๆ
แหล่งข้อมูลความรู้ ยุคนี้สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งครูกู(กูเกิ้ล) ที่อยากรู้อะไรก็หามาให้ได้ แต่ต้องกรอง และหาเพิ่มเติม เอกสารตำรา รวมถึงห้องสมุดที่เป็นแหล่งความรู้ ให้เราใช้ประโยชน์จากแหล่งความรู้นี้เต็มที่ ที่ลืมไม่ได้คือแหล่งความรู้ที่เป็นตัวบุคคล ตรงนี้ถือว่าการสนทนาแลกเปลี่ยนกับผู้รู้เราได้เรียนรู้ทางลัดครับ
ประสบการณ์เสริมหลักสูตร จำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเราเรียนรู้ทฤษฎี ตำราแล้ว การปฏิบัติงานเป็นเสมือนสนามทดลอง การเรียนรู้ที่มีพลังเกิดจากการปฏิบัติแล้วถอดบทเรียน เป็นกระบวนการผลักวงล้อของความรู้ไปข้างหน้าอย่างมีพลัง
การวางแผนการเรียน ทุกอย่างต้องมีการวางแผนที่เป็นระบบ การเรียนก็เช่นเดียวกัน เพราะมีระยะเวลากำหนดอยู่ตามปีการศึกษา เราควรวางแผนให้ชัดเจนว่า ช่วงไหนจะทำอะไร? อย่างไร?
เรามีกระบวนการนำศาสตร์ที่เราได้รับมีการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร? มีการเชื่อมโยงศาสตร์อย่างไร? มีการสร้างนวัตกรรมของการเรียนรู้ใหม่ๆ หรือไม่? การถอดบทเรียนความสำเร็จ เป็นกระบวนการจัดการความรู้ที่มีทิศทาง และวิทยานิพนธ์หรือ การค้นคว้าอิสระ ของเรามีคุณค่า มีคุณภาพนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาองค์กร สังคมได้อย่างไร? ผมคิดว่าประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของระบบการเรียนการสอนปริญญาโทควรมี Output ตรงนี้
หลังจากที่เรียนทฤษฏี(ในหลักสูตรที่มี Course work) ผสานกับชุดประสบการณ์ นำไปสู่การทำThesis นั่นเองที่เป็น "ผลผลิตของความคิด" ที่เป็นการบูรณาการศาสตร์ของนักศึกษาสู่งานเขียนจากงานศึกษาคุณภาพเป็นองค์ความรู้ที่ใช้อ้างอิง ต่อยอด ขยายผล สร้างประโยชน์ให้กับตนเองในแง่ของการได้เรียนรู้ สร้างประโยชน์ให้กับองค์กรในกรณีที่ตอบโจทย์พัฒนาได้ และสร้างคุณูปการให้กับสังคมภาพรวมได้เมื่อองค์ความรู้ที่มีพลังพัฒนาจากปัจเจกและองค์กร
ด้วยจิตคาราวะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
๑๗ มิ.ย. ๕๑
๐๗.๑๐ น.
นนทบุรี
เยี่ยมเลยครับ นิสิต นักศึกษา น่าจะมาเรียนรู้ด้วยครับ นำอาหารเช้ามาฝากด้วยครับ
สวัสดีค่ะคุณเอก
สวัสดีครับ อาจารย์JJ
เปิดบันทึกมาอีกครั้งพบ บะหมี่แห้งปู โชว์ขนาดนี้ เล่นเอาหิวเลยครับ เหมือนกับการเรียนรู้และได้รู้ในสิ่งที่ชอบใจ มีความสุข และที่สำคัญอิ่มครับ
ยังต้องกระหายความรู้ต่อไป เมื่อความหิวนั้นเริ่มถามหาอีก
ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากๆครับผม
:)
อรุณสวัสดิ์ค่ะนิสิตคนเก่งของลูกช้าง
... สุดยอดเลยค่ะคุณเอกสำหรับบันทึกนี้
มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ ...
... นี่ขนาดร้างลาวงการมาจะขึ้นปีที่ 3 แล้วใช่ไหมคะ
เป็นกำลังใจให้กับคุณเอกในทุกๆ กิจกรรมเสมอค่ะ
แวะมาทักทาย และเรียนรู้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
เรื่องการเรียนในระดับปริญญาโท สาขาใดก็แล้วแต่ เริ่มด้วยที่ใจและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม ของชีวิตใหม่ในมหาวิทยาลัย และชีวิตใหม่ที่เราเอาภาระมาฝากคนอื่นเขา เช่นพ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน ภรรยา สามีแล้วแต่ว่าสภาพแวดล้อมท่านเป็นอย่างไร หากเขาไม่เข้าใจเราก็จบ(ไม่ใช่ได้ปริญญานะครับ จบชีวิตที่มีความสุข)
เวลาเรียนต้องมีความสุขครับใครพอเริ่มเรียนแล้วมีความทุกข์ให้กลับไปดูที่ใจเราครับ
ลุงเอกแนะนำได้เพราะบ้าเรียนโทมา 3 ปริญญา สิ่งสำคัญเราต้องเอาวิชาการผสมผสานไปกับสังคม ถ้าไม่มีสังคมก็จบอีกนั่นแหละ
การเริ่มต้นปฐมนิเทศน์ที่บรรยากาศธรรมชาติก็ดีแล้วเพราะหากใช้ชีวิตไปฝืนธรรมชาติก็จบอีก บางคนบ้าเรียนไม่เอาเพื่อน บางคนเอาเปรียบเพื่อน บางคนเอาแต่กิจกรรมวิชาการไม่เอา ต้องผสมผสานให้ลงตัวลองปรับตัวสักพักก็เข้าที่ครับ
การเรียนปริญญาโทต้องทำกรณีศึกษา ตอบให้ได้ว่ามีประสบการณ์หรือยัง ถ้ายังต้องเปิดหูเปิดตามากๆ เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยได้ติดตามดูเหตุการณ์บ้านเมือง ที่พูดอย่างนี้คือทั้งเมืองนอกเมืองนาและเมืองไทยนะครับ หากดูแต่เมืองไทยก็เน่าอีก เพราะสภาพการณ์ในปัจจุบันที่ไหนๆของไทยมีแต่เรื่องเน่า ตั้งแต่ทีวีเน่าๆ การเมืองเน่าๆ นักธุรกิจเน่าๆ ข้าราชการเน่าๆ มากมายก่ายกอง อย่าหลงเอาตัวดีๆไปเกลือกกลั้วกับสิ่งเน่าๆก็แล้วกัน เว้นแต่ตัวเราเน่าอยู่แล้วก็มาฟอกตัวใหม่ที่เวทีนี้ครับ
การเรียนปริญญาโทเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รู้ว่าจะบูรณาการความรู้อย่างไรเพราะแต่ละกรณีไม่มีสูตรสำเร็จ
สิ่งที่สำคัญอย่าไปคาดหวังว่ามาเรียนแล้วให้จบได้ปริญญาโท แต่ควรมาเรียนแล้วให้ได้ความรู้กลับไป ไม่ใช่ได้ปริญญาแต่ไร้ความรู้ ดูสถาบันพระปกเกล้ารับสมัครพนักงานมีคนมาสมัครเกือบ 500 ผ่านมาให้สอบสัมภาษณ์เพียงประมาณ 20 กว่าๆแถม 20 กว่าๆสัมภาษณ์ผ่านเพียง 10 กว่าคน นี่เป็นอะไรไปในการศึกษาไทย ผม
สมัยลุงเอกเรียนแบบโง่ๆ สรุปเอกสารเล่มหน้าเหลือหนึ่งถึงสองหน้าหมดยังเก็บไว้ถึงทุกวันนี้ยังอยู่ในสมองบางส่วนหยิบมาเมื่อไรใช้ได้ทันที
การเรียนอ่าไปก่อนน่ะดี แต่ขอบอกลุงเอกก็ทำไม่ได้นี่คือจุดอ่อนคนไทยครับ
เอาแค่นี้ก่อนครับเดี๋ยวจะได้เกียรตินิยมดีเด่นกันหมด
กระบวนการทำ Thesis แบบคร่าวๆครับ
ยอดเยี่ยมมากครับ...สำหรับ..ข้อมูล ความรู้..และแนวคิดที่นำเสนอ..ในฐานะคนที่เคยเรียนปริญญาโทแบบ...จวนเจียน..จะจบแหล่..มิจบแหล่...อย่างผม..เห็นด้วยกับน้องเอก...และยืนยัน..ว่า..เชื่อน้องเอก..ของผมเถอะ...ผมเคยได้บทเรียนมาแล้ว...ของน้องเอกนี่แหละ..ของดีรุ่น..ขลัง..เชียวนักศึกษาปริญญาโททั้งหลาย
ชะแว่บ ๆ ครับ ... เพิ่งสอนเสร็จ เหลืออีก 2 ห้อง
เข้ามาก็พบความรู้กองใหญ่ครับ :)
+++++++++++++++++++++++++++++++
พล.อ.พิจิตร องคมนตรี ถาม คุณเจริญ เจ้าของบริษัทน้ำเมาว่า ทำไมบริษัทไทย ไม่มีนโยบายจ้าง GM เป็นคนไทยหรือ เห็นมีแต่ฝรั่ง หรือ คนไทยไม่เก่งภาษา ?
คุณเจริญ ตอบว่า ผมเคยจ้างได้สัก 2 เดือน แล้วผมก็ต้องให้ออก เพราะ "เขาเอาปริญญามาขายผม"
+++++++++++++++++++++++++++++++
เข้าใจนะครับ "เอาปริญญามาขาย" หมายถึงว่า เรียนจบระดับสูง มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ทำงานไม่เป็น ไม่มีความสามารถ เปรียบเหมือน เอาปริญญามาขาย
คนเรียน ป.โท ... หวังแค่จะเรียนเพื่อให้ได้ใบปริญญาเพื่อเอาไปขาย มีเยอะครับ ... ไม่รู้จริง ไม่ทำจริง จ้างเขาบ้าง ลอกคนโน้นบ้าง ประเทศชาติคงจะเจริญขึ้นเป็นแน่แท้นะครับ
:) ชอบวิธีคิดของบันทึกนี้ครับ
สวัสดีทุกท่าน และขอบคุณทุกความเห็นครับ
ผมต้องขออนุญาตทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น เพิ่มเติมลักษณะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ ประมวลลงเอกสารเพื่อให้ นักศึกษาใหม่ ได้อ่าน ได้เรียนรู้ร่วมกันครับ
ความเห็นทุกท่านมีคุณค่ามากครับ
ท่านไหนมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ขอความกรุณาเขียนเพิ่มเติมได้ครับ
ขอบคุณมากครับ
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
๑๐.๐๐น.
๑๗ มิ.ย.๕๑
แวะมาขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
ผมถามตัวเองก่อนเรียนว่าเรียนไปเพื่ออะไร เรียนไปทำไม
ผมเรียนปริญญาโททางรัฐประศาสนศาสตร์ เพราะเป็นข้าราชการที่มีความคาดหวังจะใช้ความรู้ที่ได้รับไปทำงานให้สมกับเงินเดือน เพื่อรับใช้สังคม ทั้งๆที่เสียตังค์เอง เรียนจบแล้วก็ไม่ได้ทำให้เงินเดือนขึ้น เหนื่อยด้วย
แต่สิ่งที่ได้คือการมองโลกที่กว้างขึ้น คิดเป็นระบบมากขึ้น สามารถนำความรู้ที่เรียนไปช่วยงานสังคมหลากหลายด้าน จนเป็นที่ยอมรับในสังคม
อย่าคิดเรียนโดยหวังกระดาษใบเดียว ไม่มีประโยชน์ใดๆเลย
แล้วขณะเรียน เคยย้ายไปรับราชการห่างจากเพื่อนที่เรียนด้วยกัน วิชานั้นแย่เลย แต่พอย้ายกลับมาได้คุยได้ปรึกษาพูดคุยถึงแนวความคิดต่างๆ ทั้งในบทเรียนในสภาพสังคมที่เราเห็นจริง แล้วเอามาวิเคราะห์เข้ากับทฤษฎี คราวนี้รู้สึกว่าการเรียนมีประโยชน์กับตัวเองอย่างยิ่ง
การเรียนปริญญาโทจึงต้องเรียนเป็นกลุ่ม เพราะจะทำให้เกิดการพูดคุยแสดงความคิดเห็น และมันจะแตกฉาน มุมมองของแต่ละคนล้วนมีประโยชน์ หยิบจับมาให้ได้ การเรียนก็จะประสบความสำเร็จครับ
แผ่นของลุงเอกดูคุ้นๆตอนเรียนนิด้า อิอิ
ขอบคุณพี่ นก NU 11 ครับ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ได้เเง่คิดที่ดีมากครับ :)
////////////////////////////////////////
เรียนบัณฑิตศึกษา ควรเกิด 4 สิ่ง ต่อไปนี้ คือ ความรู้ ปัญญา คุณค่า วิสัยทัศน์ ต้องฝึกฝนตนให้เกิดการเรียนรู้ โดยกระบวนการ
/////////////////////////////////////////////////////////////
และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติด้วยครับ ตรงนี้เป็นพลังมหาศาลของความรู้เลยครับ
มาเชียงใหม่ไม่โทรหากันเลยนะค่ะคุณพี่ชาย
เรียนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ มันก็ต้องเรียนด้วยจิตและใจที่อยากเรียนแหละ เรียนให้สนุก สนุกกับการเรียน เรียนแล้วนำไปใช้กับชีวิตจริงดีที่สุดเลย เรียนแล้วเก็บไว้ก็อย่าเรียนมันเลยล่ะกันนะ เสียดายตังส์ โอกาสไม่ได้มีมาง่าย ๆ ...
สวัสดีจ้ะ เอก วันที่29 มิย. คุยกับ นศ.ป.โท ที่กำแพงเพชรด้วยนะจ้ะ พี่อยากเพิ่ม ปัจจัยสำคัญ ใจ สู้ อดทน ท้อได้แต่ถอยไม่ได้
ผมอ่านอะไรซับซ้อนไม่ค่อยจะได้ สมาธิมันจะไม่อยู่กับหน้ากระดาษ นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่ได้เรียนอะไรที่สูงไปกว่าปริญญาตรี อิอิ..
ว่าแต่ ชามก๋วยเตี๋ยวข้างบนดึงความสนใจผมได้มาก แล้วก็ทำให้ผมหิวด้วยละ แต่จะไม่กินอะไรตอนดึกนอกจากดื่มนมครับ ^____^
ขอบคุณมากๆค่ะที่เขียนบันทีกนี้ไว้อย่างดี
เห็นด้วยค่ะ ขอบคุณอีกครั้ง
มาเสริมนิดนึงนะครับ
สีลัพพตปรามาส =ระเบียบวิธีวิจัย (method)
ความยึดถือว่าบุคคลจะทำวิจัยสำเร็จได้ด้วยระเบียบวิธีวิจัย (method) (คือ ถือว่าเพียงประพฤติตาม ระเบียบวิธีวิจัย ให้เคร่งครัดก็พอที่จะทำให้การวิจัยนั้นลุล่วงไปได้ ไม่ต้องอาศัยสมาธิและปัญญาก็ตาม ถือระเบียบวิธีวิจัยที่งมงาย หรืออย่างงมงายก็ตาม), ความถือระเบียบวิธีวิจัยที่สักว่า ทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายที่แท้จริง, ความเชื่อผลสัมฤทธิ์แห่งงานวิจัยด้วยเข้าใจว่า จะมีได้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงธรรมดาวิสัย
ประยุกต์จากคำนิยามความหมายของ “สีลัพพตปรามาส” ใน “พจนานุกรมพุทะศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์” ของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
มาตามบันทึกค่ะ
ดูมาย์ปแม๊ป คุณเอกแล้วมีกำลังใจอยากเรียนต่อค่ะ
วิจัยดีๆนี่เองใช่ไหมค่ะ
มาอ่านเรียนรู้ไปด้วย ไม่เคยเรียนป.โท เห็นคนที่บ้านเรียน ค่อนข้างเหนื่อยไปด้วย (ป.โท ,เอก)
กำลังชั่งใจตัวเองว่า ทุ่มเวลาเรียนสิ่งที่ชอบ(ภาษา) หรือทุ่มเวลาสอนสิ่งที่รู้ (งานหลัก)คิดออกแล้ว..สองอย่างเลย
จัดการเวลาตามคำแนะนำของบันทึกดี ๆ นี้
ขอบคุณนะคะ :)
สวัสดีครับทุกท่านที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ช่วงนี้กระผมมีภาระกิจที่จัดสรรเวลาลำบากบ้างครับ ...อาจเข้ามาเขียนข้อเสนอแนะเพิ่มเติมช้าไป ใจจริงแล้วอยากเขียนให้ละเอียดมากในแต่ละประเด็นที่ทุกท่านนำเสนอมาซึ่งมีประโยชน์มาก สำหรับการปฐมนิเทศ นศ.ป.โท มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นศ.ป.โท ของ มรภ.กำแพงเพชร
ผมขออนุญาตนำความคิดดีๆของทุกท่านไปเติมเต็มให้กับ เมล็ดพันธุ์ของสังคม ให้เติบโตเป็นต้นใม้ใหญ่ที่สร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ อันได้แก่สังคมเราครับ
ผมต้องขอบคุณ พี่บัณฑูร (ท่านอัยการชาวเกาะ ) ที่ท่านได้กรุณาส่ง CD เกี่ยวกับ "คุณธรรม จริยธรรม" ซึ่งผมเองก็ต้องพูดในประเด็นดังกล่าวด้วย
เมื่อวานท่านอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านได้โทรศัพท์แจ้งรายละเอียดที่อยากให้กระผมเติมในกระบวนการก็คือ ประเด็นคุณธรรม จริยธรรมพอดี ...ต้องกราบขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้ครับ
ขอขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนนะครับ มีเวลาผมจะเขียนตอบเป็นรายบุคคลเพื่อแสดงความขอบคุณอีกครั้ง
ครูนกNU 11 ,คุณpoo ,น้องอำนวย สุดสวาสดิ์ ,ครูอ้อย แซ่เฮ ,ลุงเอก ,ครูพิสูจน์,ครูWasawat Deemarn ,ครูจารุวัจน์ ,น้องดอกไม้บานในใจเรา ,ครูหิ่งห้อย ,คุณสิขเรศ เอี่ยมประชา,น้องกวิน ,พี่สิงห์ป่าสัก ,คุณหมอมัทนา,ครูเอ ,คุณหมอจริยา
ขอบคุณทุกท่านที่กล่าวมา พร้อมกับผู้อ่านทุกท่านด้วยครับ
ด้วยศรัทธาในความดีของทุกท่านครับ
---------------
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
๑๙ มิ.ย.๕๑