ไม่มีประโยชน์ที่เราจะขัดแย้ง...และทำร้ายกันต่อไป


หยุดเถอะครับ หยุดหลอกตัวเอง หยุดหลอกคนอื่น หยุดหลอกประเทศและองค์กรที่ท่านอ้างว่ารักนี้เสียที มันไม่มีประโยชน์อันใด ขอให้หยุด ...มอง...และคิด ไม่อคติ

สถานการณ์ความตึงเครียดแผ่ซ่านรังสีไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นแถวสะพานมัฆวานรังสรรค์หรือที่บ้านหลังที่สองของผด้วยการที่นำเอาความคิดที่ไม่เหมือนกันมาเป็นที่ตั้งเสร็จแล้วก็ใช้อารมณ์ความรู้สึกเข้าห้ำหั่นกัน จนประเทศและบ้านของเราตกอยู่ในฐานะที่บอบช้ำ ผมว่ามันคงไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะทำดั่งนั้นต่อไป ทุกคนอ้างสิทธิ์ ทุกคนอ้างความรักที่มีต่อประเทศนี้ ทุกคนอ้างความรักที่มีต่อองค์กรของเรา แต่การกระทำของท่านนั้นมีแต่ทำลาย ทำลายตัวเอง...และผู้ที่บอบช้ำมากที่สุดคือประเทศและองค์กรที่ท่านรักตามที่ท่านอ้างถึงนั้นต่างหาก

หยุด...จงหยุดทำร้ายกัน จงหยุดคิด จงหยุดการกระทำเสียเถิด ขอให้คิดถึงประเทศชาติ บ้านเมือง และองค์กรที่รักของเรา.............

หยุดเถอะครับ หยุดหลอกตัวเอง หยุดหลอกคนอื่น หยุดหลอกประเทศและองค์กรที่ท่านอ้างว่ารักนี้เสียที มันไม่มีประโยชน์อันใด ขอให้หยุด ...มอง...และคิด ไม่อคติ ...ที่ผ่านมาเราเจ็บช้ำมากพอแล้วครับ..และหากไม่ลำบากใจเกินไปขอให้เรากล่าวคำว่าขอโทษขออภัยต่อกัน แล้วหันหน้ามาหากัน ...เพื่อน...รวมใจเป็นหนึ่งและรวบรวมเอาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวท่าน  ตัวฉัน  ตัวเธอ นำพาประเทศนี้  องค์กรนี้ ก้าวต่อไปเถิด

 

 

หมายเลขบันทึก: 187144เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2008 20:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีครับ

  มีเรื่องราวดีๆที่จะมาแบ่งบันนะครับ

  อาจจะทำให้ความรู้สึกต่อเรื่องราวที่เราเห็น  เรื่องราวที่เรารับรู้และสัมผัสดีมากขึ้นครับ หวังเช่นนั้น

   หลังกลับจากเชียงราย  ส่วนตัวผมรู้สึกนุ่มนวล  และมองเรื่องราวต่างๆด้วยความรู้สึกเบา และสดชื่นมากขึ้นครับ

  ด้วยแนวคิดที่เรียนรู้มาดังนี้ครับ...

    1. การเชื่อมั่นในเมล็ดพันธุ์แห่งความดีดี  และงดงามของทุกผู้คนครับ....  เชื่อมั่นแล้วอดทน  รอคอย  เข้าใจวาระของเขา  หล่อเลี้ยงวาระ ตัวตนของเขาเหล่านั้น  และของเราเองครับ

   2. ความเป็นเซียน...   เซียน  คือผู้ที่ไม่มองผู้อื่นว่าเป็นปัญหา  แต่มองที่ตัวเราเองว่ายังไม่ได้ทำ  ไม่ได้สร้างต่างหาก....   เรื่องของเซียนนั้นมาจากประเด็นเรื่อง 5 ประสิทธิภาพของการเรียนรู้ครับ   คือ  1. เด็กฝึกหัด  2. เด็กฝึกหัดที่เก่ง 3. คนทำงานเป็น 4. คนเก่ง  และ5. เซียนครับ     ทุกคนมีระดับต่างๆ  ในเรื่องราวต่างๆกัน    ผมไม่ได้เป็นเซียนนะครับ  มีความรู้สึกเช่นกัน  แต่เเพ่อความเป็นเซียน  ผมรู้สึกว่าจะพยามเรียนรู้และเข้าใจครับ

  3. Voice  dialoque

       - เป็นเรื่องของการเรียนรู้ที่จะทำให้เราเปิดกว้าง  เข้าใจทั้งตัวตนภายในของเรา  และผู้อื่นครับ

        - เริ่มที่ไพ่ที่เราทั้งไป  จนเหลือไม่กี่ใบ  และกลายเป็นสิ่งที่เรายึดไว้ ตัวตนของเรา  หรือผู้พิทักษ์ของเราครับ...  เช่นพวกเราที่ทำงานมุ่งมัน  ทำโครงการมากมาย  เกิดสิ่งดีๆมามาย  เราเชื่อว่าเราทำดี  มั่นใจแบบหัวชนฝา  ว่านี่เราทำดีที่สุดเเล้วนี่นา  จะมาเอาอะไรกับเรา  เราจะเชื่อมั่น  ไม่สนใจคำคนอื่น  แม้บางครั้งฟังแล้วเราอาจจะหงุดหงิด  จี๊ดด้วยซ้ำ  หรือเกิดความอื้ออึงในใจ

   ถ้าเราแบ่งออกเป็น 4 ช่อง  เราจะมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจน  และยอมรับเสียงที่ผู้คนมองเราได้เช่น..

   ถ้าเราทำดี  ผู้คนอาจจะมองว่าเรา  เห็นแก่ตัว  เราอวดอ้าง  เราชอบโม้  เราชอบแสดงว่ากูนี่เก่ง  เราอยากได้หน้า  เราหาประโยชน์งุบงิบต่างๆนาๆ   เมื่อเราเข้าใจว่านั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถมองได้  ไม่ใช่เขาไม่ดี  แต่เพราะว่านั่นก็เป็นตัวตนของเขา  เป็นผู้พิทักษ์เขาเช่นกันครับ

  มองในแง่ดี  เขาอาจจะเป็นห่วง อยากที่จะให้เราทำอะไรน้อยๆลง  เพื่อไม่ให้เราเหนื่อย  หรืออาจจะเเบ่งเขาทำบ้าง  ช่วยๆกันก็ได้ครับ....

    4. เรื่องราวของระดับการสนทนากัน...

              - ระดับหนึ่งคือ ระดับที่เกรงใจกัน  จิ๊จะกัน  อะไรก็เห็นดี  เห็นงามไปหมด  ไม่กล้าโต้แย้งอาจจะเพราะว่าเกรงใจ  หรือกลัวเกรง  ทำให้ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบจริงๆ

             - ระดับสองคือ การโต้แย้ง debate คือเถียงกัน  ด้วยแน่ใจว่าตนเองถูก ต่างคนต่างคิดว่าตนถูก  ไม่ยอมกัน  ก็ไม่มีจุดจบที่ดี  ไม่เกิดการเรียนรู้ ถ้าจบก็เพราะความจำนนต่ออำนาจ แบบนี้มีทั่วทั้งองค์กร  และทั่วไปครับ...  ผมก็อาจะอยู่รัดับนี้  แต่เบาลง..

            - ระดับที่สาม คือ การพูดคุยกันที่พัฒนาขึ้นมาคือ  กล้าที่จะโต้แย้งแบบมีเหตุผล  กล้าที่จะยอมรับความเห็นของคนอื่นว่าถูก  และมองตนเองว่าอาจจะผิดได้อย่างจริงใจ  ฟังอย่างห้อยเเขวน  และนำไปสู่การเสนอทางเลือกอื่นๆ  ที่เป็นข้อสรุปร่วมกันเบื้องต้น  และทำลองทำ  และเรียนรู้ร่วมกัน  ปรับไปเรื่อยๆ...

            - ระดับที่ 4 คือ แบบพูดแล้วฟังด้วยความเข้าใจทันทีกับเรื่องราวของผู้พูด  หรือว่าระของผุ้พูด...

ผมว่า ทุกประเด็นของเรื่องราวตอนนี้น่าจะเป็นเช่นนนี้ครับ

   ตอนแรกผมก็ไม่สบายใจ  และก็อื้ออึงครับ  แม้จะมาจากเชียงรายใหม่ๆ  แต่ก็ปล่อยให้มันคิดไป  จนในที่สุดผมก็เขาใจผผู้คนครับว่า...

       มันคือสงครามของผู้พิทักษ์  ของแต่ละคน

       และเมื่อเรามองแบบเซียน(ได้แต่มองเพราะว่ายังไม่ได้เป็น)  เราจะพบว่า...  ถ้ามีการเปิดพื้นที่ให้กันและกัน  พูดคุยอย่างเรียง่าย  เรียนรู้เข้าใจภายในตัวตนของตนเอง  เราก็น่าจะเข้าใจกัน  รู้ว่าระของกันและกัน

   เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งคือ....

     ส่วนใหญ่และผู้คน หรือตัวผมเองมักไม่ค่อยรู้จักตนเองดีพอ  หมายถึง  ณ ตอนนั้นๆที่เราคิด  เราทำไป  เราก็เชื่อว่าเราทำดี  ทำถูก  แต่เมื่อเราเรียนรู้เข้าใจตนเองมากขึ้น  เราก็จะรู้จัก  และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร  ในสิ่งที่ผ่านมาครับ

    OPEN HEART   OPEN MILD   OPEN  WILL

     BE  PRESENSCING  นะครับ..

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องครับ

    http://gotoknow.org/blog/phoenix-mirror/83597

   http://gotoknow.org/blog/phoenix-mirror/119044

   http://gotoknow.org/blog/phoenix-mirror/104525

  http://gotoknow.org/blog/phoenix-mirror/105957

   http://gotoknow.org/blog/phoenix-mirror/155119

 

   http://gotoknow.org/blog/phoenix-mirror/154957

  ลองดูแบบไม่ตัดสินนะครับ ^_^

แต่ก็มีประเด็นที่เราเข้าใจยาก  และไม่รู้จะเข้าช่อง 1 อย่างไรนะครับ คือ

   คนที่โกงกินแบบมโหฬาร  ไม่รู้จักพอ

  คนที่โลภมากๆ แบบไม่พอ

   คนที่ทำผิดซ้ำๆ

  คนเหล่านี้อาจจะต้องรอการเรียนรู้เพิ่มนะครับ

สวัสดีครับท่านสุพัฒน์

ขอบคุณที่มาแบ่งปัน...

ก็ทำให้คนอย่างนายกระท้อน...ได้ฝึกลดความเป็นกระทิงลงได้บ้าง

แต่จะขนาดที่ได้ถึงระดับใดนั้นไม่อาจฝัน....ส่วนระดับเก่ง...หรือเซียน นั้นคงไม่อาจเอื้อม...

กระทิงอย่างไรก็เป็นเพียง"วัว"ประเภทหนึ่งเท่านั้นหรือจะเรืยกว่า "โค" คงไม่ผิดนัก

"โคนันทะวิศาล"....

สำหรับคนที่โกงกิน...ทำลายชาตินั้นเมื่อถึงเวลาก็คงมีกรรมตามสนองเอง...

แต่สำหรับคนที่..ชอบเชือดเฉือนคนอื่นด้วยวาจานั้น...อาจไม่ต้องรอกรรม...

ถึงอย่างไรนายกระท้อนก็เป็นกระทิงครับ ฮะ ฮะ !!

มาเป็นกำลังใจและแบ่งปัน

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวของคุณ kmsabai ที่บอกว่า "..แต่ก็มีประเด็นที่เราเข้าใจยาก คือ คนที่โกงกินแบบมโหฬารไม่รู้จักพอ.. คนที่โลภมากๆ แบบไม่พอ.. คนที่ทำผิดซ้ำๆ.."

อย่าเป็น 1 ในนั้นเป็นอันขาด..555..และสำหรับคนโกงกินคงเหมือนที่คุณ kraton ว่าไว้..ว่า..

สำหรับคนที่โกงกิน...ทำลายชาตินั้นเมื่อถึงเวลาก็คงมีกรรมตามสนองเอง...

แต่สำหรับคนที่..ชอบเชือดเฉือนคนอื่นด้วยวาจานั้น...อาจไม่ต้องรอกรรม...เพราะกรรมนั้นกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงธรรมแล้ว..555..

สวัสดีครับพี่ไม่มีรูป ไม่แสดงตน

  ขอบคุณที่มาแบ่งปันครับ....

 ขอบคุณที่เป็นกำลังใจครับ....

 ขอบคุณที่เข้าใจวาระของตนเอง  และผู้คนครับ...

  สัมพันธภาพที่ดีขึ้น  จะเป็นเครือข่ายที่เข้มเเข็งเพื่อการทำงานและความดีครับ....

  ขอบคุณในจิตที่มีแต่เมตตา  ที่มีแต่การให้  และจิตที่เปี่ยมล้นด้วยสภาวะที่พร้อมจะอภัย  ให้กับผู้คน   และต่อตนเอง....

   การเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นภายใน  ของแต่ละคนในองค์กรแล้วครับ  ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการตนเองของแต่ละคน  และเป็นองค์กรในที่สุดครับ

    เมื่อเรายิ่งเรียนรู้  เราก็จะเริ่มหวั่นไหวมากขึ้น  และปล่อยให้เกิดสภาวะที่ไร้ระเบียบในใจตนเอง  และเข้าใจภาวะที่สับสนวุ่นวายของคนอื่นๆ...  ความไร้ระเบียบคือการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของชีวิตอย่างหนึ่ง..  ที่มากาเร็ต  เจ.. ว่าไว้ใน  Leadership  in  the  new  science....

    ใน 7 ช่วงชีวิตของผู้คนนั้น  คือ 0-7  8-14  15-21 22-27  28-35 36-42 43-49....  

        ช่วงชีวิตหลัง 35 ปีนั้น  ผู้คนจะลดการเรียนรู้และเปิดรับสิ่งใหม่ๆ  เริ่มเป็นช่วงขาลงของการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ..

        ช่วงชีวิตหลัง 42 นั้นบางคนถึงกับ  อาจจะปิดตายการเรียนรู้  และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตนเองรู้และเข้าใจนั้นแน่นอน  และเป็นของที่ดีที่สุด  เชื่อมั่นที่สุดแล้ว... ถือเป็นขาลงของการเรียนรู้...

    องค์กรของเรา ส่วนใหญ่ก็วัยนี้กัน...ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า  กระบวนการทำงาน  และการเรียนรู้แบบเดิม  กับบริบทใหม่ของสังคมและโลกนั้น  อาจจะไม่เพียงพอต่อกระบวนการสร้างและขับเคลื่อนองค์กรครับ....

   วิถีแห่งการเรียนรู้แบบใหม่ๆเท่านั้น  น่าจะเป็นทางออก....

   รูปแบหนึ่งที่ผมอยากจะลองดูคือ Dialoge  และ พุทธวิถี

      Dialoge  เป็นกระบวนการที่ เน้นการฟังอย่างลึกซึ้ง  แบบไม่ติดสิน  ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างมากครับ  และเน้นที่การเปิดเผยตัวตน เปลือยความคิด ความรู้สึก  แล้วทำความเข้าใจกับตนเอง   สุนทรียสนทนาจะทไห้เรานั้นเข้าใจตนเองมากขึ้น  และเมื่อเข้าใจตนเองมากขึ้น  ก็จะนำไปสู่ความเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งครับ... จากประสบการณ์อันเล็กน้อย  ที่เรามักเป็นทุกข์  โทษผู้อื่น  หรือมองเห็นแต่เรื่องราวที่ไม่ก่อสุขต่อจิตใจตนเอง   อาจจะเพราะว่า     เราไม่ได้เข้าใจ  และเข้าถึงตัวตน  ของเราเอง  อย่างถ่องแท้ครับ....

    วิถีพุทธนั้นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่เน้นการเรียนรู้  และความเข้าใจตนเองครับ  และเน้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่า  การจำได้หมายรู้ครับ.....

   ขอเชื้อเชิญพี่  เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ภายในตนเอง  และองค์กรของเราผ่านกระบวนการที่สำคัญทั้งสองนะครับ

   อาจจะเป็นของแปลกๆ  ใหม่ๆ  หรือเปล่า  แต่ถ้าจะลองดูก็ไม่เสียหายนะครับ

   ประสบการณ์ที่ผ่านมา  ส่วนหนึ่งคือ  เมื่อเข้าถึงตัวเองอย่างแท้จริง  และลึกซึ้งแล้ว  เราจะรู้สึกปลอดภัย  รู้สึกไว้วางใจผู้คนรอบข้าง  และต่อโลกที่ปรากฏเบื้องหน้ามากครับ

   

  ขอเชื้อเชิญขะครับ   ^_^...

ขออภัยที่เขียนตก  เขียนผิดนะครับ..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท