สวัสดีค่ะทุกท่าน
ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ของทุกสถาบันนะคะ
ช่วงนี้เป็นช่วงรับน้องใหม่ มีกิจกรรมมากมายคอยต้อนรับและดูแลน้อง ๆ
นักศึกษาใหม่ ทั้งส่วนคณะ/สถาบันและส่วนของรุ่นพี่
ที่ร่วมมือพัฒนาวิธีการรับน้องอย่างเข้มแข็ง เช่น
รับน้องจากขบวนรถไฟ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บายศรีสู่ขวัญ
แนะนำสถานที่ ปฐมนิเทศ รอดซุ้ม ประชุมเชียร์ กีฬาสี
ละครน้องใหม่ ฯลฯ
พูดถึงน้องใหม่ ซึ่งใหม่ต่อทุกสิ่งที่พบเห็น ใหม่ทั้งผู้คน
สถานที่ ถนนหนทางและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ต้องห่างจากบ้าน ครอบครัว
ห่างจากพ่อแม่ที่คอยดูแลทนุถนอม
ก้าวเข้าสู่รั้วของสถาบันระดับอุดมศึกษาเพื่อศึกษาและเรียนรู้ในศาสตร์ที่ตนเลือก
เพียงเพื่อหวังให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อสังคมในวันข้างหน้า
งานในช่วงนี้ รุ่นพี่แต่ละคณะ
ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะดูแลน้องใหม่ในช่วงจัดกิจกรรมต่าง ๆ
อย่างเต็มที่ เพราะอาจเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดกับน้องใหม่ได้
ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งกิจกรรมในช่วงที่อบอุ่น อุ่นใจ และ
กิจกรรมในช่วงเที่ครียดและกดดัน
กิจกรรมช่วงที่อบอุ่น
อุ่นใจ อาจพบ
เป็นลม หมดสติ เนื่องจาก ตื่นเต้น นอนไม่หลับ ทานอาหารไม่ได้
ไม่ได้ทานอาหารเพราะถูกเร่ง
เป็นไข้ เป็นหวัด เนื่องจาก อากาศเปลี่ยน ร้อนบ้าง
หนาวบ้าง หรือมีฝนตก
ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เนื่องจาก ไม่คุ้นชินอาหาร หรือ
ทานอาหารไม่ระวัง
อุบัติเหตุ โดยเฉพาะอุบัติเหตุทางถนน รถล้ม รถชน
เป็นส่วนใหญ่
กิจกรรมช่วงเที่ครียดและกดดัน
อาจพบ
-
ปัญหาสุขภาพ ยังคงเป็นอยู่ทุกข้อ
เหมือนในช่วงกิจกรรมในช่วงที่อบอุ่น อุ่นใจ
-
ปัญหาที่เพิ่มและจะทวีเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่ระมัดระวัง ก็คือ
กลุ่มอาการหายใจมากเกินไป หรือ ตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า Hyperventilation
syndrome นั่นเอง
อะไรบ้างที่น่าเป็นห่วง
-
ประเด็นปัญหาสุขภาพ หากน้องไม่ไหว ก็คือ ไม่ไหว
-
ต้องรีบแก้ไข
โดยให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลตามอาการ ดูแลเบื้องต้น
-
เรียกขอใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน
หรือเรียกหน่วยกู้ชีพ โทร 1669
เพื่อนำส่งพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
ส่วนประเด็นที่เป็นปัญหากล้ำกึ่ง ว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อน้องอยู่
ๆ ก็มีอาการ เป็นลม กระพริบตาถี่ ๆ หายใจเร็ว ๆ หอบถี่
ถี่ขึ้น มือ เท้า เริ่มจีบเกร็ง ตาเหลือกค้าง
ชักกระตุก
กลุ่มอาการเหล่านี้แหล่ะค่ะที่เรียกว่า กลุ่มอาการหายใจมากเกินไป
(Hyperventilation syndrome ) นั่นเองค่ะ
คราวนี้
เรามาทำความเข้าใจกันต่อนะคะว่า
Hyperventilation
syndrome (กลุ่มอาการหายใจมากเกินไป) ดังกล่าวนี้ คืออะไร ?
ป้องกันได้ไหม ? และถ้าเป็นจะจัดการอย่างไร
Hyperventilation
syndrome คืออะไร ?
Hyperventilation syndrome เป็นกลุ่มอาการ หลาย ๆ อาการ ซึ่ง
เกิดจากการหายใจมากเกินไป ลักษณการหายใจตื้นๆถี่ๆ
หรือหายใจไม่ถี่มากแต่ลึกหรือทั้งหายใจถี่และลึกก็ได้ จนทำ
ให้เกิด hypocapnia (ภาวะคาร์บอนไดออกไซ์ ในเลือดต่ำ) และ respiratory
alkalosis (ภาวะเลือดเป็นด่างจากการหายใจ) และมีอาการต่างๆ
ทางร่างกายติดตามมา
กลุ่มอาการหายใจมากเกินไป ป้องกันได้ไหม
?
Hyperventilation syndrome
ป้องกันได้ เพราะสาเหตุ ขึ้นกับ 3 ปัจจัย คือ
ด้านน้องใหม่
(ผู้เขียนเคยเข้าไป Comment ไว้ที่บันทึกน้องจิ)
-
ยิ้มสู้ ไว้ ยิ้มสู้ ไว้ ค่ะ
-
บอกกับตัวเองว่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร
-
หายใจเข้า-ออกลึก ๆ ช้า ๆ ไว้นะคะ
-
อย่าหายใจเร็วเด็ดขาด
-
ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ยกมือสูง ๆ บอกพี่เขาเลยนะคะ
สำหรับรุ่นพี่
-
ต้องแบ่งกลุ่ม ไม่มีเฉพาะ ว๊ากเกอร์
เพียงด้านเดียว
-
แต่จะต้องมอบหมาย
ให้มีผู้ดูแลด้านสุขภาพของน้อง ๆ ร่วมด้วย
-
บางบทบาทต้องเป็นตัวแทนของผู้ให้ความอบอุ่น เป็นพี่ เป็นป้า น้า
อา
-
คอยเข้าใจและปลอบใจ และเป็นตัวแทนปรับกิจกรรมและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
-
ที่สำคัญผู้ดูแลต้องเข้าใจ หลักการดูแลเบื้องต้น
สถานการณ์ &
สิ่งแวดล้อม
-
ต้องระมัดระวัง ต้องวางแผน
และมีระบบเตือนกัน
-
ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ อาจารย์
-
ต้องมีระบบร้องเรียนรับฟังความิดเห็นของน้อง ๆ และคนรอบข้าง
กลุ่มอาการหายใจมากเกินไป และถ้าเป็นจะจัดการอย่างไร
?
-
วิธีจัดการไม่ยาก
ถ้าเราเข้าใจ
-
คราวนี้ ผู้เขียนได้สืบค้นข้อมูลมาให้ศึกษาเพิ่มเติม
และมาบันทึกบอกต่อไว้ในที่นี้ให้ด้วยนะคะ
++++++++++++++++++++++++++++++++==
กลุ่มอาการหายใจมากเกินไป
Hyperventilation
syndrome
เกิดจากการหายใจมากเกินไป โดยอาจจะเกิดจากการหายใจตื้นๆถี่ๆ
หรือหายใจไม่ถี่มากแต่ลึกหรือทั้งหายใจถี่และลึกก็ได้ จนทำ ให้เกิด
hypocapnia (ภาวะคาร์บอนไดออกไซ์ ในเลือดต่ำ) และ respiratory
alkalosis (ภาวะเลือดเป็นด่างจากการหายใจ) และมีอาการต่างๆ
ทางร่างกายติดตามมา
การที่ผู้ป่วยหายใจเร็วทำ ให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง
เกิด respiratory alkalosis ผลติดตามมาที่สำคัญ คือ
การเกิดการหดตัวของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โดยเฉพาะที่สมอง
นอกจากนั้น ฮีโมโกลบินยังจับตัวแน่นกับออกซิเจน
การปลดปล่อย
ออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่เลือดไหลเวียนผ่านลดลง
การมีออกซิเจนตํ่า ทำ ให้เกิดอาการเวียนศีรษะ รู้สึกตื้อทึบ มึนงง
สับสน หน้ามืด จะเป็น ลม ตาพร่ามัว หายใจขัด หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น
และมือเท้าเย็น เป็นต้น อาการเหล่านี้จะทำ
ให้ผู้ป่วยตกใจมากกลัวจะเป็นอะไรไป ยิ่งทำ ให้หายใจหอบมากขึ้น
นอกจากนี้การที่เลือดมีภาวะเป็นด่างทำ
ให้แคลเซียมอิออนซึ่งเป็นตัวออกฤทธิ์ในเลือดลดลง เกิดอาการเหน็บ
ชาบริเวณริมฝีปาก ชาตามมือเท้า กล้ามเนื้อเกร็ง
ต่อมานิ้วจะเหยียดเกร็ง (carpopedal spasm) ถ้ามากจะมีอาการมือจีบ
(Accoucheurs hand) นั่นไง มาแล้วมือจีบ
สำหรับผู้ที่มีอาการเหล่านี้
ต้องถามอาการและตรวจอย่างละเอียด เพื่อแยกภาวะทางกาย
ที่อาจมาด้วยอาการเช่นนี้ได้ ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
(hypoglycemia), ภาวะชัก (seizure), โรหอบหืด (asthma),
โรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง (myocardial infarction) เป็นต้น
เพราะมันเป็นโรคที่สามารถเกิดอาการคล้ายกันได้
ส่วนวิธีรักษาก็ทำสามารถจัดการได้อย่างนี้ค่ะ
ผู้ป่วยเองสามารถทำให้อาการเหล่านี้หายเองได้ โดยควบคุม
การหายใจให้น้อยลงซึ่งมีหลายวิธีได้แก่
-
การใช้ถุง กระดาษ ใบโต ๆ
ครอบปากครอบจมูกเวลาหายใจเพื่อให้หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์กลับคืนไป
การคลุมโปงหายใจในผ้าห่ม ใช้หลักการเดียวกับการครอบถุงกระดาษ
-
การฝึกหายใจด้วยท้องโดยมุ่งความสนใจมาที่ท้อง
ให้ท้องโป่งออกเวลาหายใจเข้าท้องแฟบลงเวลาหายใจออก
-
การกลั้นหายใจ นับ 1- 4 ในใจ แล้วจึงหายใจออก ทำซ้ำ ๆ ไปเรื่อย
ๆ
-
การควบคุมลมหายใจด้วยการฝึกสมาธิ
สามวิธีนี้หลังเป็นการควบคุมการหายใจไม่ให้หายใจมากเกินไป
วิธีการต่างๆที่กล่าวมาจะทำให้ร่างกายค่อยๆสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นมาทำให้อาการต่างๆค่อยๆหายไป
ในบางครั้งถ้าผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมตนเองให้หายใจน้อยๆได้
แพทย์อาจให้ยาคลายกังวลเพื่อให้จิตใจสงบลงและหายใจช้าลงเองได้
ยาที่ใช้อาจเป็นยากินหรือยาฉีดก็ได้
วิธีฝึกหายใจอีกแบบหนึ่ง
1. กลั้นหายใจ นับ 1 ถึง 5 (ไม่ต้องหายใจลึก)
2. เมื่อนับถึง 5 แล้วให้หายใจออก
พร้อมกับจินตนาการภาพตัวเองกำลังผ่อนคลาย
3. หายใจเข้าและออกช้า ๆ อย่างละประมาณ 3 วินาที
ให้สังเกตว่าลมหายใจกระทบขอบในของจมูกขณะหายใจ
พร้อมกับจินตนาการภาพตัวเองกำ ลังผ่อนคลายทุกครั้งที่หายใจออก
(โดยรวมหายใจเข้าออก 10 ครั้ง ต่อนาที)
4. ทุก 1 นาที (หรือเมื่อหายใจครบ 1 ครั้ง) ให้กลั้นหายใจ นับ 1 ถึง 5
(ไม่ต้องหายใจลึก)
5. หลังจากนั้นเริ่มหายใจเข้าและออกช้าๆ อย่างละประมาณ 3 วินาที
ดังเดิม
เพิ่มเติม
พี่ ๆ
ต้องรีบกันตัวสาเหตุที่กระตุ้นที่ทำให้น้องกลัวออกไปก่อน
อาจจัดสิ่งแวดล้อมให้เป็นสัดส่วน
ให้อยู่เงียบ ๆ
อาจใช้ท่าทางดูแลประคับประคองจิตใจ
ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ดูแล จะใช้วิธี
ก้มประคอง ไปแตะบ่า ตบสัมผัสเบา ๆ พร้อมพูดให้กำลังใจ
และช่วยพูดกำกับเพื่อช่วยให้น้องควบคุมการหายใจเข้าสู่ภาวะปกติได้
ว่า
"น้องงงงง น้องจ๊ะ ใจเย็น
ใจเย็นนนน..... น้า ขอให้น้องหายใจเข้าออกลึกๆ น้าค้า....อ้าววว
..หายใจนะ...หายใจเข้า.........หายใจออก...............เข้า........ออก......เข้า....ออก........ไปเรือย
ๆ จนกว่าน้องจะหายใจเป็นปกติ
ที่สำคัญพี่ ๆ ต้องไม่ตื่นเต้น ถึงขั้น
พาน้องหายใจเร็วเอง นะคะ
-
ถ้าน้องมีอจีบ
ก็ค่อย ๆ แกะออกให้ผ่อนคลาย
-
ถ้าน้องจะหลับให้หลับไปเลย
หากไม่ไหวจริง ๆ อย่าลืม
โทร 1669 เรียกหน่วยกู้ชีพ
มารับน้องไปโรงพยาบาลนะคะ
ก็ขออวยพรให้พี่น้องทุกสถาบันจัดกิจกรรมรับน้องใหม่อย่างความสุข
และผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้อีกแรงค่ะ
ด้วยความห่วงใย
กัญญา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=
แหล่งข้อมูล
http://mupan.multiply.com/reviews/item/3