วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันไปเดินร้านหนังสือ ได้หนังสือที่ดีมา 1 เล่ม ด้วยอาจเป็นเพราะชอบที่ถูกล่าวในหังสือเป็นทุนเดิม และเรื่องเป็นเรื่องที่น่าสนใจ "ความรัก ความทุกข์ ความสุข ความตาย" เป็นเรื่องราวที่เขียนระหว่างการสนทนาของ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต และ แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร โดยร่วมแลกเปลี่ยนเรื่องราวผ่านบทเพลงที่เขียนโดย แอม เสาวลักษณ์ เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นระหว่างการสนทนา ได้ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวที่เคล้าด้วย ความรัก ความทุกข์ ความสุข และความตาย ทุกอนูของเนื้อหาถูกใจฉันยิ่งนัก
สิ่งที่โดนใจฉันเป็นอันดับแรกคือ คำนำของแม่ชีศันสนีย์ที่กล่าวถึงเรื่องการกอด ฉันขอคัดลอกมาเพื่อสื่อถึงทุกท่านด้วยความคิดถึง
เมื่อได้กอดใครสักคน
อ้อมกอดทำให้เกิดสุขได้
ฐานของความสุข คือการได้ฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ
ผ่านลีลาและเรื่องราวของชีวิตที่เคลื่อนไหวราวคลื่นดนตรี..
อย่างเปิดใจกว้างและวางอคติ
กอดอุ่น...บอกเล่าถึงย่างก้าวของชีวิตที่พบพานกับ
"ความรัก ความทุกข์ ความสุข ความตาย" เป็นก้าวย่างของการเติบโต
ที่ผ่านฤดูกาลซึ่งอาจเหงา เศร้า สงสัย และชื่นชมยินดีในกันและกัน
กอดอุ่น...ทำให้รู้ว่าเรามีใครคนหนึ่งที่สนิทใจ เพราะไม่ได้
เห็นกันแค่หน้า ไม่ได้รู้จักกันแค่ชื่อ หากแต่เห็นความสุข ความทุกข์ในกันและกันด้วย
กอดอุ่น..ไม่ได้เกิดขึ้นจากความฝัน หรือการคาดเดาเอาเอง
กอดอุ่น...เกิดขึ้จจากความเข้าใจในรัก และความรู้สึกทีได้รัก
การกอดกันอย่างมีความสุข จึงเป็นสิ่งที่ดี ๆ ในชีวิต
สำหรับ...
ทุกกอดอุ่นที่ไม่มีความลับ
ทุกบทเพลงที่เขียน
ทุกเรื่องราวที่เล่า
...ขอบคุณ
และขอบคุณที่ให้กอด
ธรรมสวัสดี
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
แค่คำนำก็ทำให้ฉันซาบซึ้งถึงความอบอุ่น ความมีเมตตา ความละเอียด ละเมียด ละไม ในความเป็นผู้สื่อถึงความดีงาม สื่อถึงใจ เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวในหนังสือ
บทเบื้องแรก เริ่มต้นด้วยคำถามของแม่ชีศันสนีย์ : แม่ถามนิดหนึ่งเถอะ แต่งเพลงยากมั๊ยลูก
(ฉันคิดในใจว่า ถ้าฉันเป็นแอมเสาวลักษณ์...เริ่มต้นด้วยคำถามที่อบอุ่นแบบนี้ ใจฉันคงอิ่มเอมไปด้วยความสุข....เอ...หรือว่าฉันโหยหา..หาแม่..อิอิ)
ในแต่ละบทเพลง 19 เพลง ที่ได้มีการเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างแม่ชีศันสนีย์ และแอม ทำให้ฉันได้เรียนรู้ความเป็นไปในชีวิต เป็นบทเรียนอีกหลาย ๆ บทที่ฉันต้องเรียนรู้ และเร่งเร้าจะจะก้าวข้ามผ่านซึ่งสิ่งที่พันธนาการ อย่างไร้จุดหมายในใจฉัน
ฉันชอบที่แม่ชีศันสนีย์บอกว่าแอมว่า "ถนอมมัน" ดีนะลูก เราจะต้องถนอมรัก ถ้าคนเราถนอนรักไม่เป็น มันจะไม่รักชีวิตตัวเองด้วย (เพลง เมย์ เลิฟ รีเมน..May Love Remain) แมชีบอกว่าเราจะเอาความหวงสิ่งที่เรารักมาเป็นโจทย์ที่จะทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่รักมาก เหมือนเรามี ฉันทะ คือมีความรัก มีความพอใจในงานที่ทำ เพราะเรามีความรักในสิ่งที่เรากำลังได้โอกาสและบทบาทที่จะทำตรงนั้น เราจะเพียรกับมันมาก วิริยะ คือความเพียรในสิ่งที่เรารัก ท่านบอกว่า คนเรามีโอกาสทำงานอยู่ด้วยสองอย่าง คือ ทำด้วยความอยากและทำด้วยความรัก ถ้าอยากนะเป็นปัญหา แต่ถ้าจะรักจะเป็นปัญญา
จิตตะ คือการตั้งใจ มั่นจะทำให้สำเร็จ ยากอย่างไรก็จะทำให้สำเร็จ ใคร่ครวญ ทดลอง จนกระทั่งบรรลุ ซึ่งจะเป็นวิมังสา
........อีกมากมาย......
แค่ปฐมบทเพลงแรกก็ทำให้ฉันมองถึงความรักอย่างลึกซึ้ง ความรักไม่มันไม่ใช่มีเฉพาะรักของหนุ่มสาว เป็นความรักของทุกสรรพสิ่งของชีวิตที่ดำรงอยู่ในโลกนี้ ปฐมบทเพลงแรกนี้ ส่งใจให้ฉันอ่านมันต่อเนื่องอย่างวางไม่ลง ทุกบรรทัด ทุกอณูของตัวอักษร ชวนให้หลงไหล กับการได้เริ่มกับสิ่งที่เป็นความรัก แต่....เมื่อคำกล่าวว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ มันเป็นสัจธรรมเช่นนั้นหรือ ฉันว่าคนที่คิดแบบนั้นคือคนที่ "รักไม่เป็น" ถ้าเรารักเป็นแล้วเราจะไม่เกิดทุกข์ ฉัน "กล้า" ที่จะกล่าวเช่นนั้น โดยเอาเหตุที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองตลอดเวลามากกว่าสี่สิบปีของฉันเป็นบทเรียนรู้ของตัวเอง (รู้ว่าแก่เลย...อิอิ) บทเพลงที่เล่าอย่างต่อเนื่อง สอนให้ฉันได้เรียนรู้ การมีชีวิตอยู่ไปพร้อมกับการเรียนรู้ที่จะมีรัก เรียนรู้ที่จะทุกข์ เรียนรู้การมีความสุข และเรียนรู้อย่งไม่ประมาทกับความตาย
ฉันอยากให้หลาย ๆ คนที่อยู่ในจริตเดียวกับฉัน ได้มีโอกาสได้อ่าหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องที่อ่านง่าย ได้ธรรมะกับการครองชีวิต อย่างลึกซึ้ง
...............ทุกเพลงที่แอมเขียน มีความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มันบอกเล่าถึง ความรัก ความทุกข์ ความสุข ความตาย ให้เราได้สนทนากันอย่างรื่นรมย์ เช่น เพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ก็เป็นความรักที่รื่นรมย์ได้แม้ไม่สมหวัง เพราะความรักไม่มีถูกไม่มีผิด แต่ความรักต้องไม่ทุกข์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เรามีความสุขที่จะรัก แม้สิ่งที่เรารักจะไม่ได้อยู่กับเรา เราก็ประสบความสำเร็จในความรักที่อยู่เหนือเงื่อนไขของความเห็นแก่ตัวแล้ว เรียกได้ว่า...
...............แค่รู้ว่าหลง...ก็ตื่นแล้ว
อ่านข้อความเต็มที่นี่