แม้เกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่(เคยบันทึกไปครั้งหนึ่งแล้ว) จะประกาศเป้าหมายชัดเจนว่า “หัวใจอยู่ที่เด็ก” ซึ่ง ก.ค.ศ.จะพยายามแก้คำกล่าวหาเดิมที่ว่า “ผลการประเมินยังเป็นการดูที่เอกสารและไม่ส่งผลถึงความก้าวหน้าที่ตัวผู้เรียนชัดเจน” และได้พยายามอุดช่องโหว่เหล่านี้ให้มากที่สุด โดยเชิญเจ้ายุทธจักรจาก สมศ.มาปรับรื้อใหม่ ซึ่งวิธีการหลายอย่างได้สืบทอดจากแนวทางของ สมศ. ก็ตาม แต่ผมก็ยังมีข้อกังวนแทนครูหลายประการ และมีข้อเสนอแนะบางประเด็นสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อสะท้อนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาแนวทางปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ.กำหนดแล้ว อย่างเหมาะสมกันต่อไป กล่าวคือ
1.อยากเห็นตัวอย่างสถานศึกษาที่เป็นเจ้าของเรื่องเสนอชื่อครูที่เก่งและดีจริงๆในโรงเรียนเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะเสียเอง ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ.เปิดทางให้ นอกจากให้เจ้าตัวเสนอขอเอง(เดิมก็เคยมีหลักเกณฑ์นี้) โดยต้องดูครูที่เป็นปูชนียบุคคลจริงๆ และอาจไม่สนใจที่จะเสนอตัวเองขอรับการประเมิน ซึ่งเป็นครูที่ทั้งนักเรียน เพื่อนครู ผู้ปกครอง ชุมชน เห็นชื่อแล้วต่างพยักหน้าศรัทธายกนิ้วให้ด้วยใจจริง เพื่อจะได้ขยายแบบอย่างที่ดีให้แก่วงวิชาชีพครูต่อไป ซึ่งไม่ต้องใช้ระบบโควตา ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องเสนอ
2. เห็นด้วยที่มอบการประเมินด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรมฯ ให้ผู้บังคับบัญชาประเมิน และใช้สมุดประวัติ(กพ.7)เป็นเอกสารอ้างอิง ดูไม่ยุ่งยากดี ถ้าหากผู้บังคับบัญชาใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือส่งเสริมพัฒนา มากกว่าการขู่ หรือใช้อำนาจ/อภิสิทธิ์ หรือเกรงใจกัน ก็น่าจะทำให้ความประพฤติของครูด้านนี้ดีขึ้นในระยะยาว ซึ่งผู้บริหารก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย
3.ด้านคุณภาพการสอนและการพัฒนาผู้เรียน ที่ให้ส่งประจักษ์พยานการสอน และ SAR นั้น แม้จะเป็นเรื่องหนักใจของครูพอสมควร แต่ก็น่าจะเป็นเครื่องมือที่สะท้อนคุณภาพการสอนและการพัฒนาผู้เรียนพอสมควร แต่ไม่อยากให้มีคุณพ่อคุณแม่รู้ดี ทำแบบฟอร์มเบ็ดเสร็จให้กรอก (จนเกิดการเผยแพร่ เผยน่าน)กันเต็มเมือง และคุณพ่อคุณแม่เหล่านั้นก็เป็นกรรมการประเมินด้วย เลยต่างลากเข้ากรอบของตนเอง ในที่สุดครูก็ติดกรอบเหมือนเดิม ไม่เกิดคุณลักษณะตามมาตรฐานวิทยฐานะที่กำหนดไว้จริง ครูที่ไม่ควรได้แต่อยากได้ก็จะรู้ทาง และเกิดเอกสารล้นโรงเรียนเหมือนเดิม จนขาดความเป็นชีวิตจริง ที่เป็นภาพลวงตา ทางแก้ก็ต้องดูด้านผลการสอนและการพัฒนาผู้เรียน(ด้าน 3)ว่าส่งผลจริงหรือไม่ ถ้าประเมินจากร่องรอยสภาพจริงประกอบด้วยก็จะดี และไม่ควรดูที่จำนวนเอกสารให้เป็นภาระแก่ครูมากนัก
4.ด้านผลการสอนและการพัฒนาผู้เรียนที่ดูจาก NT,O-net,A-net ฯลฯ ที่เชื่อถือได้ และผลงานวิจัยนั้น ในวิธีการประเมินและการดูผลการประเมินก็ควรดูสภาพพื้นฐานจากเหตุผลจริง ไม่ดูแต่ข้อมูลเชิงปริมาณ หรือดูรูปแบบการเขียนตามหลักวิชาการเท่านั้น แต่ควรดูด้านคุณภาพโดยรวมและผลข้างเคียงทางบวกอื่นประกอบด้วย คงไม่ใช้เกณฑ์เดียวกันประเมินทุกโรงเรียนทุกสภาพเหมือนกันหมด และควรกระตุ้นให้สถานศึกษาใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหา และแนวทางในการพัฒนา(นวัตกรรม) เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียน(พัฒนาให้ครบทั้ง KPAด้วย) โดยส่งเสริมให้ครูแต่ละกลุ่มสาระ/แต่ละระดับชั้นทำงานเป็นทีมกันมากขึ้น (เพราะการประเมินระดับขาติเขาประเมินเป็นระดับชั้นและกลุ่มสาระ ไม่ใช่รายวิชา)แล้วรับอานิสงส์จากมูลค่าเพิ่มร่วมกัน ก็จะทำให้คุณภาพการศึกษาขับเคลื่อนไปทั้งโรงเรียน เป็นเครื่องมือหนึ่งในการ SBM ได้
5.ประเด็นสำคัญอยู่ที่กรรมการประเมินถ้ายังยึดหลักกระจายอำนาจแบบปูพรม ให้ พื้นที่ประเมิน โดยคุมระบบเพียงให้เลือกจากบัญชีผู้ประเมินของ ก.ค.ศ. ซึ่งเป็นองคาพยพที่กว้างใหญ่มาก แม้จะให้สัดส่วนผู้ประเมินจากภายนอกมากกว่าก็ตาม แต่ถ้าขาดความจริงจังเรื่องการสร้างความเข้าใจ ความตระหนัก และระบบกำกับติดตามผู้ประเมินก็เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงในมาตรฐานการประเมินที่จะเกิดขึ้น ผมยังติดใจวิธีประเมินผู้บริหารต้นแบบของ สกศ.เดิมที่เขาใช้ผู้ทรงคุณวุฒิจริงๆจำนวนไม่มาก และเส้นทางประเมินก็สั้น ดูของจริงไม่กี่วันก็รู้ผล และได้คนดีจริงๆพร้อมที่จะเผยแพร่ผลการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสง่าผ่าเผย (เคยนำเสนอแล้ว) ดูอย่าง ผอ.นคร ตังคะพิภพ เป็นตัวอย่างของ ผอ.ต้นแบบที่ สกศ.ไปประเมิน แต่เป้าหมายของ ก.ค.ศ.ยังต้องการประเมินเจาะลึกในสมรรถนะเฉพาะแต่ละสาขาวิชา จึงต้องใช้ผู้ประเมินที่เป็นเจ้ายุทธจักรจากสำนัก/สาขาต่างๆเป็นจำนวนมาก และคงคุมยากด้วย ก็ต้องสื่อสารและหาทางเฝ้าระวังติดตามมาตรฐานการประเมินอย่างใกล้ชิดด้วย ต้องระวังอย่าให้ตึงหรือหย่อนเกินไป ระบบต้องพยายามรักษาครูดีดีให้อยู่ในระบบ และมีความก้าวหน้าในวิชาชีพ ไม่ให้ครูดีต้องท้อและเบื่อในระบบ
ยังมีอีกหลายประเด็นที่อยากสะท้อน ก็ขอทิ้งไว้เท่านี้ก่อน เพื่อฟังการสะท้อนแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากท่านอื่นๆบ้าง
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ..ท่านอาจารย์ธเนศ
ขอบคุณที่นำเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่มานำเสนอ...เพราะครูหลายๆ ท่านเป็นกังวล อยากทราบความชัดเจน...ตามประเด็นข้อเสนอแนะที่อาจารย์นำเสนอ ตนเองมีความคิดเห็นดังนี้
ขอบคุณค่ะ..ท่านอาจารย์ธเนศสำหรับข้อเสนอที่ดี และสร้างสรรค์
ขอบคุณทั้งสองท่านที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของ ก.ค.ศ.ทุกครั้ง เขาก็พยายามเอาปัญหาที่พบมาหาวิธีแก้ไขให้ดีขึ้นทั้งสิ้น แต่ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่วิธีปฏิบัติ พอเราเอาวิชาเป็นตัวตั้ง องคาพยพเลยกว้างใหญ่ไพศาล ต้องอาศัยผู้ประเมินจากหลายสาขาวิชา ซึ่งค่อนข้างดูแลยาก ตัวแทน ก.ค.ศ.ใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่สามารถเป็นตัวแทนดูแลระบบนี้ให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกันได้หรือไม่ เป็นประเด็นหนึ่งที่ ก.ค.ศ.ต้องคัดสรรมาให้ดี
ผมเห็นด้วยกับ ดร.สุพักตร์ว่าถ้าเอาสมรรถนะเฉพาะแต่ละวิชามาประเมินตรงนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยากซึ่งจะเกิดปัญหาองคาพยพกว้างใหญ่อย่างที่เห็น(ซึ่งจริงๆตอนนี้เราประเมินผลงานวิชาการกัน เราก็ดูที่สมรรถนะเฉพาะแต่ละวิชากันอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้ประกาศเป็นทางการก็ตาม)ถ้าเราใช้การประเมินแบบ สกศ.ที่ประเมินผู้บริหารต้นแบบ โดยเน้นสมรรถนะหลักและประจำสายงาน องคาพยพอาจไม่ต้องกว้างขวางมาก ใช้ผู้ทรงคุณวุฒิมาประเมินไม่มาก แต่ต้องเก่งและเที่ยงธรรมจริงๆ(สามารถตบสีข้างม้าก็รู้ว่าม้าดีหรือไม่ดี)ส่วนสมรรถนะเฉพาะแต่ละวิชาก็ให้องค์กรวิชาชีพ เช่น ศูนย์วิชา หรือโรงเรียน หรือเขตพื้นที่ ใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาบุคลากรหรือประเมินความก้าวหน้าของบุคลากรในหน่วยงานตนโดยเฉพาะก็คงดี
แต่พอไม่ประเมินแยกเป็นรายวิขาเฉพาะแต่ละสาขาวิชาหลายคนก็ไม่ยอมรับอีก ก็จึงเป็นปัญหา "เหมือนลิงแก้แห"อย่างทุกวันนี้ ...ใจจริงผมยังชอบการประเมินแบบ สกศ.นะ
สวัสดีค่ะ
ดิฉันเห็ด้วยเป็นอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงระบบการประเมิน การปรับเปลี่ยนเกณฑ์การประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะของครูในยุคปัจจุบัน ถ้าหากเป็นไปได้ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ประเมินควรเป็นบุคคลที่มีความรู้ในสายงานของครูผู้ส่งงานจริงๆ ไม่ใช่บุคคลที่มีเพียงแค่วิทยฐานะสูงกว่าผู้ส่งงานเท่านั้นเป็นตรวจและประเมินงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ประเมินควรแยกไปตามสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ เช่นเดียวกันกับการตรวจผลงานสมัย อาจารย์ 3 เพราะมีความชัดเจนมากก่วา ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ 3 รู้สึกภาคภูมิใจและดูเป็นผู้มีควสามรู้จริงๆ ในสายงานที่ระบุถึงความเป็นผู้ชำนาญการในการสอนในรายวิชาของตนเองจริงๆ รวมทั้งนวัตกรรมที่สร้าง มีการทดลองใช้อย่างจริงจัง มาตรฐานเกณฑ์การประเมิน ควรอยู่ในระดับเดียวกันทุกสาขาวิชา
ขอบคุณมากค่ะที่ให้โอกาสแสดงความคิดเห็น
ครูปา
สวัสดีค่ะ
กำลังหาหัวข้อทำรายงานเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินเพื่อเลื่อนวิทยะฐานะแบบเก่าและแบบใหม่ ว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร มีปัญหาและอุปสรรค์อย่างไร ได้แนวคิดที่มีประโยชน์อย่างยิ่งของอาจารย์ ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ การแก้ไขทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของ ก.ค.ศ.ทุกครั้ง เขาก็พยายามเอาปัญหาที่พบมาหาวิธีแก้ไขให้ดีขึ้นทั้งสิ้น แต่ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่วิธีปฏิบัติ
และคำว่ามาตรฐานเดียวกัน (ของใคร) ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ธเนศ ในสิ่งดี ๆ ที่นำมาเสนอ