หลายครั้งที่เราฟัง แต่เรากลับไม่ได้ยิน ไม่ได้รับสารหรือสาระทึ่อีกฝ่ายต้องการสื่อสารให้เรา เรารับรู้เพียงสิ่งที่เราต้องการได้ยิน เหมือนที่เราคิด เราต้องการให้เป็นเช่นนั้น...
"หากสายลมพัดพาชะตาชีวิต
ฟ้าลิขิตเส้นทางทุกย่างก้าว
เคราะห์ดีร้ายดูได้ด้วยเดือนดาว
กรรมดำขาวล้วนติดกายมากหลายกัลป์
หากชีวิตดีได้เพราะไหว้ขอ
ด้วยการรอเทพยดามาเสกสรรค์
ชีวิตนี้คงไม่มีความสำคัญ
ที่จะสรรค์สร้างความงามได้ตามใจ"
จากหนังสือเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
วิจักขณ์
พานิช
คนไม่มีรากมีโอกาสเข้าเป็นคณะทำงานและร่วม การอบรมภาวะ
ผู้นำทาง
จิตตปัญญาศึกษาสู่มหาวิทยาลัย
โดยมีเป้าหมายหลักที่กลุ่มผู้บริหาร
คณาจารย์
ในระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ
เพื่อเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเครือข่าย
คุณธรรม ระหว่างวันที่
28-30 เมษายน
2551 ณ ศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาลบ้านผู้หว่าน
อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานเลขาธิการสภา
การศึกษา
และ
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณวิจักขณ์ พานิช,คุณณัฐฬส
วังวิญญู,คุณฌาณเดช พ่วงจีน ,ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
การประชุมนี้มีวิทยากรหลัก 3
ท่าน คือ คุณณัฐฬส
วังวิญญู จากสถาบันขวัญเมือง
คุณวิจักขณ์ พานิช และคุณฌานเดช พ่วงจีน ซึ่งรับผิดชอบในหลักสูตร
การเรียนรู้ด้วยหัวใจที่ใคร่ครวญ (Comtemplative
Education)
ในหลักสูตรนี้ประกอบด้วยหัวข้อย่อย ๆ อีกมาก
คนไม่มีรากขอตัดตอนเฉพาะในส่วนที่ตัวเองคิดว่าน่าสนใจ
ดังนี้
การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
(Comtemplative
Education) หมายถึงการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
ที่มิได้หมายถึงรูปแบบของการศึกษา หรือระบบการศึกษา
หากแต่หมายย้ำไปถึง “กระบวนการ”
เพื่อจุดประกายให้เรากลับไปพิจารณา คุณค่า
ความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้
ที่สะท้อนถึงกระบวนการที่เป็นพลวัตไม่หยุดนิ่ง ความคิดสร้างสรรค์
จินตนาการ
ไม่จำกัดการเรียนรู้ไว้เพียงในกรอบและขั้นตอนที่ถูกจัดวางไว้อย่างตายตัว
การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
(Comtemplative
Education) ทำได้ใน 3 ลักษณะคือ
1.
การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep
Listening) หมายถึงการฟังด้วยหัวใจ
ตั้งใจ สัมผัสรายละเอียดของสิ่งที่ฟังอย่างลึกซึ้งด้วยจิตที่ตั้งมั่น
รวมไปถึงการมอง การอ่าน การสัมผัส
2.
การน้อมใจอย่างใคร่ครวญ (Comtemplation)
เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการฟังอย่างลึกซึ้ง
น้อมนำมาคิดใคร่ครวญ ใช้ความสงบเย็นของจิตใจเป็นพื้นฐาน
ลองนำไปฝึกปฏิบัติให้เห็นผลจริง
และได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้น
3.
การเฝ้ามองเห็นตามที่เป็นจริง (Meditation)
การปฏิบัติธรรมหรือการภาวนา
เฝ้าดูธรรมชาติของจิต ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่
และถูกบีบคั้นจากกระแสของการเลื่อนไหลแห่งเหตุปัจจัย
สภาพแวดล้อมของบ้านผู้หว่าน
จังหวัดนครปฐม สถานที่จัดอบรม
คุณณัฐฬส วังวิญญู
กล่าวถึง การตั้งคำถาม การแสวงหา
และการเดินทางของดวงจิตอันเก่าแก่(Quest)
เพราะมนุษย์นั้นมิได้มีเพียงชีวิตเดียว
แต่บ่มเพาะ ผ่านกาลเวลา มาเนิ่นนาน และมากเกินกว่าที่เราจะหยั่งรู้ได้
มนุษย์ควรตั้งคำถามและค้นหาจุดหมายของตนเอง
คุณฌานเดช พ่วงจีน
ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ของร่างกาย จิต อารมณ์ วิญญาณ
ซึ่งต้องการการดูแลอย่างถูกต้อง และได้สอนการรำมวยจีน หรือ
ไท่ฉีฉวน
ซึ่งผสานและช่วยให้ กาย จิต อารมณ์ วิญญาณสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน
และส่งผลให้ทุกองค์ประกอบเกื้อกูลกันได้อย่างลึกซึ้ง
คุณวิจักขณ์ พานิช
ได้เล่าถึง มณฑลแห่งการตื่นรู้
(Space)
ซึ่งอาจแปลความโดย
นัยยะได้ว่าเป็น สัปปายะ ความเหมาะงาม หรือความสบาย
ในการรับสิ่งที่เป็นจริงในชีวิต
ตลอดชีวิตของมนุษย์ต้องผ่านการเรียนรู้
.. ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามที
การเรียนรู้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพสูงสุด
จะต้องสร้างมณฑลแห่งการตื่นรู้ หรือ Space
ขึ้นมาในตัวเสียก่อน
คนไม่มีรากแปลความเอาเองว่า
...เราต้องเปิดใจเสียก่อน...ต้องเป็นแก้วเปล่าที่พร้อมจะรองรับสิ่งใหม่
ๆ ความคิดที่แตกต่างจากความคิดเดิม การใคร่ครวญ ครุ่นคิด อย่างลึกซึ้ง
ไม่ฉาบฉวย ไม่เร่งด่วน
ไม่คิดเอาเองว่าใช่แล้วหรือไม่ใช่หรอก
หลายครั้งที่เราฟัง
แต่เราก็ไม่ได้ยิน
ไม่ได้รับสารหรือสาระทึ่อีกฝ่ายต้องการสื่อสารให้เรา
เรารับรู้เพียงสิ่งที่เราต้องการได้ยิน เหมือนที่เราคิด
เราต้องการให้เป็นเช่นนั้น
และบางครั้ง..เคยหรือไม่ที่เรากลับเสแสร้งแกล้งฟัง...เพียงเพราะเราต้องการ..บางสิ่งบางอย่างหรือต้องการการยอมรับจากผู้อื่น...
การอบรมครั้งนี้...ทำให้คนไม่มีราก..หันกลับมาตั้งคำถามว่า
...ชีวิตของเรานั้น...มีจุดหมายอยู่ที่ไหน เรากำลังเดินทางไปสู่อะไร
เราคิดอะไร เราทำอะไรอยู่
...เราเคยฟังและได้ยินอย่างลึกซึ้ง ใคร่ครวญ ...
สาระอันแท้จริงจากสรรพสิ่ง เพื่อนพ้อง
คนรอบข้างหรือยัง...หรือเราฟังเพียงเพื่อให้คนอื่น...ฟังเราบ้าง...หรือแม้กระทั่ง...เราเคย
ได้ยินความต้องการอันแท้จริงของเราบ้างหรือเปล่า
วิทยากรกล่าวว่า เราใคร่ครวญ ผ่านฐาน 3 ฐาน นั่นคือ
กาย อารมณ์ และใจ เรามัก จะสื่อสารผ่านเพียงกาย
เราไม่ค่อยสนใจและเอาใจใส่กับอารมณ์ในขณะนั้น
และที่สำคัญเราสื่อสารผ่าน
“ใจ”
น้อยมากและแทบจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการสื่อสารผ่านใจ
การสื่อสารโดยใช้ใจ
เป็นฐานนั้นเป็นคำถามที่คนไม่มีราก
เพียรถามตัวเองเสมอมา...ว่าจะทำได้อย่างไร...
บางครั้งยิ่งพูด ... ยิ่งเมา(คำพูด) ยิ่งหลงทาง
ยิ่งไกลจากสิ่งที่ต้องการสื่อ
หลายครั้งยิ่งเขียน...ยิ่งสับสน
ยิ่งห่างไกลจากความรู้สึกอันแท้จริง
เราจึงพลาดโอกาสที่จะได้รับรู้และซึมซับ
สิ่งที่เป็นตามจริง...ไปอย่างน่าเสียดาย
มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นนักรบ ต้องว่ายเวียนอยู่ในวิถีของนักรบ…อันโดดเดี่ยวอย่าง
แท้จริง...มิใช่หรือ
?
...นักรบต้องเพียรฝึกฝน บ่มเพาะตนเอง
...ต้องผ่านความเจ็บปวด
ความหวาดกลัว ความเดียวดาย
...และต้องผ่านความเปราะบางที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองและสรรพสิ่ง
...จึงจะเป็นนักรบอย่างแท้จริง
....แด่..นักรบผู้กล้าในสมรภูมิชีวิต...ทุกท่าน
อ้างอิง : เรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
โดยวิจักขณ พานิช ,
2550