วันนี้ไปแนะนำวิทยานิพนธ์คุณหมอ นิลเนตร ผอ รพสูงเนินที่กำลังทำปริญญษเอกอยู่ที่นิด้า
ความเป็นหมอ รพช มาตลอดชีวิตคุณหมอเลือกทำการศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ทำให้หมอ อยู่รพ ชุมชน โดยให้เหตุผลว่ามีการศึกษามาแยะมากแล้ว ถึงสาเหตุที่หมอไม่ยอมอยู่ รพ ชุมชน
แต่ยังไม่เห็นมีใครสนใจจะรู้ว่าคนที่อยู่ได้นานๆเขาอยู่ได้เพราะอะไร
คุณหมอยังได้ทบทวนการศึกษาที่ผ่านมาในเมืองไทยว่าด้วย นโยบายและผลการวิจัยสารพัด พบว่ามีวิจัยเยอะแยะ นโยบายก็ทดลองมาแล้วหลายแบบ เพื่อจะทำให้หมออยู่ รพ ชุมชนได้นานๆ เพราะที่ผ่านมา แม้จะมีนโยบายบังคับให้แพทย์ใช้ทุน พอครบ3 ปีตามสัญญาก็จะเหลือทงานที่ รพ ชุมชนเพียงไม่ถึง 1 ใน 4 และถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจดีๆ ก็จะเหลือน้อยกว่านั้นอีก
ถ้าเอาแค่นโยบายการทำให้หมออยู่ รพ ชุมชนนานๆมีหลายโปรแกรมที่เน้นการให้โอกาสคนในชนบท 1.การเลือกคนจากชนบทมาเรียนโดยมีสัญญาผูกมัดให้กลับไปทำงานที่จังหวัดที่ตัวเองได้รับเลือกมาเรียน ที่มีมาตั้งแต่ราว 25 ปีที่แล้ว และยกเลิกไปเพราะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถเก็บคนที่จบให้ทำงานที่ ชนบทได้นานๆ
2. มีโครงการแพทย์แนวใหม่ที่ให้คนจบปริญญาตรีแล้วมาเรียนอย่างทีผมเขียนไว้ใน blog ก่อนหน้านี้
http://gotoknow.org/blog/learningsociety/179331?page=1
3. มีนโยบายของมหาวิทยาลัยภูมิภาคให้โควต้าคนในภาคที่มหาวิทยาลัยนั้นๆตั้งอยู่ โดยมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีสัญญาผูกมัดว่าต้องกลับไปทำงานในพื้นที่ที่ตัวเองได้จบชั้นมัธยม
4 มีการรื้อฟื้นโครงการรับนักศึกษาจากพื้นที่ขึ้น้ใหมโดยคราวนี้ให้ กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าของโครงการ แล้วส่งไปเรียนที่โรงเรียนแพทย์ โดยไม่มีการผูกมัดพื้นที่ทำงานไว้ล่วงหน้าแบบที่เคยเป็นก่อนหน้านี้
ปรากฏว่่าสถานการณ์การไปอยู่บ้านนอกก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเทาไร
จากที่คุณหมอทบทวนทางทฤษฏีก็ดูจะชัดเจนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ปัจจัยตัวบุคคล ผสมกับปัจจัยเชิงองค์กร และการที่มาจากพื้นที่ชนบทก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
การดูแลหรือที่เรียกกันเป็นวิชาการว่า การบริหารงานบุคคล และการบริหารองค์กรให้แพทย์มีความสุข และความพอใจในการทำงาน พร้อมกับได้เรียนรู้ และมีค่าตอบแทนพอสมควรเป็นปัจจัยอีกกลุ่มที่สำคัญ แต่ยากที่จะจัดการให้ดีภายใต้กติกากลาง ของการบริหารโรงพยาบาลที่เป็นระบบราชการ
การคัดเลือกคนจากชนบทมาเรียนโดยหวังให้กลับไปทำงานได้นานๆ จึงเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของการจัดการ อีกครึ่งหนึ่งคือการบริหารองค์กร และการบริหารบุคลการอย่างที่ว่ามา
ไม่ยากหรอกครับคุณหมอ ลองส่งคนในชนบทที่อยู่ในท้องถิ่นไปเรียนแล้วให้เขากลับมาทำงานที่บ้านเกิด รับรองอยู่นานแน่ๆๆ แต่ไม่ควรให้เขาไปเรียนนานนัก จะทำให้เขาติดกับ ความเจริญ เดี๋ยวไม่กลับมาในชนบทอีก ควรทำสัญญาด้วยว่า ให้กลับมาทำงานในชนบทที่เขาอยู่ครับ ขอบคุณครับ
คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำให้เขารักชุมชนที่เขาเติบโตมา รักคนในชุมชนนั้น เห็นว่าชีวิตที่มีคุณค่าคือการพัฒนาบ้านเกิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างไม่ได้ในช่วงสั้นๆค่ะ ต้องสั่งสมมาตั้งแต่เขายังเล็กๆกันเลยทีเดียว
สวัสดีครับคุณหมอ
สำนึกรักบ้านเกิดหรือแผ่นดินเกิดปลูกด้วยใจ รดด้วยน้ำใจครัีบ หากเจริญเติบโตขึ้นได้ดี ก็จะผลิดอกออกผลในชุมชนนานๆ และยั่งยืนครับ เพราะไม่มีเงื่อนไขอื่นมาครอบให้ต้องเดินตามเกมส์
กราบขอบพระคุณมากครัีบ
ถ้าปัจจัยสำคัญอยู่ที่การบริหารกำลังใจ และพลังใจ บทบาทของระบบบริหารงานบุคคล และความสามารถของผู้นำองค์กรก็จะเป็นปัจจัยสำคัญ
พวกเราผู้สูงวัย (ไม่อยากคิดเลยว่าตัวเองสูงวัยซะแล้ว รวมทั้ง ศิริราชรุ่นตัวเลขน้อยกว่า 90 ด้วยนะครับ) น่าจะต้องช่วยกันถ่ายทอดความคิด และประสบการณ์ดีๆให้กับรุ่นหลังๆครับ ตอนนี้เห็นรุ่นหลังๆถูก bombard ด้วยวิธีคิดแบบ ปกป้องตัวเอง แทนที่จะรุกทำงานให้ดี แล้วก็เห็นใจมากเลย
หมอเจ๊คะ..สวัสดีคะ..แวะมาอ่าน Blog อาจารย์หมอ.เห็นหมอเจ๊ดีใจคะ
อยากให้สำเร็จจังคะ...ผอ.หล่มสัก ผอ.ตาคลี และอีกหลายๆ ผอ.ที่อยู่นานๆ แล้วคิดดีๆ..สำหรับพวกเราแล้ว..ลุ้นรายวันคะ.บางทีต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยคะ.อยากให้ความคิดดีๆ ผอ.ชนบทสำเร็จ
สวัสดีครับคุณ หมอ ผมเคยตั้งคำถามกับผอ. และขอสามข้อในการพัฒนาโรงพยาบาลสู่คุณภาพ
1. หมอต้องไม่เปิดคลินิก
2.หมอต้องนัดประชุมทีมนอกเวลาราชการ( แปดชั่วโมงในเวลาปกติเอามาประชุมคนไข้เสียประโยชน์ป
3.ต้องประกาศงานคุณภาพเป็นนโยบายสาธารณ ที่ทุกคนในองค์กรร่วมกันสานฝันจับมือเดินไปด้วยกัน
แฮๆๆสุดท้ายก็เป็นบทรำพึงของคนแก่ว่า
"ฉันแก่ ฉันแย่ ฉันเศร้า
ฉันเฝ้าคอยหวังคลื่นลูกใหม่
ฉันฝันงานพัฒนาไว้ตั้งมากมาย
สุดท้ายเป็นได้แค่ความฝัน"