ประสบการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนที่ 3 เริ่มต้นใหม่


แล้วจู่ๆ ในหัวสมองน้อยๆ ก็เกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมา...ชีวิตคืออะไร? เราเกิดมาเพื่ออะไร?...เพื่อที่จะโตขึ้น มีครอบครัว มีงานทำ แล้วก็ตาย แค่นี้เองหรือ?

     หลังจากเหตุการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 50 ที่กระทบกระเทือนใจของผมอย่างรุนแรงนั้น เมื่อความหมกมุ่นกับสมองและจิตใจลดน้อยลง คำถามที่ฝังรากในส่วนลึกของตัวใจเมื่อสมัยเด็กได้ผุดขึ้นมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ผมยังจำได้ดี...

    ณ กลางทุ่งท้องนาวันนั้น วันที่น่าจะเหมือนวันอื่น ที่พวกเรา หมายถึงพ่อแม่และผม ต้องเหน็ดเหนื่อยจากงานนาทั้งวันเต็มๆ ตั้งแต่เช้ามืดยันมืดค่ำ ไม่ว่าแดดจะเผาแสงแรงเท่าไหน ไม่ว่าฝนจะตกหนักหรือเบา มันไม่มีผลทำให้ต้องหยุดงานเลย ถึงแม้ผมจะเป็นเด็กแต่ก็ไม่มีสิทธิ์หาข้อแก้ตัวให้ตัวเองว่ายังเด็กเดี๋ยวไม่สบายเพื่อที่จะหยุดทำงานนาได้เลย หากขืนทำสำออยก็โดนแส้ฟาดแข้งเท่านั้น...เพราะว่าชาวนาต้องอยู่กับนาต้องอยู่กับฟ้ากับแดดกับฝน นั่นคือวิถีของชาวนา...และผมเป็นลูกชาวนา...

    แดดร่มลมตก พ่อกับแม่ได้กลับบ้านไปก่อนแล้ว ผมมีหน้าที่อีกอย่างคือเลี้ยงควาย ซึ่งเป็นหัวแรงหลักในการทำงานนา...สมัยนั้นยังไม่มี “ควายเหล็ก” ผมต้องปล่อยให้มันกินหญ้าให้อิ่มหนำตามคันนาก่อนถึงจะพามันกลับบ้านได้ และเนื่องจากเลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิดจึงไม่ยากที่จะควบคุมมัน เพราะต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้วนั่นเอง ตามจริงแล้วผมควรจะนั่งอยู่บนหลังควายเพื่อคุมไม่ให้มันไปกัดกินต้นข้าว แต่เพราะความ “คุ้นเคย” ทำให้ไม่กล้ากัดกินต้นข้าว แต่มันก็ฉลาดใช่เล่นเมื่อไหร่ที่ผมเผลอต้นข้าวก็โดนรวบไปเป็นเวิ้งเหมือนกัน แต่มันไม่เฉลียว ไม่เฉลียวว่าผมจะเห็นหลักฐานที่มันได้สร้างไว้ บางทีผมก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนกัน เพราะต้นข้าวคงเป็นอาหารอันโอชะมากสำหรับควาย มันทำงานหนักและซื่อสัตย์มาตลอดบางทีมันก็ควรได้รับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ บ้าง...

    ข้าวหนุ่มสาวเพิ่งแตกหน่อกอสมบูรณ์เต็มที่ ใกล้จะพร้อมแล้วที่จะออกรวงให้ผลผลิตแก่เจ้าของนา ผมนั่งเหม่อมองต้นข้าวเหล่านั้นนิ่ง..นาน..สายลมเย็นออ่นๆพัดพริ้วปะทะทั่วร่างผมตลอดเวลา ไอดินกลิ่นนาช่างหอมเหลือเกิน มอง..นิ่ง..นาน..ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง...ยิ่งผ่อนยิ่งคลายยิ่งสงบ กายที่ล้าจากงานนามาทั้งวันมลายหายแล้ว ใจที่เหนื่อยจากการคิดถึงโชคชะตาของตัวเองตลอดวันนั้นก็มลายเช่นกัน...เหลือแต่ความสงบ..ความผ่อนคลาย...ใจผมสายตาผมเห็นแต่ความงามของต้นข้าว เห็นแต่ความงดงามของธรรมชาติ ณ ขณะนั้น...ยิ่งเห็นความงาม ใจยิ่งเบิกบาน ใจยิ่งสงบ ล้ำลึก ดื่มด่ำ...

     แล้วจู่ๆ ในหัวสมองน้อยๆ ก็เกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมา...ชีวิตคืออะไร? เราเกิดมาเพื่ออะไร?...เพื่อที่จะโตขึ้น มีครอบครัว มีงานทำ แล้วก็ตาย แค่นี้เองหรือ? ...ไม่มีคำตอบใดๆ...แล้วหากไม่มีการเกิดเล่ามันจะเป็นอย่างไร หากไม่มีการเกิด ไม่รู้สึกใดๆ ไม่รับรู้ใดๆ มันจะเป็นอย่างไร? ...ไม่มีคำตอบเช่นเคย...ใจผมคล้ายล่องลอยไม่รับรู้ความรู้สึกทางกายใดๆ คิดใคร่ครวญความคิดที่ผุดขึ้นมาอยู่อย่างนั้น...ยิ่งคิด..ใจยิ่งดำดิ่ง..ล้ำลึก...ผมพยายามจำลองสภาวะที่ไม่รับรู้ใดๆ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ตามความคิดแบบเด็กๆในขณะนั้น...ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่รู้สึกในขณะนั้นผิดหรือถูก รู้แต่ว่าตัวเองชอบสภาวะนั้นมาก สภาวะที่คิดเอาเองจำลองขึ้นเองว่าถ้าไม่มีการเกิด ไม่รับรู้ใดๆ ไม่มีความรู้สึกใดๆ มันจะเป็นเช่นใด ผมอธิบายไม่ถูก มันเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันเฉยๆ มันเป็นสภาวะภายในยากจะอธิบายได้ต้องรู้สึกเอง แต่ผมก็ชอบสภาวะนั้นมาก (ลองเอาใจไปคิดว่าหากไม่เกิดโลก ไม่เกิดจักรวาล ไม่เกิดมนุษย์ เราไม่มี ไม่รู้สึกสุขทุกข์ ไม่มีอะไรเลย มันเฉยๆ ดูสิ แต่ต้องตอนรู้สึกผ่อนคลายมากๆ นะ แล้วจะรู้สึกอย่างที่ผมรู้สึกตอนสมัยเด็กนั้น)

     ความคิดความรู้สึกเช่นนั้นมันติดตามผมมาตลอด ส่วนมากจะเกิดเมื่อใดที่เห็นความงามของธรรมชาติรอบๆ ตัว ซึ่งผมก็เห็นบ่อยๆ ด้วยสิ ทั้งๆ ที่คนอื่นอาจจะมองว่าธรรมดา สระน้ำก็ธรรมดามีอยู่ดาษดื่น ท้องทุ่งนาก็ต้องมีข้าว มันธรรมดา...แต่ผมว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ตั้งใจที่จะมองมากกว่าจึงไม่เห็นความงามของธรรมชาติ....มาคิดดูว่าทำไมตัวเองถึงได้คิดเช่นนี้นั่นอาจเพราะ “ผมได้เห็นทุกข์” ทุกข์จากการทำนา ทุกข์จากการที่ต้องหลังขดหลังแข็ง ไม่สบายทั้งร่างกายและจิตใจ จึงอยากจะหลีกหนีจากภาวะทุกข์เช่นนั้น...แต่ผมก็ยังไม่รู้วิธีแก้มีแต่จะหนีอย่างเดียว เพราะทางแก้มีทางเดียวคืออยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์ เพราะไม่ว่าใครย่อมหนีไม่พ้นภาวะทุกข์นี้แน่นอน แม้แต่คนที่เราเห็นว่ามีแต่ความสุข ถ้ามองจริงๆแล้วสภาวะที่เราเห็นว่าเป็นทุกข์นั้นก็เกิดกับเขาเช่นกัน แต่ถ้ามองจากสายตาของเขา(คนที่มีแต่ความสุข)แล้วเขาจะมองสิ่งที่เราเรียกว่าทุกข์นั้นว่าไม่ใช่สภาวะทุกข์ ไม่ใช่สภาวะที่มีปัญหาสำหรับเขา เขาไม่รู้สึกเดือดร้อนกับสภาวะที่เกิดขึ้น เขาจึงมีความสุข...แต่กับเราถ้าสภาวะนี้มาเกิดกับเรา เราจะเห็นเป็นสภาะที่อยู่ยากอย่างยิ่ง เป็นทุกข์อย่างยิ่ง..ทั้งๆที่สภาวะเดียวกัน...เห็นหรือยัง..ต่างกันตรงวิธีคิดนี่เอง

    จนกระทั่งผมได้โตขึ้น เรียนรู้มากขึ้น ความรู้สึกภายในที่เคยเกิดขึ้นนั้นมันค่อยๆ จางหายไป...ผมเปลี่ยนไป !!...เปลี่ยนไปตามกระแสสังคม ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้เห็นโลกกว้างขึ้นอีก...ผมจึงได้เปลี่ยนไปตามโลก...และคำถามพร้อมกับความรู้สึกอันลึกล้ำนั้นก็ได้ถูกบีบ ถูกกดดันให้ถอยร่นไปอยู่ก้นหุบของใจ และโดนอย่างอื่นทับไว้จนยากจะโผล่มาอยู่แถวหน้าได้อีก...

    และแล้วเมื่อจิตใจถูกกระทบด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต มันสั่นสะเทือนเลือนลั่นจนพื้นที่ในหัวใจได้พลิกหงายสับสนปั่นป่วน ความรู้สึกภายในครั้งยังเด็กได้กลับขึ้นมาอีกครั้ง...และครั้งนี้มันทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิมมากนัก....แต่กว่าผมจะรู้สึกสำนึกว่าทำไมความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้จึงหวนกลับมาทันที...ผมก็เหลวไหลไปพักหนึ่ง...

หมายเลขบันทึก: 178053เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2008 07:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:07 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เรื่องเล่า น่าสนใจมากครับ นั่งนิ่งๆแล้วอ่านทำให้ผมคิดตาม

ขอติดตามอ่านต่อเนื่องครับ

สวัสดีครับคุณดินดอน

  • ชีวิตบางครั้งเราคิดมาก  มันก็มีเรื่องราวมากมายให้เราคิดนะครับ แต่ขอให้คิดบวกไว้ก่อน มันจะได้ดีกับชีวิตน่ะครับ
  • มาให้กำลังใจนะครับ 
  • ขอบคุณครับ

เปงเรื่องที่ดีมากครับ

เล่าเรื่องได้ดี ถ้อยคำภาษาที่เล่า ทำให้มองเห็นภาพชีวิตในวัยเด็ก

สำนวนภาษาสวยงามดี ตัวอย่างเช่น "สายลมเย็นอ่อนๆพัดพริ้วปะทะทั่วร่าง" ทำให้นึกถึงนักเขียนที่ชื่อ อ.อุดากร(1 ในนักเขียน 100 คนของไทย ที่คนไทยควรอ่าน

เนื้อเรื่องดำเนินแบบเรียบง่าย แต่จุดไคลแมกซ์มาอยู่ตอนท้ายของเรื่องนี่สิ ...มันเลยไม่จบ

สรุปว่า ดี ก็แล้วกัน

ขอบคุณทุกๆ ท่านครับ

คุณจตุพร ชอบมูซาชิเหมือนกันหรือครับ?

เพื่อนดอน เขียนได้ดีมากเราอ่านทุกบทความของนาย และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และขอให้นายสู้ต่อไป ตอนนี้นายได้เปรียบหลายๆคนที่เกิดมาอยู่บนโลกใบนี้อย่างมาก ที่มีสติและรู้ตัวว่าตอนนี้นายกำลังทำอะไรอยู่ นายกำลังเข้าสู่ลู่วิ่งของการเดินไปสู่ความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมุ่งที่จะสร้างกรรมดีไว้เพื่ออนาคต หรือชาติหน้าซึ่งเราไม่รู้ว่ามีจริงหรือปล่าว เราก็เช่นกันแต่บางครั้งยอมรับว่าขาดสติไปเหมือนกัน อาจเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อในการดำเนินชีวิต ซึ่งต่อไปเราคงต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น

- ชีวิต  คือการต่อสู้  บางคนมีชีวิตแต่ไม่เคยได้สู้

- กำลังใจคือสิ่งที่สำคัญ  ท้อได้แต่อย่าถอย 

- ไม่เคยอายที่จะบอกว่าเป็นลูกชาวนาเหมือนกัน  ทำดีได้ดี...

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท