กรณีเขาพระวิหารเริ่มเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อกัมพูชากำลังจะเสนอ UNESCO ให้เป็นมรดกโลก
ภายในปี 2551 นี้
แต่ว่าที่ตั้งของปราสาทเขาพระวิหารนั้นจำเป็นต้องอาศัยทางขึ้นในพื้นที่ประเทศไทย
ท่านที่สนใจก็ลองติดตามข่าวคราวดูนะครับ
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องพาครอบครัวไปดูสภาพเขาพระวิหารเสียแต่วันนี้
เพื่อสัมผัสภาพรวมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
เช้าวันนั้น
มีคนจำนวนมากทยอยเดินขึ้น ผมพบคุณยาย
ท่านเป็นคนในหมู่บ้านใกล้ๆนี่แหละ อายุเกิน 60 ไปหลายปีแล้ว
ท่านกล่าวว่า... “ พาหลานมาเดินขึ้น..ก็มาทุกปีแหละ..
โอย..สมัยก่อนสงครามนั้น ปราสาทสวยมาก สมบูรณ์มาก นี่มันโดนลูกระเบิด
เสียหายไปมากแล้ว ก็ทหารเขามาตั้งฐานบนนี้
มันก็รบกันซิ..แล้วมันจะไปเหลืออะไร
ตัวปราสาทมันก็โดนลูกหลงเต็มๆเลย..
คุณยายเล่าให้ฟังอย่างเห็นภาพ
และผมเองก็เชื่อเช่นนั้น
เพราะยังมีหลักฐานปืนใหญ่ที่ยังตั้งอยู่บนปราสาทโดยปลายกระบอกปืนส่องไปทางแผ่นดินไทย
ก่อนที่เราจะผ่านด่านไทยเข้าด่านกัมพูชาแบบง่ายๆนั้น
ผมเห็นคนแบกถุงใบใหญ่เบ่อเริ่ม ดูท่าทางหนักมากๆ
และเมื่อผมเดินขึ้นไปบนชั้นที่สามแล้วก็พบว่า
มีคนยังแบกถุงนี้ขึ้นไปอยู่อีก แต่ถุงเล็กลงมา
สังเกตดูน่าที่จะแบ่งของข้างในนั้นให้น้อยลงแล้วใช้คนแบกมากขึ้น
มาทราบภายหลังว่าข้างในคือขวดน้ำที่ชาวเขมรไปซื้อมาจากฝั่งไทย
เพื่อเอาไปแช่เย็นข้างบนแล้วก็ขายให้คนไทยที่เข้าไปเที่ยวราคาขวดละ
15 บาท ...
ผมหรือครับ..ซื้อสิครับ ก็เหงื่อแตกเต็มตัว ยิ่งเป็นคนมีเหงื่อมาก
เสียเหงื่อมาก ก็ต้องการน้ำมาก
จากด่านเล็กๆของกัมพูชา
ก่อนขึ้นปราสาทชั้นที่หนึ่งนั้น ก็มี “ตลาดกางร่ม”
ขายของสารพัด ท่านก็พอเดาออกว่าจะมีอะไรขายบ้าง
ของป่าสารพัดครับ เครื่องรางของขลัง แว่นดำ หากเราเดินขึ้นไปข้างบน
ก็มีวางขายเป็นระยะ ก็จะเป็นสินค้าเบาๆที่ไม่ต้องแบกน้ำหนักมาก
ยกเว้นน้ำดื่ม..
หากสังเกตก็จะเห็นว่าคนขายสินค้าบางคนก็พิการ
ขาขาดไปข้างหนึ่ง ใส่ขาปลอม เอามาวางข้างๆ
สายตานั้นเชิญชวนให้ซื้อสินค้าของเขาบ้าง..
เช่นเดียวกับท่านนี้
เมื่อเราเดินถึงปราสาทประธานองค์ที่สี่ สุดท้ายนั้น
เราเข้าไปกราบพระที่ปราสาทองค์กลางแล้ว ก็จะเดินออกระเบียงคต
ไปชมทิวทัศน์ประเทศกัมพูชาที่หน้าผาสูงชันนั้น
ตรงทางเดินออกเราจะได้ยินเสียงซอบรรเลงเพลง
และมีชายท่านนี้นั่งอยู่คนเดียวชักซอเพลงให้ฟังเรื่อยๆ
มีแจกันดอกไม้กับพานสำหรับรับเงินบริจาค ขาข้างหนึ่งของวณิพกท่านนี้ขาดไป
มีขาเทียมเก่าๆวางอยู่ ...
ไม่ต้องถามก็เดาออกว่า
ไม่ว่าจะเป็นคนขายสินค้าที่ผ่านมา หรือวณิพกท่านนี้
อดีตท่านก็ต้องเป็นทหารไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง
แล้วคงจะโดยยิงหรือเหยียบกับระเบิด
ซึ่งถูกฝังอยู่มากมายในชายแดนไทย-กัมพูชานี้
แม้จะมีองค์การระหว่างประเทศมาช่วยเก็บกู้นับเวลาเป็นสิบปีแล้วก็ยังไม่หมดสิ้น
อดีตทหารที่พิการเหล่านี้เราพบได้ที่ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น
นครวัดที่เสียมเรียบ หรือในลาว หรือในเวียตนามผมก็พบมาทุกแห่ง
แม้ในบ้านเราก็เถอะ
รัฐสวัสดิการทำไมปล่อยให้อดีตทหารมาอยู่ในสภาพเช่นนี้...??
ในภูมิภาคนี้
พลเมืองในประเทศมักจะมีลักษณะคล้ายๆกันทางความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ
ดังนั้นจึงเกิดอาชีพการทำนายทายทักขึ้น ในรูปแบบต่างๆ
บนปราสาทชั้นสูงสุด ตรงหน้าผานั้น
มีทางเล็กๆเดินลงไปที่เพิงด้านล่างของหน้าผา
ผมสังเกตเห็นคุณยายท่านนี้นอนหลับบนเสื่อ
รอบๆท่านมีสิ่งของที่บ่งบอกว่าใช้ประกอบการทำนายทางทักและแก้เคล็ด
โชคชะตาต่างๆ พร้อมกับขอรับบริจาคเงินทองแลกกับการนั้น
สิ่งที่เห็นข้างๆคุณยายก็คือซีกไม้ไผ่เล็กๆมาวางค้ำก้อนหินมหึมาของหน้าผานั้น
น่าจะเป็นการแก้เคราะห์ โศรกตามคำทำนายของท่าน ...
สิ่งนี้เราก็เห็นในเมืองไทยหลายที่หลายแห่ง
สังเกตเห็นซีกไม้ไผ่จำนวนไม่น้อยทีเดียว
น่าจะบ่งบอกถึงจำนวนคนที่มาใช้บริการคุณยายท่านนี้
สิ่งที่พบเห็นไม่ขาดคือเด็กๆ
ที่ตามพ่อแม่มาขายสินค้า
และอาจทำหน้าที่เลี้ยงดูน้องๆให้พ่อแม่ทำหน้าที่เต็มที่
เด็กบางคนก็กล้าหาญพอที่จะไปยืนเฝ้าปากทางเข้าไปกราบไหว้พระในปราสาทองค์ประธานชั้นสูงสุดนั้น
เพื่อเฝ้ารองเท้าและขอค่าดูแลตามบริจาค
หรือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขอห้าบาท”
ภาพเด็กชายบนซ้ายมือนั่น ผมลองใช้
“ภาษาเขมรสูง” (ขะแมร์ลือ)
ซึ่งได้เรียนมาบ้างสมัยที่ทำงานที่ชายแดนไทยสุรินทร์เมื่อยี่สิบกว่าปีนั้น
..อาปอง..ชม็อก โอย. เด็กคนนี้ตอบว่า ..ชม็อก อูย..
เขาคงจะงงๆภาษาเขมรสูงของผมที่ไม่ได้เรื่อง แต่ก็ตอบว่า เขาชื่อ
..อูย.. ผมก็ควักเหรียญสิบบาทให้เขา ..อูย..ก็กล่าวว่า ออร์กุล
ซึ่งหมายถึงขอบคุณ..
คราวที่แล้วผมกล่าวถึง
“เนียง”
หรือน้องนางท่านนี้ที่ทำหน้าที่ประกบเราตลอดทางเดินขึ้นปราสาทโดยไม่ได้เชิญ
เมื่อเราเข้าใจวัตถุประสงค์ของเธอที่ต้องการขายโปสการ์ด
เพื่อแลกกับการบรรยายของเธอ เราก็ยินดี
เพราะความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับนั้น
ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพิ่มเติมจากการศึกษาไปก่อนล่วงหน้า
ครอบครัวเราประทับใจเธอมากที่สุภาพ มีน้ำใจ
และทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ดี
น่าที่จะผ่านการอบรมมาบ้าง เพราะมีกลุ่มเด็กสาว
หนุ่มทำหน้าที่แบบนี้หลายคน เมื่อเดินถึงชั้นที่สี่ของปราสาทเธอก็กล่าวตรงๆว่าต้องการขายโปสการ์ด
เราก็ซื้อ เธอยังบรรยายในช่วงขาเดินลงอีก จนมาถึงชั้นที่ 2
เธอก็บอกตรงๆว่า
ขอลงไปชั้นล่างก่อนเพื่อหานักท่องเที่ยวใหม่อีกสักกลุ่มหนึ่ง
และจะทำเช่นเดียวกัน
เมื่อเธอเดินทางจากเราไปแล้ว
เราก็พูดกันว่า หากเธอจะบอกเราว่าขอรับบริจาคค่าบรรยายบ้างตามแต่จะให้
ผมเองก็ตั้งใจจะให้เธอสักจำนวนหนึ่ง แต่เธอไม่เอ่ยปากเลย คนข้างกายผมบอกว่า
เธอไม่ได้ค้ากำไรเลยเธอรู้สึกพอ ก่อนเดินจากไปเธอกล่าวว่า
“เนียง
ชม็อกราตรี” ความว่า
“น้องชื่อราตรีค่ะ” ...หากท่านไปเที่ยวที่นี่ก็อุดหนุนเธอเถอะครับ..
----------------
มีข่าวเกี่ยวเนื่องกับเขาพระวิหาร
คือเรื่องทนายความที่ทำให้คนไทยเสียเขาพระวิหารที่นี่
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9510000045272
เมื่อ อา. 03 ก.พ. 2551 @ 18:00
536259 [ลบ]
สวัสดีค่ะพี่นุช
เบิร์ดไม่ได้อ่านค่ะ แต่หัวข้อน่าสนใจมากเลยค่ะ
เบิร์ดนั่งทบทวนดูเรื่องราวของการปักปันเขตแดน และประวัติศาสตร์ีที่ผ่านมา จะพบว่าทั้งพี่บางทราย ท่านพลเดช หรือพี่นุชก็ได้ชี้ให้เห็นชัดว่าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสายตาคนต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสในขณะนั้นถือเป็นชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งเลยนะคะที่เข้ามาศึกษาประวัติศาสตร์แม้แต่ขนบธรรมเนียม ประเพณี เผ่าพันธุ์เชื้อชาติของแถบเอเชียอาคเนย์
ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อเกิดมีการพิพาทกันเรื่องการเมืองและดินแดน ฝรั่งเศสได้ใช้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์โบราณคดี และชาติพันธุ์ที่นักวิชาการของตนสร้างและทางฝ่ายไทยยอมรับ เป็นข้ออ้างในการยึดครองและอ้างความชอบธรรมของฝรั่งเศสกับทางรัฐบาลไทย แม้แต่กรณีเขาพระวิหารก็ดูจะไม่พ้นเรื่องราวนี้เลยนะคะ
ประเทศมหาอำนาจที่เป็นจักรวรรดินิยมในขณะนั้น มีแนวคิดและวิธีการที่ชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่งในการล่าอาณานิคม เพราะไม่เพียงแต่การใช้อำนาจทางการทหารและอาวุธเท่านั้น ยังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์กลุ่มคนที่ต้องการยึดครองอีกด้วยน่ะค่ะพี่นุช
์
ดูเหมือนเราจะอ่อนด้อยในเรื่องการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ดังกล่าว เลยไม่มีการทำให้เกิดความเชื่อมโยงเพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกันใน การที่จะอธิบายถึงเรื่องกลุ่มชนและท้องถิ่นในด้านสังคมและวัฒนธรรมจึงขาดความลึกซึ้ง..น่าเสียดายนะคะพี่นุช
แม้แต่การศึกษาเขาพระวิหารก็ดูเหมือนเราจะขาดความสนใจในเรื่องนี้ เน้นแต่โครงสร้าง สถาปัตยกรรม แต่เหตุใดถึงเลือกชัยภูมินี้ และการสร้างทำไมถึงมีทางขึ้นทางนี้ ในการสร้างศาสนสถานแบบที่เบิร์ดยกมาคุยกับพี่นุช ก็จินตนาการได้ว่าต้องใช้ทั้งกำลังคน กำลังทรัพย์มากมาย หมู่บ้านที่รายรอบในเขตนั้นจึงไม่น่าจะเป็นหมู่บ้านธรรมดา เพราะต้องมีทั้งนักบวช พราหมณ์ผู้กระทำพิธี ข้าทาสบริวาร ตามลำดับชั้นของการปกครองในสมัยนั้น แต่สิ่งเหล่านี้เราศึกษาน้อยมากเลยค่ะ
เบิร์ดจำได้เลาๆว่ารู้สึกจะมีจารึกของวัดศรีชุม สุโขทัยที่จารไว้ว่าี่พ่อขุนผาเมืองเป็น“ลูกเขย”กษัตริย์กัมพูชาที่นครธมน่ะค่ะพี่นุช แสดงว่ายุคนั้นเขมรรุ่งเรืองมากเลยนะคะ และคนไทยอีสานก็น่าจะมีวงศ์วานว่านเครือเชื้อสายกัมพูชาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้น่าสนใจจังค่ะไม่ทราบพี่นุชพอเล่าต่อได้มั้ยคะ