ผมเพิ่งได้มีโอกาสดูสารคดีเรื่อง Declining by Degrees: Higher Education at Risks เป็นสารคดีที่เสนอปัญหาการศึกษาในอเมริกา คงทราบกันนะครับว่าอเมริกานั้นมีปัญหาเรื่องอันดับโลกในสาขาวิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ และเป็นประเด็นถกเถียงกันมาตลอด สิ่งที่ผมได้จากสารคดีเรื่องนี้ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์นัก แต่เป็นคำถามรวมๆ เกี่ยวกับระบบอุดมศึกษาของที่นี่ คำถามสำคัญมากๆ สองคำถามคือ
อะไรคือจุดมุ่งหมายของอุดมศึกษา? และ
ใครคือลูกค้าของสถาบันอุดมศึกษา?
สำหรับผมแล้ว คำถามที่ว่าอุดมศึกษามีจุดมุ่งหมายอะไร จะมองเป็นคำถามในระดับปรัชญาเลยก็ได้ หรือจะตอบแบบมองโลกแห่งความจริงก็ยังได้ นั้นคือเราสามารถตอบได้ว่าอุดมศึกษาคือการศึกษาระดับสูง การศึกษาของปราชญ์ หรือจะตอบว่าอุดมศึกษาคือการผลิตบุคลากรให้ตลาดแรงงาน
สมัยเป็นนักเรียน ผมมีปัญหากับบางวิชาว่า “จะเรียนไปทำไม” แต่ก็ไม่เคยถามอาจารย์ผู้สอนตรงๆ ว่าผมจะต้องเรียนวิชานี้ไปทำไม
แต่คนรุ่นใหม่กล้าแสดงออก สงสัยก็ถาม
ผมคิดว่าหลายๆ คนอาจจะเคยถูกถามว่า “ผมจะเรียนวิชานี้ไปทำไมครับ” “วิชานี้หนูจะเอาไปใช้ทำอะไรค่ะ”
มีอาจารย์ที่สอนวิชาภาพยนตร์ ถูกเด็กถามบ่อยว่า “เรียนภาพยนตร์ไปทำไม” “มันก็แค่ภาพยนตร์”
ท่านเขียนตอบไว้ดีมากครับ
ออกจะเป็นเรื่องน่าห่วงนะครับ ถ้ามีเด็กมาถามเรา แล้วเราอ้ำอึ้ง ตอบไม่ได้ว่าจะสอนไปทำไม นั้นเหมือนกับว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่มีความหมายอะไรกับเขา (และกับตัวเราเอง!) เลยสักนิด พูดง่ายๆ ก็คือเสียเวลากันเปล่าๆ
ผมเชื่อว่าถ้าเราตอบคำถามในระดับปัจเจกได้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร ประโยชน์จะเกิดกับทุกฝ่าย และช่วยให้การตอบคำถามในระดับมหภาคที่ว่า “จุดมุ่งหมายของอุดมศึกษาคืออะไร” มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ส่วนคำถามที่สองที่ว่าใครคือลูกค้าของสถาบันอุดมศึกษานั้นเป็นคำถามโลกแตกเลยก็ว่าได้ เพราะปัจจุบันนี้การศึกษากับธุรกิจนั้นแยกกันไม่ออกแล้ว ถ้ามองกันในมุมของธุรกิจแล้วเราจะมองว่าใครคือลูกค้ากันแน่? ตัวนักเรียน ผู้ปกครอง หรือว่าสังคม? สิ่งหนึ่งที่สถาบันอุดมศึกษานำเสนอคือภาพของศักดิ์ศรี ความน่าเชื่อถือ (Prestige) ซึ่งในสารคดีพูดไว้ดีมากคือ “เรามักจะเหมาเอาศักดิ์ศรีสถาบันกับคุณภาพเป็นสิ่งเดียวกัน และสถาบันเองก็เอาภาพความหรูหรา อลังการ ทันสมัย มาเสนอ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กีฬาใหญ่โต ฟิตเนสแบบครบวงจร ทีมกีฬาเก่งๆ (โค้ชกีฬามหาวิทยาลัยหลายแห่งในอเมริกาได้เงินมากกว่าอธิการบดีครับ) มาเป็นภาพฝันเพื่อดึงดูดนักเรียน นักกีฬามหาวิทยาลัยก็กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและดึงดูดผู้อุปถัมภ์เข้ามาเซ็นสัญญากับมหาวิทยาลัย แต่สัดส่วนนักกีฬามหาวิทยาลัยเองกลับน่าห่วง
ส่วนในบ้านเรานั้น รุ่นพี่ผมคนหนึ่งที่เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยเคยบอกว่า มหาวิทยาลัยคือสุสานนักกีฬา เพราะนักกีฬาส่วนใหญ่ก็จะเฮฮาตามกลุ่มเพื่อน สนุกสนานเฮฮาไปกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เรียกว่ามีสิ่งยั่วยวนมากกว่าสมัยเป็นนักเรียนมัธยมมากนัก ถ้าไม่ได้ผู้ฝึกสอนที่ดี ผู้ปกครองที่ดี โอกาสที่จะกลายเป็นดาวลับฟ้านั้นมีสูงเหลือเกิน
กลับมาที่ตัวคำถาม ถ้าจะเอามุมมองแบบปรัชญาเลยก็ต้องตอบว่าผิดตั้งแต่การตั้งคำถาม เพราะการศึกษานั้นไม่ใช่ธุรกิจ ผู้เรียนเข้ามาเรียนรู้ส่วนผู้สอนก็คอยแนะแนวและถ่ายทอดความรู้ตามสมควร แต่ตอบแบบนี้ก็ดูจะดัดจริตไปหน่อย และคงไม่ช่วยอะไร เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่าสถาบันการศึกษานั้นใช้โครงสร้างธุรกิจในการดำเนินการ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วคงต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าลูกค้าคือคนจ่ายเงิน เพื่อแลกกับบริการคือความรู้ ทักษะในการทำงาน หรือแค่ใบปริญญา ความมุ่งหวังของลูกค้าแต่ละรายก็ต่างกันไป
ตอบได้แล้วว่าใครคือลูกค้า มันก็วนกลับมาที่คำถามแรกอีกครั้งนะครับ ว่าแล้วลูกค้าต้องการอะไร? และสถาบันนั้นๆ มีอะไรเป็นสินค้าและบริการ ผมว่าคนที่ตอบได้ชัดน่าจะเป็นสถาบันอุดมศึกษา ส่วนลูกค้านั้นก็เลือกหาสินค้าและบริการเอาตามแต่ที่มีการเสนอ
สรุปแล้วผมคงไม่สามารถตอบคำถามที่ว่าใครคือลูกค้าได้ และก็ขอโบ้ยไปให้สถาบันเป็นคนตอบ
แต่สำหรับคำถามแรกนั้นผมแค่หวังว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้จะสามารถตอบนักเรียนได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าพวกเขามาเสียเวลาเป็นชั่วโมงๆ ในชั้นเรียนกับผมทำไม
ใครมีคำตอบกับทั้งสองคำถามนี้แล้วบ้างครับ?
ภาพประกอบ
ภาพ http://farm2.static.flickr.com/1315/543951137_63902e1d9a_d.jpg โดย jl_noguer
ภาพ Basketball Team Graduation Rates จากบทความ Academic Madness in March
ขออนุญาต แก้ไข คำว่า "ภาพยนต์" เป็น "ภาพยนตร์" ค่ะ
แวะมาอ่านครับ
ขอบคุณอาจารย์จิตติมาครับ แก้คำผิดเรียบร้อยแล้วครับ
หลายๆ คนอาจจะเคยถูกถามว่า “ผมจะเรียนวิชานี้ไปทำไมครับ” “วิชานี้หนูจะเอาไปใช้ทำอะไรค่ะ”
ผมไม่รู้ว่าลูกศิษย์จะมาไม้ไหน จะถามลองเชิง หรือถามเพราะบ้องตื้นจริงๆก็ไม่รู้ แต่ถ้าผมเป็นอาจารย์ ผมก็จะถามคำถามตอบเขาไปสองข้อ
ข้อแรก ทำไมคุณถึงถามอย่างนี้ (ทำไมไม่ทำอย่างนักศึกษาคนอื่นๆที่เรียนโดยไม่ต้องตั้งคำถามก็ได้)
ข้อสอง ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ให้เอากระจกส่องตัวเอง แล้วถามคนในกระจกนั้นดู
ถ้าตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ แล้วค่อยมาคุยกัน
ผมก็อาจจะให้รายชื่อหนังสือเขาไปสองสามเล่ม แนะนำให้เขาไปคุยกับคนหลากหลายอาชีพ หลากหลายฐานะสักห้าคน แล้วหนึ่งเดือนผ่านไป ให้เขากลับมาคุยกันกับผมอีกที
คำตอบสำเร็จรูปมันก็ง่ายดี แต่กิน "ไวไวควิ๊ก" บ่อยๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ
สวัสดีปีใหม่ครับพี่วิสุทธิ์
อย่างที่พี่ให้ความเห็นไว้ ผมเห็นด้วยว่า่การถามกลับเป็นการตอบคำถามที่ดีนะครับ
แต่อันนี้ต้องอยู่ที่ท่าทีคนถาม ถ้าถามลองเชิงหรือถามเพราะเบื่อเรียนก็คงต้องคุยกันนาน แต่ถ้าถามเพราะความใฝ่รู้อันนี้ต้องถามกลับ ว่าไหมครับ?
ทานไวไว ก็ใส่ผักใส่หมูไปบ้าง คงพอได้สารอาหารนะครับ แหะๆ
ขอบคุณครับ
ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงเพื่อหาวิดีโอที่ อ.จันทวรรณ แปะเอาไว้เมื่อ 6 ปีก่อน ผมนึก keyword ไม่ออกเลยหาจาก youtube ไม่ได้ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่แปะเอาไว้นะครับนี่ ^^