4 วันก่อนมีเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่ทำให้ฉันมีความโกรธ จนถึงขั้นมีการพูดจาตอบโต้ด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจเล็กน้อย กับบุคคลอันเป็นที่รักและเคารพที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น และก็ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้วด้วยการฝึกพัฒนาด้านอารมณ์และความมั่นคงภายใน พร้อมด้วยเมตตาจิตดีขึ้นมามากพอสมควร ทำให้ต้องย้อนกลับมาพิจารณาการเจริญทางธรรมโดยเฉพาะสติ ซึ่งก็พบว่าช่วงที่ผ่านมาระยะหลังนี้การปฏิบัติพัฒนาทางธรรมในด้านสมาธิและสติของฉัน ถอยหลังหรือไม่ก็คงที่ ไม่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นด้วยมีความเห็นโดยส่วนตัวว่าดีแล้ว ฉันนั่งสมาธิไม่ทุกวันด้วยภาระงานมากบ้าง และนั่งไม่เกิน 45 นาที เมื่อเริ่มมีเวทนาก็เปลี่ยนอิริยาบถ เพราะมีความคิดว่า ไม่อยากทรมานกาย ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเวทนา แถมในระยะหลังมานี้เมื่อร่างกายได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ฉันก็ไม่เจ็บป่วยใดๆ การพิจารณาเวทนาจึงแทบไม่มีเกิดขึ้นเลยในชีวิตประจำวัน เป็นเหตุให้ย่อหย่อนกับการเจริญในธรรมตามแนวอิทธิบาท 4 ข้อ 2-4 คือขาดความเพียร จิตจดจ่อและการใช้ปัญญาไต่สวนหรือวิจัยธรรมอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่ค่อยฝึกจิตให้สงบด้วยสมาธิดังที่เคยตั้งใจไว้ สติย่อมหายขาดได้ รู้ทันได้ช้าลง โดยเฉพาะโทสะ ระลึกตามรู้ได้ช้ากว่าที่ควรเป็น แล้วอย่างนี้ชาตินี้จะได้พิจารณาจิตว่างได้อย่างไร
จากการเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันต้องทบทวนอิทธิบาท 4 สร้างความเพียรใหม่ เริ่มด้วยการนำหนังสือธรรมะที่อยู่ใกล้ๆ ที่ยังมิได้หยิบมาอ่าน มาบำรุงปัญญา เพิ่มศรัทธา 2 เล่ม คือ หนังสือมองชีวิตด้วยจิตว่าง และอุบายทำให้จิตสงบและกระจกส่องกรรมฐานของ ดร.สนอง วรอุไร จากนั้นก็รักษาความเพียร รักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพื่อทำปัจจัยให้เอื้อต่อการบรรลุธรรมอันเป็นเป้าหมายระยะไกลด้วยไตรสิกขา (ศีล สมาธิ และปัญญา) โดยตั้งจิตอธิษฐานใหม่ เพิ่มเวลาการนั่งสมาธิแบบที่ตัวเองไม่เคยทำ คือใช้เวลาช่วงเช้ามืด เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที (ถึง 2 ชั่วโมงถ้ารวมสวดมนต์) โดยตั้งใจแน่วแน่ที่จะพิจารณาเวทนาที่จะเกิดขึ้นแบบยอมตาย (เนื่องจากเคยมีครูอาจารย์เขียนไว้ว่า ไม่เคยมีใครตายในการฝึกกรรมฐาน ต้องยอมตายถ้าอยากได้ธรรมะ) จะมีเวทนาแค่ไหน ฉันจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ให้เห็นจะๆ ไปเลยว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา จะเพียรฝึกสมาธิเพื่อความสงบแห่งจิต เพื่อเพิ่มกำลังสติด้วยการตามรู้สติปัฏฐาน 4
เช้าวันแรกฉันสวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็นั่งสมาธิมุ่งหวังความสงบทางจิตเป็นที่ตั้ง โดยพิจารณาที่กาย คือดูท้องพองยุบจากลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก และพิจารณาเวทนา อันแยกกับกาย ร่วมกับตามดูสภาวะของจิต และใช้ปัญญาวิจัยธรรมอันเห็นความเกิด ตั้งอยู่ และดับไปของลมหายใจ และเวทนา ที่ชัดเจน มีนิมิตประปรายซึ่งตามรู้ได้ทันอันไม่เป็นปัญหา เท่ากับว่าได้ทำสมถะกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ตามสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ตามแต่ที่จะทำได้ ช่วงเวลายามเช้ามืดเอื้อต่อการฝึกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีจิตฟุ้งซ่านบ้างก็ตามรู้ดูไป ช่วงเวลาที่ยาวนานทำให้เวทนามาให้เห็นอย่างมาก ฉันใช้จิตที่เป็นกลางตามรู้ เห็นเป็นเวทนา ซึ่งไม่เกี่ยวกับกาย ส่วนกายนี้ก็เป็นเพียงก้อนธาตุที่มีธาตุทั้ง 4 มาประชุมกัน เมื่อเวทนาหนักขึ้น หนักขึ้น ก็ต้องยืนยันในสัจจะอธิษฐานคือยอมตาย และปลอบใจด้วยคำว่า “ฉันจะฝึกการตายเสียก่อนตาย” จะได้เตรียมตัวก่อนตายจริงๆ ดังที่เคยอ่านครูบาอาจารย์เขียนไว้ว่า เมื่อจะตาย จะเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานมาก ถ้าไม่ฝึกไว้ก่อน หลายคนจะขาดสติ ตามรู้ไม่ทัน ทำให้ไม่สงบโดยเฉพาะในช่วงเวลาอันสั้น ไม่มีเวลาเตรียมตัวตาย นี่จึงเป็นกลอุบายเพื่อการพิจารณาเวทนาที่ยาวนานเป็นครั้งแรกของฉัน “ยอมตายเพื่อให้ได้ธรรมะ...ตายเสียก่อนตาย....ให้รู้ไปว่าจะขาดใจหรือฟุบลงไปตรงหน้าหรือทนไม่ไหว ครูบาอาจารย์ก็ทำกันมาแล้วทั้งนั้น”
ในระยะเวลาที่ยาวนาน ฉันเห็นดังกฎไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้มากจริงๆทั้งเรื่องลมหายใจ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ละเอียด หยาบ เบา แรง และเวทนาที่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ทั้งความแรง บริเวณที่เป็นและลักษณะ แค่เพียงการตามรู้ ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีง่วงงุนใดๆ
สุดท้ายก็อยู่กับเวทนาได้เป็นอย่างดี กายและเวทนาไม่ใช่เรา และก็คนละส่วนกัน มีจิตตามรู้ตามดูได้ค่อนข้างมากกว่าที่เคยเป็น เบาสบายไม่หนัก
แล้วฉันก็ต้องพบกับสิ่งที่ฉันไม่เคยเป็นมาก่อน เวทนาหายไปหมดสิ้น จิตตามรู้เริ่มรู้สึกเหมือนกายไม่เป็นกายที่เป็นก้อนธาตุอันมีรูปดังที่รับรู้ในอิริยาบถนั่ง เหมือนไม่มีขอบเขต และแผ่ขยายแบบเบาสบาย มีเหงื่อออกมากมาย ทั้งศรีษะ และลำตัว เป็นเหงื่อที่ออกมาแบบฉับพลัน ตัวเย็น ถึงตอนนี้ฉันกลับมีความกลัว ตระหนกขึ้นมาด้วยฉันไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยฝึก เพียงการศึกษาจากครูอาจารย์ทางตำรา แล้วก็ตั้งใจเสี่ยงทำด้วยภาวะของความเป็นหญิงที่มีข้อจำกัดในการที่จะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนๆ เมื่อความกลัวบังเกิดขึ้น จิตตามรู้โดยรวมที่เคยดูกาย เวทนา จิต และธรรม ก็แคบลงกลับเพ่งลงไปที่ลมหายใจอย่างเดียว หวังให้สภาวะที่น่ากลัวนั้นหาย อนิจจา ปัญญาของฉันยังไม่เกิดด้วยการฝึกมาน้อย และนี่เป็นครั้งแรกที่เจอแบบนี้ ยิ่งกลัวและเพ่งที่ใดที่หนึ่งหวังให้หาย กลับกลายเป็นการสนับสนุนให้สภาวะนั้นบังเกิดมากขึ้น ลมหายใจก็ยิ่งแรงขึ้นเพราะเราเพ่งมากขึ้น (วิเคราะห์ได้ภายหลัง) การตามรู้ที่เป็นสติสัมปชัญญะ (รู้โดยรวม) ขาดหายด้วยความกลัว เมื่อเพ่งลมหายใจก็แรงขึ้น ก่อเกิดสภาพการเกร็งที่ปลายมือ สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือลืมตา เพื่อถอนออกจากสมาธิและนิมิต ซึ่งการหายใจแรงและอาการเกร็งเล็กน้อยที่มือก็ยังเป็นอยู่ ค่อยๆ เหยียดกาย และกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ลงสู่ท่านอน หายใจช้าๆ ยาวๆ แบบผ่อนคลาย เหงื่อเม็ดเป้งๆ ก็ค่อยระเหยหาย ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ ด้วยกายที่ผ่อนคลายและด้วยจิตที่สงบระงับมากขึ้น นิ่งเย็นใสขึ้น กลับมานั่งแผ่เมตตา อธิษฐานจิต และกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณพ่อคุณแม่ และครูอาจารย์ แล้วอาบน้ำแต่งตัว รับประทานอาหารไปทำงานเป็นปกติ รับรู้ได้ว่า สมองและสติปัญญา แจ่มใส ภายในใจสงบเย็นเป็นสุข เมตตาจิตแผ่ไพศาลมากขึ้น ซึ่งมีผลดีต่อชีวิตการทำงานประจำวันเป็นอย่างมาก เป็นอันว่าได้สองประสบการณ์ทั้งด้านดี และที่น่าตระหนก มาพร้อมๆกัน
บทเรียนครั้งนี้มีค่ามากมาย สำหรับฉัน ณ ตอนนั้นส่วนที่ได้ก็มากอยู่ และรู้ว่าเราได้เรียนรู้ในธรรมอย่างมาก ได้เรื่องของความสงบแห่งจิต และด้านวิปัสสนากรรมฐาน แต่ปัญหาคือนิมิตที่ทำให้ฉันกลัว และไม่สามารถตามรู้ได้ ฉันจะทำอย่างไร เลยคิดว่า จะไม่ทำในระยะเวลายาวนานอีกถ้ายังไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ๆ ด้วยกลัวใจตัวเอง ว่าสติ และปัญญายังไม่พอ
แต่เพียงไม่ทันข้ามวัน ฉันก็เปลี่ยนใจใหม่ ด้วยมีหนังสือในบ้านที่รอการหยิบมาศึกษา นำมาพลิกๆ ดู ก็รู้ว่าฉันน่าจะหาคำตอบของครูบาอาจารย์ได้ไม่ยาก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีหนังสือที่แสดงคำถาม-ตอบ ของญาติโยมและหลวงพ่อชา กรณีที่นั่งสมาธิเพื่อให้จิตสงบ และเกิดอาการคล้ายๆ กับฉัน แล้วทำให้เกิดความตระหนกกลัว ซึ่งหลวงพ่อได้ให้คำอธิบายไว้เป็นอย่างดีว่าเมื่อเข้าสู่ภาวะสงบแห่งจิตย่อมเกิดนิมิตได้ซึ่งมีหลากหลาย เป็นเพียงสภาวะของจิต ไม่ต้องกลัวเพียงตามรู้ดูไปด้วยจิตเป็นกลางเท่านั้น ซึ่งได้แสดงตัวอย่างนิมิตอื่นๆ ซึ่งน่ากลัวมากกว่านี้
โชคดีที่ฉันได้คำตอบ มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ๆ ด้วยหนังสือนี่เอง ต้องขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลทั้งหลายที่ช่วยกันผลิตหนังสือเพื่อถ่ายทอดธรรมะจากครูบาอาจารย์ให้แผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศ อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ฉันใจชื้นขึ้นเป็นกอง และเลยเปลี่ยนใจจากที่ว่าจะไม่นั่งสมาธิ-วิปัสสนาระยะยาวเมื่อไม่มีครูอาจารย์ เป็นว่าน่าจะทำได้ โดยต้องหาความรู้เพิ่มในด้านการตามรู้ตามสติปัฏฐาน 4 ให้ละเอียดขึ้นเผื่อมีนิมิตมาอีกจิตจะได้ตามรู้ทัน ปัญญาจะได้ไต่สวนวิจัยธรรมได้ (ด้วยความกลัวยังมีอยู่) คราวนี้เลยได้หยิบหนังสือ “เสียดาย คนตายไม่ได้อ่านเล่ม 2” ของดังตฤณ ที่กัลยาณมิตรหยิบยื่นไว้ให้ เล่มนี้มีรายละเอียดให้พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งมีอุบายและเทคนิคให้ฝึกพิจารณาตามรู้ตามฐานทั้ง 4 ที่ละเอียดยิบ และทำให้ได้ความรู้ในการที่จะพัฒนาทางธรรมได้อีกมากเหมาะกับชีวิตประจำวันแบบเราๆ ชนิดที่ฝึกได้อีกยาวนานถ้ายังมีความเพียร
อีก 2 ครั้งถัดมา ฉันยังมีความเพียรนั่งสมาธิรวมครั้งละ 1 ชั่วโมง 45 นาทีโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถเหมือนเดิม ทั้ง 2 ครั้ง จิตตามรู้ดูฐานทั้ง 4 ได้ดีขึ้น ไม่มีง่วง ไม่มีนิมิตใดๆ คงเป็นเพราะฉันไม่ได้มุ่งไปที่สมาธิเชิงลึก แต่กลับหนักไปทางใช้วิปัสสนากรรมฐานเมื่อจิตเริ่มตั้งมั่น ได้วิปัสสนาญาณจากการพิจารณาโดยใช้กฎไตรลักษณ์กับทุกผัสสะ รวมทั้งเวทนาที่มีมากเหมือนเคย ซึ่งยังคงต้องใช้บทของขลังเดิมที่ว่า “ยอมตายเพื่อให้ได้ธรรมะ...ตายเสียก่อนตาย....ให้รู้ไปว่าจะขาดใจหรือฟุบลงไปตรงหน้าหรือทนไม่ไหว” สรุปว่าฉันเตรียมรับการตามรู้ด้วยจิตเป็นกลางกับนิมิต เสียจน ไม่เกิดนิมิต และครั้งนี้ฉันไม่ได้การฝึกสมาธิเชิงลึก และได้เรื่องวิปัสสนากรรมฐานแทน แม้จะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ เพราะต้องการปูพื้นฐานด้านความสงบแห่งจิตก่อน แต่ก็ได้อีกแบบหนึ่งที่ดีไม่แพ้กัน
เช้าวันสุดท้ายนี้ฉันทดลองนั่งเพียง 1 ชั่วโมงโดยมุ่งเน้นที่สมถะกรรมฐาน ดูท้องพองยุบ มีบางครั้งที่สติขาด จิตคิดส่งออกนอกไป ก็ตามรู้กลับมา แต่ไม่บ่อย ในครั้งนี้ไม่มีเวทนาใดๆเลย ซึ่งปกติในสมัยก่อนถ้าเกินครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเป็นแล้ว คราวนี้เกิดความสงบ นิ่ง ใส เบาสบายไม่รู้สึกหนัก ไม่มีนิมิตใดๆ ตามรู้ลมหายใจที่เปลี่ยนแปลงตามธรรมดา จิตไม่วิพากษ์สภาวะหรือทบทวนธรรมเพราะมุ่งเน้นความสงบแห่งจิต ต้องการให้ปัญญารู้เห็นเอง และสิ่งที่ใด้ก็คือความสงบตามที่ต้องการ รับรู้ว่าสภาวะจิตเป็นสุข เลยต้องเตรียมตัวกับครั้งต่อไปที่ผลจะเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดทุกข์ อันเป็นธรรมดา เพราะเพราะปฏิบัติแล้วไม่สุขแบบนี้
บทสรุปคือการศึกษาและปฏิบัติธรรมะให้สมดุลนี้ช่างยากยิ่ง และบังคับไม่ได้ เปลี่ยนแปลงดังไตรลักษณ์ แต่ฉันจะไม่ท้อถอยและต้องคอยเตือนตัวเองไม่มุ่งหวังด้วยความอยาก เพราะชัดแจ้งว่า กิเลสหรือความอยากใดๆ ก็ตามเป็นตัวขัดขวางความเจริญทางธรรม แม้แต่ความอยากที่จะไม่ตระหนกกับนิมิต หรืออยากที่จะจัดการกับนิมิตได้อย่างสงบ ก็ตาม
ต้องใช้เวลาและบทเรียนอีกมาก ที่ฉันจะต้องเรียนรู้ ในเป้าหมายที่จะฝึกสมาธิเชิงลึกเพื่อความสงบแห่งจิต (สมถะกรรมฐาน) หรือจะเน้นด้านวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเอื้อต่อสภาพตนเองขณะนั้น สู่การเจริญทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และคราวต่อๆไปฉันคงต้องสำรวจตรวจสอบตามรู้กิเลสคือความอยาก หรือไม่อยาก ไม่ว่าแง่มุมไหนๆ ก่อนเสมอ เพื่อการเจริญธรรมในธรรมที่มากขึ้น
ทั้งหมดก็เป็นเพียงการเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยมีหนังสือเป็นครูบาอาจารย์ มีกิเลสอยากมีครูอาจารย์ แบบตัวต่อตัวเพียงได้แต่อธิษฐานทุกครั้งหลังทำความดีและการบำเพ็ญเพียรภาวนา ว่าให้มีสัมมาทิฐิ มีครูบาอาจารย์ที่มีความรู้เห็นชอบ ส่วนจะได้มาอย่างไร คงแล้วแต่บุญและกรรมที่ทำไว้เท่านั้นเอง ซึ่งอย่างไรเสียคงต้องขวนขวาย เพราะฉันไม่อาจรู้ได้ว่า สิ่งที่เป็นอยู่ดำเนินมาถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ฉันมีอวิชชาปิดกั้นอยู่มากน้อยเพียงใด...ด้วยปัญญาศึกษาธรรมเพียงแค่ระดับอนุบาล..ฉันจึงต้องการครูบาอาจารย์ทางธรรม...จริงๆ
อนุโมทนาสาธุ...
ให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นนะคะ...
...........................
ขณะที่เราเป็น "ฆารวาส" มีสิ่งที่มากระทบผัสสะ ทุกขณะลมหายใจ ทั้งที่เป็นรูปนาม และอรูปนาม... ดังนั้นการฝึกสติทุกขณะจิต...เป็นกิจที่เพียรทำ...
"สติ-ปัญญา" แนบใจตลอดเวลา -------> หลวงตามหาบัวท่านจะเน้นย้ำพร่ำสอนเสมอ...ค่ะ
(^____^)
ม่ า มี่ จัง
อิ น อ่า น ห ม ดแ ล้ ว เ น้อ . .
ม่ ามี่ เ ก่ ง มา ก ๆ เ ลย
แ ต่ มั น ดู น่ าก ลั วไ ปนิ ด ห น่ อ ย น ะ ต อ น แ รก ๆ น่ ะ
เ ห อ ะ ๆ ๆ
ข ออ นุ โ ม ท น า ส า ธุ ด้ ว ย ค น น้ า
อิ อิ -- - - สู้ ๆ
ทำไ ป บ่ อ ย ๆเ น้ อ
เด๋ ว ก ลั บ ไ ปจ า ไ ป ทา ม ด้ ว ย
บา ย ๆ
สวัสดีค่ะ คุณน้อง- อาจารย์ Ka-Poom เพราะ การฝึกสติทุกขณะจิต...เป็นกิจที่เพียรทำ...และอยากให้ "สติ-ปัญญา" แนบใจตลอดเวลา เลยอยากสร้างฐานด้วยความสงบแห่งจิตเพิ่มกำลังสติปัญญา ด้วยว่าไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรในช่วงที่ผ่านมา ...และก็ยิ่งรู้ว่า..มันยากเหลือเกิน...แต่ก็สามารถทำได้ถ้ามีความเพียรประกอบด้วยความคิดเห็นที่ถูกต้อง
น้อง i n n z*
สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง สดชื่นแจ่มใสครับ
ขอบคุณนะคะ หมีแพนด้าที่น่ารัก สิทธิรักษ์
แหววก็ขอให้คุณสิทธิรักษ์ สุขสดชื่น แจ่มใส เย็นกาย เย็นใจ เบิกบานแข็งแร็งทั้งครอบครัว เช่นกันค่ะ
สวัสดีค่ะคุณแหวว
แบบนี้แหละค่ะที่เค้าเรียกตามดูรู้จิต..นิมิตต่างๆเป็นสิ่งที่เราตั้งธงไว้ในใจแบบนั้น ทำให้ส่งผล เมื่อสอดคล้องกับสิ่งที่เราพบเจอเราก็ตระหนก เบิร์ดเคยเป็นค่ะ..และผ่านด้วยสิ่งที่คุณแหววพบนั่นเองคือมองเฉยๆ รู้ว่ากลัว รู้ว่าเห็น รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตของเรา พอเราดูนิ่งๆก็หายไปค่ะ และสิ่งที่ได้คือการรู้ที่ละเอียดขึ้นเพราะเราเห็นการปรุงแต่งที่ลึกกว่าการปรุงแต่งที่เราคุ้นชิน
คิดถึงคุณแหววจังค่ะ และอนุโมทนากับความเจริญในธรรมด้วยนะคะ
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ..ขอให้คุณแหววพร้อมครอบครัวมีความเจริญในธรรมและเบิกบานในทุกย่างก้าวของชีวิตนะคะ
ขอบคุณค่ะคุณเบิร์ด เบิร์ด
สวัสดีค่ะอาจารย์ นายประจักษ์
พ่อลูกตามกันมาติดๆเลย...ขอบคุณกับการ์ดที่น่ารัก...สุขสันต์วันสงกรานต์ เบิกบานแจ่มใส หน้าตาดี และเก่ง ตาม slogan ต่อไปนะจ๊ะ และจะไปเยี่ยมเยือนจ้า....
หวัดดีค่ะ
เช่นเดียวกันค่ะ...คุณ อ้อยควั้น
สวัสดีค่ะน้องแหว๋ว
พี่ตามมาซึมซับและได้เรียนรู้มากค่ะ
พระอาจารย์เคยบอกว่า เคยนั่งไม่ผ่านเวทนา ทำให้ต้องใช้หลักเดียวกับน้อง ที่ว่าจะไม่ยอมต่อไปแล้ว ให้ตายไปเลยถ้าผ่านเวทนาไม่ได้ ในที่สุดก็ผ่านเวทนาไปได้
ส่วนพี่ผ่านเวทนาไปได้ 2 ครั้งก็ใช้วิธีคิดถึงแม่ เพราะแม่ขาชาตลอด ส่วนเราขาชาแค่ 30 นาที เราต้องทนให้ได้ พอผ่านได้ เรารู้สึกดีมากๆ หลังจากนั้นพรอาจารย์ให้ทำฤาษีดัดตน อาการเวทนาหายเป็นปลิดทิ้ง
ขอบคุณนะคะที่เข้าไปแนะนำค่ะ
สวัสดีค่ะ น้องรักษ์ หวังว่าคงมีความสุขกับครอบครัวในเทศกาลสงกรานต์นะคะ...ช่วงนี้บันทึกเว้นว่างไปเหมือนกันนะคะ คิดถึงค่ะ
สวัสดีค่ะ และยินดีต้อนรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ค่ะพี่แก้ว อุบล
สวัสดีค่ะ...อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
คงวุ่นๆ สินะคะช่วงนี้ดูห่างจาก g2k ไปบ้าง พี่แหววสบายดีค่ะ ยังทำงานไม่ทันใจเหมือนเดิม แต่ก็แข็งแรงดี คิดถึงเหมือนกันค่ะ..คุณครูของประชาชน
หนูแพร
ขำอะไรกันมากมายคะคุณน้อง-อาจารย์ขจิต
ก็พอดียังสวยไม่พอ..ตัวก็เล็กกะปิ๊ด..แต่คิดว่ามีอะไรบางอย่างที่ดีพอ จึงอยากจะลองเป็นพี่เลี้ยงผู้หญิงที่สวยๆเพื่อเข้าประกวดดูบ้างไงคะ...แหม..หัวเราะเยาะกันได้สิน่า...
เป็นเมื่อไรบอกนะครับพี่ น้องจะคอยดู ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณค่ะ พี่อ๊อด