...การรอคอยนี้เป็นศิลปะชั้นสูง ในการรอคอย ไม่ว่าจะเป็นการภาวนาหรือไม่ ย่อมเป็นสภาวะที่เป็นทุกข์ รอคอยเพื่อนที่จะไปดูหนัง รอคอยเพื่อนที่ป้ายรถเมล์ รอคอยให้ลูกเติบโตขึ้น ศิลปะแห่งการรอคอยที่ดีที่สุดคือการไม่คอย สมมตินัดเพื่อน รอกันจนเหนื่อย ด้วยความคิดรุมเร้าว่าเมื่อไหร่เขาจะมา ทำให้เราเกิดซัดส่ายอย่างสูง ถ้าไหวดีเราไม่รอ เรานั่งเล่น มาก็ได้ไม่มาก็ได้ ในขณะนั้นเราสลายแรงเสียดทานได้แล้ว ไม่คอย เรานั่งดูจิตใจของเรา ดูอาการทางจิตของตนเอง แล้วเขาก็มาเองถ้าหากเขามา ถ้าเขาไม่มาเขาก็ไม่มา นี่คือศิลปะแห่งการรอคอย ซึ่งเราสามารถประยุกต์ใช้กับทุกเรื่อง เรื่องซักผ้าก็ซักแบบไม่ซัก คือไม่มีเป้าหมายอื่นนอกจากซักผ้าเพื่อซักผ้า เราไม่รีบซักใหญ่เพื่อจะไปให้ถึงจุดหนึ่งให้ได้ ทำเช่นนั้นเราก็จะสับสนวุ่นวาย ทุกอย่างใช้ความรู้ข้อนี้ ไปยืนรอป้ายรถเมล์ รอแบบไม่รอ นิสัยอย่างหนึ่งของเราที่เป็นปมปัญหา คือรอแบบไม่รอ-ไม่ได้ ต้องร้อนใจต้องโมโหหงุดหงิดสักหน่อยจึงจะดี ยืนต้องกระวนกระวาย ในที่สุดก็มาถึงจุดจบเหมือนกันกับการไม่กระวนกระวาย มนุษย์เราได้ตกเป็นทาสของช่วงเวลาที่บีบคั้นความรู้สึกอย่างไม่รู้ตัว…
ตอนหนึ่งจากหนังสือ "ช่วงชีวิต ช่วงภาวนา"
โดย เขมานันทะ
1. อ.ลูกหว้า
สวัสดีครับพี่หว้า
เหนื่อยก็พักครับ งดบันทึกวันพระสักวันพระท่านคงไม่ว่ากระไรมั้งครับ ได้พักผ่อนให้จิตใจผ่องใส ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน พระท่านคงจะยินดีกว่า วันพระมีได้ทุกวัน อยู่ที่ใจของเรา
ไม่ได้คุยกันหลายวันหวังว่าคงมีความปกติสุขดีนะครับ
หลับฝันเห็นตัวเลขสวยๆ ก็กระซิบมาบ้างนะครับ อิอิ
ธรรมะสวัสดีครับ