ทุก 2 เดือน นักส่งเสริมการเกษตรของจังหวัดกำแพงเพชร (เหมือนๆ กับทุกๆ จังหวัดทั่วประเทศ) ได้จัดให้มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรในระดับอำเภอ (DW) เดือนมกราคม 2551 นี้เป็นการสัมมนาฯ ครั้งที่ 2 โดยแบ่งครึ่งโดยประมาณของสำนักงวานเกษตรอำเภอ ให้แยกกันเป็น 2 สายเพื่อจัดสัมมนาฯ
สายที่ 1 เดือนมกราคม 2551 นี้ สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองกำแพงเพชรเป็นเจ้าภาพ ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการฯ โดยในเดือนนี้ ประเด็นความรู้ที่นำมาสู่การสัมมนาฯ เพื่อ ลปรร.กันนั้น เป็นประเด็นของ " การผลิตกล้วยไข่คุณภาพเพื่อการส่งออก" เนื่องจากกล้วยไข่เป็นพืชประจำถิ่นของจังหวัด ประกอบกับสถานการณ์ของการปลูกมีพื้นที่ลดลง เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับสถานการณ์ การผลิต และแนวโน้มของการส่งออกกล้วยไข่ไปต่างประเทศ การสัมมนาครั้งนี้จึงได้เลือก " การผลิตกล้วยไข่คุณภาพเพื่อการส่งออก" มี ลปรร. กัน มีกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกรผู้ปลูก นักส่งเสริมการเกษตร ตัวแทนผู้รวบรวมผลผลิตกล้วยไข่เพื่อการส่งออก ได้มา ลปรร. ซึ่ง อ.เขียวมรกต ได้เขียนบันทึกไว้แล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่
บันทึกนี้ผมขอนำรายละเอียดบางส่วน ที่ได้ดำเนินการและนำมาปรับใช้ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฯ ของนักส่งเสริมการเกษตร ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับเกษตรกร
ในประเด็นนี้ผมคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญของการสัมมนาเชิงปฏิบัติการของนักส่งเสริมการเกษตร หลายคนอาจเห็นด้วย / ไม่เห็นด้วย แต่หากเรายอมรับความจริงที่ว่า
เกษตรกรมืออาชีพ เล่าประสบการณ์เพื่อแลกเปลี่ยนกับนักส่งเสริมการเกษตร
2. นักส่งเสริมต้องฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถรอบด้าน
จากรูปภาพด้านบนจะเห็นว่า ในขณะที่เกษตรกรเล่าเรื่อง นักส่งเสริมการเกษตร 2 ท่าน ก็จะทำหน้าที่เป็นคุณลิขิต เป็นกุศโลบายหนึ่งของเราที่ต้องการให้นักส่งเสริมการเกษตรเรียนรู้และฝึกทักษะในการ
หลายคนก็จะมองว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น ก็คงไม่ต้องอธิบายอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากเขาเหล่านั้นได้ก้าวขึ้นมาในการทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการ ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ หรือเป็นนักวิจัย ฯลฯ เขาก็จะทราบได้เองว่าตนเอง โชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ และมีโอกาสฝึกทักษะที่จำเป็นมากในการทำงานส่งเสริมฯ
3. เรียนรู้จากตัวอย่างการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
การลงไปสัมมนาในพื้นที่ ในแปลงของเกษตรกร และได้มีโอกาสดู สอบถาม แลกเปลี่ยนกับเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ และได้ลงมือทำจริง เหมือนดั่งว่าเกษตรกร-แปลงของเกษตรกร ก็คือการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) นั่นเอง เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะทำให้ไม่หนักใจว่า บางครั้งบางทีเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เป็นเสียทุกเรื่องจึงจะทำงานส่งเสริมการเกษตรได้ แต่เราสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ หรือเป็นผู้จัดการให้เกิดการ ลปรร. ได้ และจะเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการความรู้ดียิ่งๆ ขึ้น
เมื่อจะทำงานส่งเสริมฯ ขอเพียงเราหาหัวปลาที่แท้จริงให้เจอ หรือหาความรู้ที่จำเป็นต้องรู้ หรือจำเป็นต้องใช้ในการทำงาน-ที่จะต้องใช้ เราก็สามารถจะส่งเสริมหรือจัดการให้เกิดการเลื่อนไหลของความรู้จากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่ง หรือหมุนเกลียวความรู้ต่อไปได้
ดูงานจากแปลงของเกษตรกร
เป็นบันทึกที่ผมอยากจะสื่อสารให้กับเพื่อนๆ นักส่งเสริมการเกษตร และชาวบล็อกที่ทำงานในลักษณะที่คล้ายๆ กันนี้ว่า แท้จริงแล้ว การทำงาน การเรียนรู้ และการพัฒนานั้น เราสามารถทำไปพร้อมๆ กันได้ และการจัดการความรู้ไม่ใช่เพียงเป็นกระแสที่ทุกหน่วยทำเพราะเห็นว่าเป็นของใหม่ หรือถูกสั่งให้ทำเท่านั้น แท้จริงแล้วมันเป็นธรรมชาติ เป็นของทุกๆ คน และ เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว
อาจจะมีบ้างที่คนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ อย่าท้อถอยนะครับ สิ่งที่ดีและได้ทำแล้วขอให้ตั้งมั่น ทำดีต่อไปอย่างต่อเนื่อง บางครั้งอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง....และเราก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยในขณะเดียวกัน ขอให้กำลังใจกับทุกๆ ท่าน
บันทึกมาเพื่อการ ปลรร. ครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก 28 มกราคม 2551
สวัสดีคะ คุณสิงห์ป่าสัก
มาร่วมเรียนรู้ผ่านบันทึก "นักส่งเสริมการเกษตร"
"ทำดีต่อไปอย่างต่อเนื่อง บางครั้งอาจต้องใช้เวลาบ้าง...และเราก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยในขณะเดียวกัน" ขอให้กำลังใจด้วยคนนะคะ
---^.^---
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
ปฏิบัติงานภายใต้ระบบส่งเสริมการเกษตรค่ะ แต่วันนี้เริ่มหัดขับคะ