มันไม่แน่


หากเรารู้จัก เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง ว่าล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใ้ต้ไตรลักษณ์ ก็จะเตรียมใจได้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเหมือนกับชาวนาเป็นผู้มี "ดวงตาเห็นธรรม"

เมื่อเช้าฟังเทศน์จากพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส ในรายการพุทธปัญญาภิรมย์ ทางทรูวิชันส์ ได้ฟังตอนช่วงท้ายๆ รายการ ท่านเล่าเรื่องความไม่แน่นอนไว้ได้น่าประทับใจ เลยนำมาฝากพวกเรากันด้วยค่ะ 

ท่านเล่าว่า มีชาวนาคนหนึ่ง มีลูกชายที่กำลังจะเป็นหนุ่ม ก็เลยไปหาม้าตัวหนึ่งมาให้ลูกชายใช้งาน ได้ม้าที่กำยำล่ำสัน งดงาม เป็นที่ชื่นชอบของคนในหมู่บ้าน มีคนในหมู่บ้านมาแสดงความยินดีกับชาวนามากมายที่ได้ม้าที่งดงามขนาดนี้...

ชาวบ้าน: "ยินดีด้วยนะ ม้างามจริงๆ สวยจริงๆ เป็นบุญนะ"

หลังจากนั้นไม่นาน ม้าตัวนั้นก็หนีเข้าป่าไป หายไปหาไม่พบ ชาวบ้านได้ข่าว ก็มาแสดงความเสียใจกับชาวนา...

ชาวบ้าน: "เสียใจด้วยนะ ไม่น่าเลย ลูกชายคงเสียใจนะ"

เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง ม้าตัวนั้นกลับออกมาจากป่า แต่ไม่ได้มาเพียงตัวเดียว พาม้าสาวท้องแก่ออกมาด้วย  พอชาวบ้านได้ข่าว ก็เฮกันกันแสดงความยินดีอีก เพราะคราวนี้ชาวนาจะได้ม้าถึง ๓ ตัว..

ชาวบ้าน: "เป็นบุญจริงๆ นะเนี่ย แหม..ได้ม้าทีเดียวถึง ๓ ตัว มีม้าใช้ไปอีกนานเลย"

เมื่อได้ม้ากลับมา ลูกชายชาวนานำมาไปขี่ ปรากฎว่าตกม้าลงมาขาหัก ชาวบ้านได้ข่าว ก็มาแสดงความเสียใจอีก..

ชาวบ้าน: "แหม..ไอ้ม้าเนี่ยมันแย่จริงๆ นะ (โทษม้าเสียอีก) วิ่งสะบัดเจ้าหนุ่มจนตกมาขาหัก เสียใจด้วยนะที่ลูกพิการขาหัก"

ต่อมาไม่นาน เกิดสงครามกันในพื้นที่ข้างเคียง ชายหนุ่มในหมู่บ้านทุกคนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ยกเว้นคนขาหัก..

ชาวบ้าน: "....." 

หลวงพ่อท่านเทศน์สรุปว่า

"เห็นไหมว่ามันไม่แน่ การได้ม้าตัวนี้มานั้นมันมีทั้งดี และไม่ดี มีได้ ก็ย่อมมีเสีย มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

หากเรารู้จัก เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง ว่าล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใ้ต้ไตรลักษณ์ ก็จะเตรียมใจได้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเหมือนกับชาวนาเป็นผู้มี "ดวงตาเห็นธรรม"

การไม่ยึดว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นแน่นอน จะทำให้ไม่เกิดทุกข์ที่ไม่ควรเกิด หากชาวนายึดลูก ยึดการได้ม้าเป็นสมบัติ ไว้เป็นที่มั่น ชาวนานี้คงทั้งสุขมาก ทุกข์มาก (ความสุขก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง) สลับกันไปจนอาจเป็นบ้าได้

แต่เมื่อชาวนารู้ว่า"มันไม่แน่" ก็เพียงแต่"ดู"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เป็นธรรมและปรับตัวแก้ไขให้เข้ากับสถานการณ์ "ไม่จม" หรือ "ไม่เป็น" ไปกับสถานการณ์ ถึงมีทุกข์ สุขเกิดขึ้น ก็สามารถกำหนดรู้ได้เพราะเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม

ลองนึกดูนะคะ ว่าท่านเคยผ่านประสบการณ์แบบชาวนามาบ้างหรือไม่ ดิฉันรับรองได้ว่า ท่านต้องเคยพบผ่านประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่ไม่นอน มาอย่างแน่นอนค่ะ ^ ^

หลวงพ่อท่านฝากอีกว่า "ก็ขอให้รู้จักดูให้เห็น เมื่อได้สิ่งใดมา ก็ให้รู้ถึงไตรลักษณ์ไว้ด้วย"

หมายเลขบันทึก: 157677เขียนเมื่อ 6 มกราคม 2008 08:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)

สาธุค่ะ มาอ่านธรรมะ ซาบซึ้งสัจธรรมค่ะ

ขอบคุณพี่กมลวัลย์  ที่นำเรื่องราวข้อคิดดีมาฝากให้จะได้ตื่นจะการยึดมั่นถือมั่น ว่าแต่ว่า..ต้องมั่นทบทวน นะค่ะ  เดี๋ยวจะหลงกระแสสังคม

สาธุครับ

เลยนำบทกลอนมาฝากด้วยครับ

..................................

ทุกข์ทำไม ให้หัวใจ ต้องร้าวซ่าน

อีกไม่นาน ถึงเกณท์ ดับอายุขัย

ไม่วันนี้ ก็พรุ่งนี้ วันถัดไป

ไม่มีใคร จะยืนยง คงกระพัน (17 ..)

เมื่อชีวิต ไม่นิรันดร์ เช่นฝันไฝ่

จะหลงผิด ไปทำไม ว่าสุขสันต์

อยากเป็นโน่น เป็นนี่ พัลละวัน

ต่างยึดมั่น คว้าหัวโขน มาใส่ตน

โบราณว่า อยากได้สุข ทุกข์จะเกิด

อยากเป็นเลิศ ต้องตกต่ำ กล้ำขื่นขม

อยากได้ยศ จะเสื่อมยศ หมดคนชม

ทรัพย์อุดม สักวันหนึ่ง ก็หมดไป (24 ..)

สิ่งใดใด ในโลก ล้วนไม่แน่

ต้องผันแปร เปลี่ยนแปลง อย่าสงสัย

ทั้งสุขทุกข์ ดีชั่ว อยู่ที่ใจ

หากปลงได้ เปลี่ยนเพียงใด ก็ช่างมัน (23 ..)

ผลบุญ

............................................................

อ่านได้จาก http://www.polpage.com/loksawang001.htm

ด้วยความปรารถนาดี

ขอบคุณคุณใบบุญ กับคุณครูเอ ที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ

เราต้องหมั่นทบทวน รู้ตัวและมีสติอยู่เสมอ (ทำเท่าทีี่จะทำได้) จะได้ไม่หลงตามกระแสไปอย่างที่คุณครูเอบอกไว้ค่ะ 

มองรอบๆ ตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำัวัน จะเห็นไตรลักษณ์อยู่เสมอค่ะ ^ ^ 

สวัสดีค่ะคุณพลเดช

ขอบพระคุณสำหรับกลอนสอนใจดีๆ เช่นนี้นะคะ ไพเราะมากเลยค่ะ ทำให้นึกถึงโลกธรรม ๘ (ธรรมของโลก) อีกเรื่องหนึ่งด้วยนะคะ

หลวงพ่อท่านเทศน์ไว้เยอะกว่านี้ค่ะ สรุปสั้นๆ มาเรื่องหนึ่งให้ฟังกันก่อน อีกเรื่องยังไม่ได้เขียนค่ะ ท่านเข้าใจหาเรื่องง่ายๆ มาเทียบให้เราเห็นความไม่แน่นอนจริงๆ เลยค่ะ ^ ^ 

สวัสดีค่ะ น้อง อ.ตุ๋ย

มารับฟังธรรมค่ะ ได้ข้อคิด แนวทางทางในการดูสิ่งที่เกิดค่ะ ... ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีครับ อ.กมลวัลย์

ผมว่าเราแทบทุกคนคงได้พบกับประสบการณ์ทำนองนี้ 

เช่น สมมติว่าเราเห็นผู้ชายคนหนึ่งแล้วมีคนที่เราใกล้ชิดบอกว่าเขาเป็นคนเลว เราก็ว่าคนนี้เป็นคนเลว  แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราเห็นผู้ชายคนนี้ ทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรม เราก็คิดว่า อ้าว เขาเป็นคนดีตะหาก  แล้วอีกครั้งเราเห็นเขาสูบบุหรี่และดื่มเหล้า เราก็คิดว่า เอ๊ะหมอนี่ เป็นคนไม่ดีนี่นา ทำเป็นเข้าวัดเข้าวา หลอกคนอื่นว่าเป็นคนดี ...

ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับเหตุและปัจจัย และมุมมองของเราเอง ของสิ่งเดียวกันในเวลาต่างกันเรายังคิดไม่เหมือนกัน แล้วประสาอะไรจะให้คนอื่นคิดหรือเป็นเหมือนเรา

ชีวิตนี้สั้นนัก คนเราเจ็บป่วยล้มตายกันทุกวัน วันละไม่รู้กี่หมื่นกี่พันคน มิหนำซ้ำมัจจุราชก็ไม่บอกเสียด้วยว่าจะเลือกใครเป็นรายต่อไป

หลายครั้งที่เราแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ทะเลาะเบาะแว้งกัน บางคนไม่ยอมเผาผีกันด้วยซ้ำ  เราจะทะเลาะกันไปทำไม พรุ่งนี้ไม่ใครก็ใครคนหนึ่งก็อาจต้องจากเราไป

การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นสุดแสนจะลำบาก บุญไม่มากพอก็คงไม่อาจเกิดได้  แต่เกิดมาแล้วไม่สามารถพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะจิตใจได้แล้ว  ทางข้างหน้าก็คงต้องติดตังเวียนว่าย กันไม่รู้จักจบสิ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคลื่นแห่งเหตุปัจจัย เราไม่สามารถควบคุมสั่งการอะไรได้ สุขมาแล้วก็ไป ทุกข์มาแล้วก็ไป ไม่มีสิ่งใดจีรัง  เราทำได้ก็แค่เพียงสร้างเหตุปัจจัยเพื่อให้เกิดผลตามที่เราต้องการได้เท่านั้น  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะควบคุมเหตุปัจจัยอื่นได้

สู้เราทำใจเป็นกลางมิดีกว่าหรือ ทุกข์ก็รู้ สุขก็รู้ ที่ให้รู้ก็เพื่อเราจะได้ไม่หลงสุดโต่งไปกับข้างใดข้างหนึ่ง เพราะเมื่อหลงแล้วเราก็จะพบกับสภาวะบีบคั้นไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง  ทำไปบ่อยๆ ความทุข์ก็คงน้อยลงเรื่อยๆ และระยะทางไปสู่สิ่งสูงสุดคงย่นลงมาก

ตอนแรกว่าจะมาทักทายสั้นๆ แต่คงเพราะไม่ได้สนทนาเรื่องเหล่านี้มานานเลยพูดมากไปหน่อย ไม่รู้ว่าเข้ากับบันทึกอาจารย์หรือเปล่านะครับ ถ้านอกเรื่องก็ขออภัยด้วยครับ

ขอบคุณธรรมะดีๆ ที่ปลุกสติได้ดีเยี่ยม

ธรรมะสวัสดีครับ

ทำให้เห็นว่าคนเรานั้นไม่ใช่จะมีแต่ทุกข์หรือมีแต่สุขตลอดไป  เมื่อสุขและก็จะทุกข์

ขอเล่าสักเรื่อง

ชายคนหนึ่งกระโดดร่มลงมาจากเครื่องบินคราวซวยแท้ๆร่มไม่กาง

โชคดีที่มีร่มช่วยติดมาด้วย  ฮ่าๆ  แต่กลับซวยร่มช่วยไม่กางซะอีก

โชคดีที่มองเห็นกองฟางอยู่ข้างล่าง  คงแบ่งเบาได้

แต่โชคร้ายมีไม้แหลมอยู่กลางกองฟาง

โชคดีมากเลยไม่โดนไม้แหลมกลางกองฟาง

แต่โชคร้ายไม่ลงบนกองฟางด้วย  เอวังด้วยประการ เช่นนี้

 

 สวัสดีค่ะ

เราทุกคน อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎของไตรลักษณ์ ฉะนั้น เราจะประมาท ชะล่าใจไม่ได้ กรรมในอดีตที่เราเคยทำผิดพลาดมีมากมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไรกรรมนั้นจะตามมาให้ผล คติของเรายังไม่แน่นอน ดีที่สุดคือต่อไปนี้กรรมชั่วอย่าไปทำเพิ่ม ให้สร้างแต่กรรมดี ทำใจให้ใส ๆ ถ้าใจใส ดวงปัญญาเราจะได้สว่างไสว

ที่พระท่านเทศน์ เป็นคติเตือนใจให้เราได้คิด จะได้มีสติในการดำเนินชีวิต และจะได้เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัยค่ะ

สวัสดีค่ะพี่แป๋ว

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ จริงๆ แล้วตุ๋ยแค่นำคำเทศน์ของหลวงพ่อท่านมาเล่าต่อค่ะ แต่งเติมเสริมบ้างตรงคำพูดต่างๆ เพราะคัดที่ท่านพูดประโยคต่อประโยคไม่ทัน ต้องอนุโมทนาหลวงพ่อที่ให้ธรรมทานที่ปฏิบัติได้ชัดเจนแก่เราค่ะ ^ ^ 

สวัสดีค่ะน้องธรรมาวุธ

พี่ชอบที่น้องเขียนมากเลยค่ะ เพราะฉะนั้นไม่มีคำว่ายาวไปหรอกค่ะ ^ ^

...ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับเหตุและปัจจัย และมุมมองของเราเอง...

ทำให้พี่นึกถึงเรื่องมุมมองที่ และเรื่องอายตนะทั้ง ๖ สายตาเพียงแต่รับภาพเข้ามา แต่เมื่อภาพนั้นกระทบจิตเราแล้ว เราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่างหาก..

ภาพคือภาพเดียวกัน เสียงคือเสียงเดียวกัน..แต่จิตของผู้รับภาพรับเสียงเป็นคนละดวงจิตกัน หากฝึกมาดี รู้จักเป็น"ผู้ดู"ก็จะมีปฏิกิริยาอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยได้ฝึก ก็จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบเป็น"ผู้เป็น"อย่างหนึ่ง..

บางคนเห็นภาพ เห็นเสียง สัมผัสของบางอย่าง แล้วไปนึกว่าเป็นของมีค่า (แท้จริงแล้วเป็นอนิจจัง) ก็จะแก่งทุกข์กับสุขไปกับการยึดมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นของมีค่า แก่งแย่งชิงดี ทะเลาะเบาะแว้ง เหมือนที่บอกไว้น่ะค่ะ

ขอบคุณนะคะที่แวะมาทักทายยาวๆ แบบนี้ ได้ถก ได้ช่วยกันเจริญปัญญาดีค่ะ ^ ^ 

สวัสดีครับ อาจารย์กมลวัลย์

  • อดไม่ได้ที่จะเข้ามาอ่าน
  • อดไม่ได้ที่จะเข้ามาเขียน
  • อดไม่ได้ที่จะเข้ามาเยี่ยม
  • อดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูความสุขและความทุกข์
  • ชอบตัวอย่างที่อาจารย์ได้เล่าให้ฟังครับ
  • อนิจจัง วัฎสังขารา

บุญรักษา อาจารย์ ครับ :)

สวัสดีค่ะคุณลุงเอก

5555 ภายในเวลาไม่ถึงนาที ชายคนนี้ผ่านความทุกข์ความสุข จนปรับตัวไม่ทันเลยนะคะ  น่าเสียดายแทนชายคนนี้ที่ไม่มีโอกาสปรับตัวหรือแก้ไขเสียแล้ว เพราะหมดโอกาส

เหมือนที่น้องธรรมาุวุธว่าไว้นะคะว่า..

การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นสุดแสนจะลำบาก บุญไม่มากพอก็คงไม่อาจเกิดได้  แต่เกิดมาแล้วไม่สามารถพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะจิตใจได้แล้ว  ทางข้างหน้าก็คงต้องเวียนว่าย กันไม่รู้จักจบสิ้น

น่าเสียดายแทนคนๆ นี้ เพราะกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากอยู่แล้ว (อ.ศิริศักดิ์เคยเล่าให้ฟังว่าเหมือนเต่าลอยคอขึ้นกลางทะเล แล้วลอยคอมาตรงพวงมาลัยที่ลอยน้ำอยู่พวงหนึ่งพอดี) แต่ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติตัวหลังจากมีดวงตาเห็นธรรม เพราะฉะนั้นพวกเราที่ยังอยู่กันนั้นยังมีโอกาส..ว่าแล้วก็ต้องรีบปฏิบัติค่ะ ^ ^

ขอบคุณสำหรับเรื่องเตือนสติดีๆ นะคะ 

สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์

ใช่เลยค่ะคุณพี่ เห็นด้วยมากๆ ค่ะว่าเราต้องไม่ประมาท และปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบไว้เสมอ ทำให้นึกถึงมรรคมีองค์ ๘ เลยค่ะ ^ ^

 

สวัสดีค่ะอ.วสวัตดีมาร

ขอบคุณสำหรับการมาเยี่ยมเยียนนะคะ

ต้องอนุโมทนาบุญให้หลวงพ่อผู้มอบธรรมทานนี้ให้แก่เราทั้งหลายด้วยกันด้วยค่ะ ^ ^ 

สาธุ ครับ ผู้เริ่มต้น จะคอยติดตามธรรมะดีๆจากอาจารย์ต่อไป

ขอบพระคุณค่ะอาจารย์

ได้ข้อคิดดีดีอีกแล้ว

สวัสดีคุ่ะคุณปู่หลง

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ แต่จริงๆ แล้วคุณปู่หลงก็น่าจะมีเรื่องเล่าธรรมะในชีวิตประจำวันให้เราได้ฟังกันเยอะเลยนะคะ แล้วจะคอยติดตามบันทึกเช่นเดียวกันค่ะ

 

สวัสดีค่ะคุณหนิง

ต้องขอบคุณและอนุโมทนาบุญหลวงพ่อที่เทศน์ให้ฟังเป็นธรรมทาน ทำให้ได้มาต่อยอดกันค่ะ ^ ^

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ ^ ^ 

ผมเคยอ่านหนังสือที่พระพุทธเจ้าสอน

ถึงความสัมพันธ์ของ 3 สิ่งนี้น่ะครับ

ผมจำได้แค่ข้อ1ไปข้อ2

แต่จำข้อ2ไปข้อ3ไม่ได้ครับ

คือหนังสือสอนว่า สิ่งของต่างๆทุกสิ่งไม่เที่ยง(1) 

ถ้าเราไปยึดติดกับสิ่งของที่ไม่เที่ยงเหล่านั้นเราก็จะเป็นทุกข์(2)

แล้ว เชื่อมโยงไปหา อนัตตายังไงครับ 

มันไม่แน่ นั้นแน่นอน

มันไม่แน่ ไม่ต้องวอนร้องขอ

มันไม่แน่ ว่าสิ่งนี้มีไม่พอ

มันไม่แน่ ไม่ต้องรอคอยอยู่นาน

ไม่นานแน่ ว่าสังขารเรา เขาเผาไฟ.

 เกิดแล้วแก่ แก่แล้วแก่เลย ไม่กลับมาเป็นหนุ่มอีกแล้ว

อะไรที่เราสามารถทำได้ในวันนี้ ก็จงรีบทำเสีย

เพราะว่ามันไม่แน่......... 

สวัสดีค่ะคุณ คริส

สิ่งที่คุณคริสกล่าวถึงคือ ไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นลักษณะเที่ยงแท้ ๓ ประการของสรรพสิ่งต่างๆ ที่เป็นจริงเสมอ

  • สิ่งต่างๆ นั้นไม่เที่ียงแท้ (อนิจจัง) เช่นสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาก็ย่อมเปลี่ยนสภาพสังขารตามอายุไปเรื่อยๆ
  • และเนื่องจากความไม่เที่ยงดังกล่าวนั้นทำให้เป็นทุกข์ (ทุกขัง) โดยทุกข์ในที่นี้เป็นทุกข์ที่แปลว่าทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ดังนั้นทุกข์ก็เกิดจากความไม่เที่ยงนั่นเอง.. เช่นคนเราต้องกระพริบตา หรือเคลื่อนไหวไปมา ถ้าไม่กระพริบตาก็จะเป็นทุกข์นั่นเอง
  • ส่วนสุดท้ายอนัตตานั้นคือการที่บังคับบัญชาไม่ได้  จากการที่สรรพสิ่งนั้นไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ก็คือบังคับบัญชาไม่ได้นั่นเองค่ะ เหมือนกับที่เราพยายามจะบังคับเล่นเกมส์จ้องตา จะพยายามไม่กระพริบตา สุดท้ายแล้วก็จะบังคับไม่ได้น่ะค่ะ..

เหมือนกับคนหรือสัตว์สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นมาสังขารต่างๆ ก็เป็นอนิจจัง (เพราะไม่เที่ยง) เป็นทุกขัง (เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) และเป็นอนัตตา (บังคับบัญชาไม่ได้ ยังต้องกิน ต้องหายใจ ฯลฯ) นั่นเองค่ะ

หวังว่าคงได้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมเสริมความเข้าใจได้บ้างนะคะ ^ ^

ขอบคุณคุณ mongkon  ที่ได้แวะเข้ามาให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับความไม่แน่นอนนะคะ เห็นด้วยค่ะว่า หากเราทำอะไรดีๆ ได้วันนี้ก็ให้ทำเสียก่อน มิเช่นนั้น"มันไม่แน่" ว่าจะได้มีโอกาสทำหรือเปล่าค่ะ ^ ^

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท