"งาน" ของครอบครัว


      

งาน ของครอบครัว

 

 

             พ่อกับแม่ของดิฉันเกษียณอายุราชการแล้ว  แต่มิได้เกษียณอายุงานเพราะยังไปช่วยสอนสามเณรที่วัดใกล้บ้านเกือบทุกวัน    พ่อช่วยสอนเลข เพราะเป็นครูคณิตศาสตร์    แม่ก็ช่วยสอนให้ลูกเณรประดิษฐ์อะไรเล็กๆน้อยๆตามประสาครูคหกรรม  สอนแบบช่วยกันไปด้วยใจ....

             พ่อเล่าให้ฟังว่าเด็กๆจำนวนหนึ่งที่มาบวชนั้น   ไม่มีพ่อแม่   ไม่มีญาติ   ไม่มีใครเลย  ใครเลี้ยงก็ต้องอยู่กับคนนั้น  จนกระทั่งเขาพามาบวชเณรอยู่ที่วัด  และเรียนที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัด   บางครั้ง ความรู้สึก “ขาด” จึงท่วมท้น   การทำให้จดจ่ออยู่กับวิชาเรียนมิใช่เรื่องง่าย    หากยังเป็นโชคดีที่ได้เรียนรู้ชีวิตในวัดและผ่านการขัดเกลาอบรมโดยเมตตา   พ่อเคยจากบ้านมาเป็นเด็กวัดตั้งแต่ยังเล็กๆ และเข้าใจชีวิตในวัดเป็นอย่างดี    พ่อบอกว่าต้องสอนคนก่อนแล้วจึงสอนวิชา    และไม่คาดหวังว่าจะต้องเรียนแล้วได้ผลทั้งร้อย  ขอแค่ท่านยอมนั่งในห้องเรียนก็นับเป็นโชคดีมากแล้ว   

             ดิฉันได้ฟังเรื่องสามเณรน้อยๆจากพ่อกับแม่เกือบทุกวัน  เช่น “เมื่อวานพ่อสอนเรื่องสมการ  เณรหลับกันครึ่งห้อง”   หรือ    “วันนี้ แม่เกือบตีเณรเผียะเข้าให้  ซนจริงๆ”      หรือ  “ตะกี้ตอนเดินผ่านฝั่งตรงข้ามวัด    เณรที่เคยสอนก็ตะโกนเรียกแม่ว่า”อาจารย์ค้าบ..บ..”จากบนตึก      แล้วยกมือไหว้สวัสดีมาแต่ไกล.....” 
             ....เพราะจริงๆแล้วท่านก็ยังเป็นเพียงเด็กผู้ชายเล็กๆเท่านั้น....    

             เรื่องเณรน้อยๆที่พ่อกับแม่เล่าให้ฟัง ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า  ได้เข้าใกล้วัดและเข้าใจ "วัด"  มากขึ้น  แต่ไม่นึกว่า  ณ   วันหนึ่งจะมีโอกาสเห็นผ้าเหลืองถึงในบ้านทุกๆวัน   เมื่อเณรน้อยชาวเนปาลรุ่นแรกห้าองค์เดินทางมาถึงนครศรีธรรมราช    ในขณะที่ท่านเจ้าอาวาสต้องดูแลเณรไทยอีกเป็นร้อยจนแทบเจียดเวลาไม่ได้  จึงขอให้พ่อกับแม่ช่วยสอนภาษาไทยให้ในช่วงบ่ายวันที่พอมีเวลาว่าง   จนกว่าสามเณรเนปาลจะพอพูดภาษาไทยได้  ท่านจึงจะส่งให้เข้าเรียนต่อในชั้น ม.4   

             ด้วยความพยายามที่จะดำรงชีวิตในดินแดนไกลบ้าน  ทำให้สามเณรต้องปรับตัวเข้ากับถิ่นใหม่ให้เร็วที่สุด   และพยายามอย่างหนักที่จะฟัง พูด  อ่าน และเขียนภาษาไทยให้ได้โดยรวดเร็ว  พ่อกับแม่ก็ช่วยสอน ช่วยดูแลท่านอย่างดีที่สุดเท่าที่ครูวัยเกษียณจะทำได้ 
             สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่ทำไปโดยธรรมชาติ  คือการให้ความรักความเมตตาแก่เณรน้อยผู้จากบ้านมาไกลแสนไกล  คอยช่วยเหลือในยามเจ็บไข้ได้ป่วย  คอยดูแลในเรื่องชีวิตประจำวันเท่าที่พอจะช่วยได้    สำหรับดิฉัน  วันไหนกลับจากทำงานเร็วหน่อยก็ได้พบท่านบ้าง  โชคดีว่าดิฉันเคยเป็นครูมัธยมที่สอนเด็กผู้ชายล้วนๆมาก่อน    ช่วยให้ดิฉันสื่อสารกับท่านได้เร็วขึ้นอีกนิด     แม้ว่าภาษาอังกฤษของดิฉันจะไม่แข็งแรงเอาเลยก็ตาม

             บางครั้ง..... เมื่อเราเห็นว่าท่านออกจะหงอยๆไปเพราะคิดถึงบ้าน  พ่อกับแม่ก็จะเอารูปตอนไปอินเดียและเนปาลออกมาให้ดู      ทุกครั้งที่ดูรูปถ่าย  ดูท่าทางท่านมีความสุขนัก ทุกองค์จะกระตือรือร้น และพยายามจะแย่งกันเล่าให้เราฟังว่า “บ้าน”ของท่านที่โน่นเป็นอย่างไร    อยู่ส่วนไหนของแผนที่    อยู่ติดภูเขาไหม    อยู่กับใครบ้าง  ไกลจากโรงเรียนแค่ไหน.....  ฯลฯ 

              มีบางเรื่องที่ท่านเล่าไปตามประสาเด็ก  แต่ก็ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราสะท้อนใจนัก  การเมืองที่ผันผวนและการใช้อำนาจรัฐอย่างเฉียบขาดรุนแรง  ทำให้ต้องอยู่กันอย่างระมัดระวัง  ระแวงภัย  และดูเหมือนจะมีการไล่ล่าปราบปรามให้เห็นอยู่ตลอดเวลา  ฟังแล้วนึกเห็นใจอย่างยิ่ง  และรู้สึกว่าเป็นโชคดีที่ท่านตัดสินใจมาเมืองไทย  แม้จะจากไกล”บ้าน”เหลือเกิน... 

             ดิฉันบอกท่านว่า”บ้าน” นี้มีสี่คน คือพ่อกับแม่ และลูกอีกสองคน   คือดิฉันกับน้องชาย  และขอให้ท่านคิดว่าบ้านนี้คือ “บ้าน” ของท่านเช่นกัน  เณรน้อยทั้งห้าทำท่าคล้ายๆว่าจะเข้าใจและยิ้มหวานอย่างน่าเอ็นดู 

             กิจกรรมที่เณรน้อยๆชอบมากที่สุด  คือตอนที่ได้พักจากการเรียนราวครึ่งชั่วโมง   และได้เดินทัศนาจรจีวรปลิวอย่างสนุกสนานรอบบ้านทุกวัน บังเอิญเป็นช่วงปิดเทอม ดิฉันจึงมีโอกาสช่วยเป็นไกด์ที่พูดผิดๆถูกๆ  หนักๆเข้าก็ใช้ภาษามือกันสนุกสนาน     แล้วท่านก็จะหัวเราะคิกคักชอบใจ  

             พ่อกับแม่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ และไม่รู้ภาษาเนปาล   พ่อจึงให้ดิฉัน(ซึ่งไม่เก่งพอๆกัน)ช่วยร่วมสนทนา(แบบกระท่อนกระแท่น)ในเบื้องต้น  ก่อนจะเข้าสู่บทเรียน  ซึ่งก็ทำให้เวียนหัวกันไปทั้งผู้เรียนและผู้สอน  เพราะต่างก็พูดภาษาของกันและกันไม่ได้     

             ดิฉันฟังภาษาอังกฤษสำเนียงเนปาลไม่ออก  ในขณะเดียวกัน  เณรก็นั่งคิ้วขมวดฟังภาษาฝรั่งสำเนียงไทยแบบผิดแกรมม่าของดิฉันไม่รู้เรื่อง  กว่าจะเข้าใจกันได้สักประโยคก็เล่นเอาเหนื่อยใจ  แต่เณรน้อยก็มิได้ย่อท้อ  เพราะพวกเขาเลือกแล้วที่จะมาเริ่มต้นที่นี่ ..... ที่เมืองไทย 
            (โดยไม่โอกาสรู้มาก่อนเลยว่าจะต้องมาเจอกับครอบครัวดิฉัน)

             ดิฉันทำได้เพียงอธิบายคร่าวๆ  บอกเขาว่าอะไรเป็นอย่างไรในภาษาไทย   การอธิบายไวยากรณ์ให้คนต่างชาติต่างภาษา  ต่างชุดไวยากรณ์  ได้เข้าใจโครงสร้างภาษาของเราในเวลาอันสั้นนั้น  เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเอาการ    ดิฉันได้รู้สีมือตัวเองในวันหนึ่ง  เมื่อเณรน้อยหน้าตาคมคายองค์หนึ่งซึ่งนั่งคิ้วผูกโบว์สองชั้นมาตลอดหนึ่งสัปดาห์  ถอนใจแรงๆหนึ่งเฮือก    แล้วถามดิฉันตรงๆว่า
              “ What ‘s  all  that suppose to mean? “ 

             ภาษาเนปาล เรียงประโยคต่างจากภาษาไทย  คือเอากรรมไว้ตรงกลาง และคำกริยาไว้ท้ายประโยค  เช่น คนไทยพูดว่า ฉันกินปลา  คนเนปาลก็จะพูดภาษาเนปาลีว่า  ฉัน ปลา กิน  พ่อบอกว่าเราต้องเข้าใจก่อนว่าโครงสร้างภาษาและไวยากรณ์ของเขาเป็นอย่างไร  แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะอธิบาย  เพราะเณรน้อยๆมาจากคนละที่  ใช้ภาษาคนละภาษากัน  บางทีแม้พวกท่านเองยังฟังกันเองไม่รู้เรื่อง 

             อย่างไรก็ตาม  ด้วยความที่พ่อดิฉันเป็นคนเอาจริง  พ่อจึงไปค้นจนรู้ว่าภาษาเนปาลต่างจากภาษาไทยอย่างไร  มีอะไรเหมือนและอะไรต่างกันบ้าง  .... แล้วก็สอนทะลุ่มทะลุยไปตามวิธีของพ่อ 

             ดิฉันได้ข้อคิดสำคัญในการสอนภาษาไทยให้ผู้ที่ใช้ภาษาอื่นเป็นภาษาแม่....จากพ่อ (เขียนอย่างนี้แล้วก็ขำตัวเอง   แต่ก็หมายความดังที่เขียนนี้นะคะ) 
             คือ  หนึ่ง  ต้องคิดจากฐานภาษาของเขา  ไม่ใช่ภาษาของเรา  วิธีที่พ่อใช้คือเอาพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์(ถ้ามี)ของสองภาษามาเทียบกัน  หาให้เจอว่ามีอะไรเหมือน  มีอะไรต่างกัน   แล้วเริ่มสอนจากที่เหมือนกันก่อน  เขาจะได้ไต่ตามได้จากฐานเดิมที่มี เทียบกับของใหม่  ที่พอจะกล้อมแกล้มกันไปได้
              สอง  ฝึกให้รับสารด้วยหู    และให้ชินกับเสียงก่อน   ก่อนที่จะรับสารด้วยตา  สอนให้ฟังเสียง  และออกเสียงตาม  จนคุ้นชินกับเสียงวรรณยุกต์ห้าเสียงในภาษาไทย 
             เช่น คำว่า     คา  ข่า  ข้า  ค้า  ขา   โดยไม่ต้องกังวลกับรูปพยัญชนะ    แต่ฝึกให้ออกเสียงวรรณยุกต์ห้าเสียงซ้ำๆจนชินหู    คือสอนให้    ฟัง ก่อน  แล้วจึงสอนให้ เขียน ทีหลัง   จากนั้นจึงให้ดูรูปคำให้ค่อยๆชินตา  แม้ว่าจะยังอ่านไม่ออกทั้งหมด   ด้วยวิธีเรียนแบบเด็กเล็กๆ    ที่เริ่มจากการ”ฟัง” ก่อนและค่อยๆสั่งสมจนรู้คำและความหมายจากปริบทอันหลากหลาย    ถึงแม้จะยังเขียนไม่ได้  อ่านไม่ออก  แต่เมื่อเขาได้ยินคำนั้น  เขาก็จะรู้ว่าหมายถึงอะไร  หรือหมายความว่าอะไร 
             เมื่อโตขึ้นอีกนิด และเห็นรูปคำเขียน  เขาก็จะพอเทียบเคียงได้เองในสักวันหนึ่ง เมื่อได้เรียนรู้มากพอ   

             อย่างไรก็ตาม   พ่อบอกว่าในภาษาเนปาลไม่มีเสียงสระ  อึ  และสระ  อือ   เณรน้อยจึงออกเสียงสระสองตัวนี้ไม่ค่อยได้   ไม่ว่าในเบื้องแรกจะพยายามออกเสียงให้ฟังสักเท่าไรก็ตาม
            และท่านจะเรียก  สระ อิ    ว่าสระ  อิ๊   อยู่เสมอ....     

             ครั้งที่พ่อเริ่มสอนพยัญชนะไทย     ลายมือของพ่อที่เขียนบนกระดานนั้นสุดยอด   แม่บอกว่าถ้ารู้จักเฉพาะลายมือคงไม่แต่งงานด้วย  ลูกเณรเนปาลที่มาเรียนบ้านเราก็สุดยอดอัจฉริยะ ไม่ว่าพ่อจะเขียนด้วยลายมือหวัดสุดฤทธิ์แค่ไหน    ท่านก็พากันลากโย้เย้ยุ่งยิ่งแบบอ่านไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรตามกันไปได้เหมือนเปี๊ยบ....

             วันหนึ่ง   เณรน้อยองค์ที่ท่าทางจะเก่งภาษาทำหน้ายุ่งสุดขีดอย่างน่ารัก  และอ้อมแอ้มถามพ่ออย่างเกรงใจว่าพยัญชนะไทยมีมากกว่า 44  ตัวใช่ไหม 
             .... เพราะ   ตัว  ก  ไก่  ทั้งสี่ตัวของพ่อบนกระดาน  เขียนไม่เหมือนกันสักตัวเดียว....  

            แม่สอนให้เณรรู้จักข้าวของต่างๆในบ้าน  ฝึกให้เรียนรู้ภาษาไทยโดยวิธีง่ายๆ    แบบคนพูดฝรั่งไม่เป็น  แต่ชี้ๆเอา   และบอกเป็นคำภาษาไทย   เณรก็บอกศัพท์เนปาลให้แม่   และนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด  ซึ่งแม่ไม่ยอมมั่นใจในตัวเองสักทีว่า แม่นี่แหละที่สอนให้ท่านพูดภาษาไทยได้  เพราะแม่ไม่พูดภาษาอังกฤษแท้ๆกับท่าน
            ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด  เณรน้อยๆนั่งเหงื่อซ่ก  แม่จะบอกให้ไปอาบน้ำก็พูดไม่ถูก  จึงชี้ไปที่ห้องน้ำและพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า  “ ว้อเต๊อ ?   ว้อเต๊อ  ตูมๆ มั้ย ? “ เณรน้อยทั้งห้าดีใจเริงร่า  ตอบทันทีว่า...“ เย่ ๆ ๆ “  .....
        ...แม่รีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้แทบไม่ทัน......   

             สถานที่ท่องเที่ยว(ใน)บ้านดิฉันที่เณรท่านชอบที่สุดคืออ่างบัว  อ่างปลา  และเรือพายของย่าที่พ่อเอาพลาสติกมาปูแล้วทำเป็นเรือเลี้ยงปลาได้อย่างสวยงามน่าดู   ใครเห็นใครก็ชอบ  
             ลูกปลาหางนกยูงตัวจ้อยทั้งฝูงสีสวยน่าชมนัก   เหล่าปลาเกิดตัวจิ๋วก็ดูเพลินตา   เณรน้อยๆยิ่งชอบนัก  ทุกวันที่มาเรียน  ท่านต้องไปเสวนากันที่เรือนี้ก่อน  ดูคล้ายๆกับประชุมกันว่าใครจองตัวไหน 
            อยู่มาวันหนึ่งเมื่อภาษาไทยเริ่มแก่กล้า ท่านก็ส่งทูตเอ๊ยตัวแทนมาขออนุญาตนำปลาไปเลี้ยงองค์ละตัว (หรือมากกว่านั้นก็จะยินดียิ่ง)
           “ท่านทูต”ชี้ไปที่ปลาตัวหนึ่ง     แล้วชี้ไปที่เพื่อนเณรหนึ่งองค์    แล้วก็ชี้ไปทางวัดที่ท่านอยู่  แล้วก็พูดฟังคล้ายๆคำว่าว่า “รักษา”  แล้วก็ยิ้มให้แม่ดิฉันอย่างหวานที่สุด.....   ........เท่าที่เด็กผู้ชายเล็กๆคนหนึ่งจะยิ้มได้
              .....แล้วแม่ก็บอกดิฉัน (ซึ่งยืนงงอยู่ใกล้ๆกันนั้น)ว่าให้ไปเอาถุงพลาสติกมา....
              ดิฉันยังนึกทึ่งความเข้าใจภาษาท่าทางของแม่มาจนบัดนี้

             ต่อมาอีกไม่กี่วัน  “ท่านทูต”องค์น้อยก็รีบรุดมาแจ้งข่าวสำคัญให้เราทราบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย    ดิฉันยืนฟังอย่างงุนงง   เพราะหูไม่คุ้นกับสำเนียงภาษาไทยของท่าน  คือจะว่าไปแล้วดิฉันไม่คิดว่าเป็นภาษาไทย  แต่ทำไมคำท้ายๆถึงคุ้นๆหูนักก็ไม่รู้ 
             แต่แม่กับพ่อกลับหัวเราะด้วยความเอ็นดู  พร้อมกับพยักหน้าหงึกๆอย่างเข้าใจ  และบอกว่า  
             “ไม่เป็นไร...เอาใหม่ได้”      แล้วบอกให้ดิฉันไปเอาถุงพลาสติกมาให้...
              ดิฉันยังงงและถามพ่อว่าตอนท้ายๆนั่นสามเณรพูดว่ากระไรหรือ     พ่อตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า
              “เณรบอกว่า  “บุตรมัจฉา....มรณา”     เสียแล้ว“  

              ดิฉันแว่บนึกไปถึงละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เรื่องที่เคยดูสมัยยังเล็กๆ  สงสัยต้องหัดๆพูดแบบนั้นไว้บ้าง   จะได้ตรัสเอ๊ยคุยกับท่านรู้เรื่อง

             พ่อกับแม่สอนสามเณรน้อยทั้งห้ามาจนกระทั่งใกล้ถึงวันเปิดเทอม   เณรน้อยก็พูดภาษาไทยเก่งขึ้นมาก  และเขียนรูปประโยคอย่างง่ายๆได้ด้วย  ชั่วโมงสุดท้ายก่อน”ปิดคอร์ส” พ่อได้ให้ท่านลองแต่งประโยคภาษาไทยอย่างง่ายองค์ละหนึ่งประโยค 
              เณรน้อยองค์หนึ่งแต่งประโยค “ปิดคอร์ส” ส่งพ่ออย่างมั่นใจ  ในขณะที่พ่อรับไปอ่านแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะพรืด   เนื่องจากประโยคของท่านช่างตรงไปตรงมาอะไรเช่นนั้น     
             “อาจารย์สมบูรณ์  ....มีหนึ่งภริยา  .....มีสองลูก....”

             พ่อกับแม่บอกดิฉันว่าสำหรับคนเป็นครูแล้ว.....   การได้เห็นพัฒนาการแบบก้าวต่อก้าวของ”ลูกศิษย์” ถือเป็นเรื่องน่าชื่นใจนัก      และจะช่วย “สอนลูกเณร” ทุกรุ่นต่อไปตราบเท่าที่พระท่านยังให้ช่วย  
             ทุกวันนี้สามเณรเนปาลยังคงมาเริ่มต้นเรียนภาษาไทยที่บ้านเราอย่างต่อเนื่อง   รุ่นแล้วรุ่นเล่า  จากนั้นก็ไปเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยม  แล้วต่อไปถึงมหาวิทยาลัย ...... เรียนต่อไปจนกว่าจะสุดทางการศึกษาของท่าน    
             
            ….. ”งาน”   เล็กๆของครอบครัวเรา ก็ยังคงดำเนินต่อไป....   และต่อไปเช่นกัน..... 

 

                                                        # #

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 154342เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2007 23:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (154)

สวัสดีค่ะพี่แอมป์

เบิร์ดอ่านพร้อมยิ้มขำจนถึงหัวเราะก๊ากเมื่อเจอ " บุตรมัจฉา..มรณา "..เป็นการเรียนการสอนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่สุดเลยนะคะพี่แอมป์เพราะเป็นการเรียนรูู้็้้ร่วมกันอย่างแท้จริงทั้งผู้สอนและผู้เรียน  อีกหน่อยคุณพ่อพี่แอมป์คงชำนาญภาษาเนปาลแน่เลยค่ะ เพราะเทียบจากฐานภาษาเลย ( และเบิร์ดถึงบางอ้อว่าเหตุไฉนเบิร์ดถึงเรียนภาษาอะไรไม่ได้ดีซักกะอย่าง..มีเหตุแบบนี้นี่เอง )

อ.คณิตศาสตร์สอนภาษาไทยด้วยตัวหนังสือที่ทำให้พยัญชนะไทยกลายเป็น 47 ตัว ( ก.ไก่เพิ่มขึ้นอีกตั้ง 3 ตัวแน่ะค่ะ )..น่ารักเป็นที่สุด ^ ^

อ.คหกรรมสอนศัพท์ภาษาไทยผ่านสิ่งรอบตัวก็สุดยอด

อ.นิเทศศาสตร์สอนภาษาไทยผ่านภาษาอังกฤษก็น่ารักเหลือใจ

แถมลูกศิษย์ก็น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุดตั้งอกตั้งใจเรียนรู้กันอย่างไม่ย่อท้อ

แบบนี้ใช่มั้ยคะที่เรียกว่าการเรียนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ออกแบบหลักสูตรตามผู้เรียน และวัดความสำเร็จที่ผลลัพธ์รวมทั้งหมดไม่ใช่เกรดยิบย่อย เพราะลูกศิษย์ท่านเขียนภาษาไทยเมื่อจบหลักสูตรได้ตรงเป๊ะตามศัพท์และไวยากรณเปี๊ยบเลยล่ะค่ะ

 อาจารย์สมบูรณ์  ....มีหนึ่งภริยา  .....มีสองลูก....^ ^

นอกจากนี้ยังทำให้เบิร์ดเห็นว่า " ภาษา ไม่ใช่ข้อจำกัดถ้าเราจะเข้าใจกัน " เนาะคะพี่แอมป์

คุณพ่อพี่แอมป์ท่านเก่งนักค่ะ เด็กๆเรียนรู้ภาษาจากฐานของการจำจริงๆนะคะ ตอนแรกเกิดสายตายังเห็นได้ไม่ดีนัก เด็กเค้าก็จะหันตามเสียงค่ะ และเสียงที่คุ้นหูเค้าที่สุดคือเสียงของคนใกล้ชิดเค้านั่นเอง..ที่ให้อ่านหนังสือนิทานให้ฟังตั้งแต่อยู่ในท้องหรือคุณพ่ออััดเสียงตัวเองให้ตัวเล็กฟังก็เพราะเหตุนี้แหละค่ะ..ในตอนตัวจี๊ดๆเค้าก็จะพูดเลียนเสียงทุกเสียงที่ได้ยิน ( แม้ไม่เป็นคำก็ตาม )  โทรทัศน์จึงก่อปัญหากับการเลียนเสียงของเด็กมากเลยล่ะค่ะเพราะมีหลายเสียงเกินไปทำให้สับสนและพูดได้ช้าลง ( เกิด Delay Development ด้านการพูดของเด็กได้ค่ะพี่แอมป์ )

ขอบพระคุณสำหรับบันทึกน่ารักๆและข้อคิดดีๆและขออนุโมทนากับกุศลที่คุณพ่อคุณแม่และพี่แอมป์ได้ทำด้วยการให้ความรู้ ความรัก ความอบอุ่นในหัวใจของลูกศิษย์เณรทุกรูปนะคะ ..บุญรักษาค่ะพี่แอมป์

 

 

สวัสดีด้วยความสนุกสนานมากจ๊ะเบิร์ด 

พี่แอมป์นั่งหัวเราะชอบใจอารมณ์ขันที่แสนคมคายของเบิร์ดอยู่นานเลยจ๊ะ  เบิร์ดช่างมองทะลุไปเห็นมุมที่พี่นึกไปไม่ถึงเสมอ  และช่างเชื่อมโยงความรู้เข้ากับความรู้สึกได้อย่างรื่นไหล  ทำให้พี่เกิดทัศนวิสัย  ^ ^  ที่กว้างขวางขึ้นอีกเยอะ

เพื่อป้องกันการเกิด Delay Development  พี่จะรีบบอกน้องชายและน้องสะใภ้ให้อัดเสียงตนเองเล่านิทานไว้เสียแต่บัดเดี๋ยวนี้   จะได้เอาไว้เปิดให้หลานน้อยๆของพี่กำลังจะออกมาเยี่ยมชมโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าฟัง  ลูกจะได้คุ้นเสียง    และจะรีบเตือนพวกเขาว่าอย่าดูทีวีโดยไม่จำเป็น  โดยเฉพาะในฤดู เอ๊ยช่วงนี้  เพราะเป็นช่วง "เสียง"  ตีกัน  มากที่สุด    ไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร  เดี๋ยวจะ"ก่อปัญหากับการเลียนเสียง" ของหลานพี่  "เพราะมีหลายเสียงเกินไป" อาจทำให้หลานน้อยๆของพี่  "ฉับฉน" ไปเสียเปล่าๆ    : )

บทเรียนที่ได้จากการสอนภาษาไทยให้เณรเนปาล  และที่เบิร์ดบอกว่า เด็กๆเรียนรู้ภาษาจากฐานของการจำ    (โออันนี้พี่ชอบใจมาก) ทำให้พี่ได้คิดว่าเด็กไทยเรามีทุนทางภาษามาแล้วเป็นอย่างดี     คือฟัง(จำเสียง)และเข้าใจคำไทยมามากพอที่จะสื่อสารด้วยการพูดได้แล้วทีเดียว   เด็กมีคลังคำ  มีทุนทางภาษาอยู่ดีๆแท้ๆ

แต่เหตุไฉนระบบเราจึงสามารถทำให้เขาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เมื่อโตขึ้น  นึกแล้วกลุ้มจริงๆเทียว   การ"จำและเข้าใจระบบสัญลักษณ์" ของเด็กไทยผิดเพี้ยนไปตอนไหนนะ

ตอนนี้พี่แอมป์ไม่รู้ว่าวิธีเริ่มสอนภาษาไทย   เขาเปลี่ยนไปเริ่มจากฝึกอ่านการแจกลูก ผันอักษร  แทนการอ่านคำเป็นคำๆแล้วหรือยังนะจ๊ะ    สงสัยพี่ต้องเตรียมแบบฝึกหัดคลาสสิก..... 

กอ อา  กา       กา  เอก  ก่า         กา โท  ก้า 
ก๊า   ตรี  ก๊า      กา  จัต-ต๊ะ-วา  ก๋า 

ไว้สอนหลานพี่ให้ท่องไต่บันไดเสียงแจ๋วๆอย่างเป็นล่ำเป็นสันเสียแล้ว  คง สะ-หนุกเหมือนตอนท่องสูตรคูณ  ซ้องหนึ่งซ้อง ซ้องซ้องสี่  เลย อิอิ

คณิตศาสตร์กับภาษาคงคล้ายๆกันมังคะพี่ว่า  ลงว่าจำได้ และเข้าใจสูตรแล้ว  ก็สามารถไต่บันไดไปคิดเรื่องที่ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้นได้ เพราะมีขั้นมีตอนเห็นที่มาที่ไป  ช่วยให้คิดง่ายขึ้น   
ส่วนที่ยุ่งๆจน อ่า-ไร-มะ-เอาะ  อยู่ตอนนี่คงเพราะลัดตอน ข้ามขั้น จนผิดสูตรเนี่ยแหละจ๊ะ

ขอบคุณที่เบิร์ดแวะมาเปิดโลกกว้างทางการเรียนรู้ภาษาของเด็กน้อย  ทำให้พี่แอมป์รู้สึกรื่นเริงกะ-เอ๊ยบันเทิงใจ   ในการเตรียมตัวเปิดคอร์ส "สอนภาษาไทยสำหรับหลาน" อย่างสนุกสนานเป็นที่ยิ่ง  และขอบคุณมากสำหรับการอนุโมทนากุศลนะจ๊ะ
ขอให้บุญรักษาเช่นกันนะจ๊ะเบิร์ด  : )

  • แวะมาเยี่ยมและเก็บเกี่ยวเรื่องราวน่าประทับใจค่ะ
  • นอนหลับฝันดีนะคะ

สวัสดีค่ะคุณBright Lily 

               ขอบคุณด้วยความระลึกถึง ที่แวะมาค่ะ  ดิฉันกำลังจะเข้านอนพอดี  เห็นคำอวยพรจากคุณBright Lily    ก่อนนอน  คืนนี้ท่าทางจะหลับฝันดีจริงๆ
               ขอให้คุณBright Lily นอนหลับฝันดีเช่นเดียวกันนะคะ  : )

อ.แอมฯ

ไม่มีความคิดเห็น มีแต่ความคิดถึงกับเสียงหัวเราะ

อ่านเรื่องน้องทีไร จินตนาการตามได้ในทุกถ้อยความ

เป็นการถ่ายทอดที่สุดยอดมาก "เกินบรรยาย"

ทราบแล้วค่ะว่า ได้ความเป็นครูมาจากคุณพ่อคุณแม่นี่เอง

สวัสดีด้วยความดีใจมากๆๆๆค่ะพี่อึ่งอ๊อบ

เมื่อคืนแอมแปร์เข้าไปอ่านบันทึกล่าสุดของพี่อีกรอบด้วยความรู้สึกเข้าใจ (พี่เขียนเล่าความรู้สึกได้สุดยอดมาก  เหมือนที่พ่อครูบาว่ามังคะ  พี่มีอารมณ์ขันอะ)  แอมแปร์รู้สึกคิดถึงพี่อึ่งอ๊อบมาก   และเป็นห่วงพี่ด้วยใจจริง   แต่กะว่าคืนนี้จะส่งอีเมลไปหาเลย  จะได้พรรณนายาวๆสมใจ 

วันนี้แอมแปร์นั่งทำงานอย่างยุ่งอลหม่านมาก  (งานเราออกแนว"บริหารไปทั่ว"เหมือนกันเลยค่ะ)   อิอิ    เลยกะว่าตอนเย็นจะแวะเข้ามาอ่านอะไรเพลินๆสักแป๊บ  พอเปิดปุ๊บก็เจอพี่อึ่งอ๊อบมายืนยิ้มรออยู่เลย   โอ้....แอมแปร์ดีใจแบบตกตะลึงพรึงเพริดมาก

เข้าใจว่าหลายๆท่านใน G2K เคยรู้สึกคล้ายๆกันอย่างนี้นะคะพี่อึ่งอ๊อบ  เวลาที่เราคิดถึงใครอย่างมาก บางทีคนนั้นก็สื่อสารมาเลย !!!......  เห็นกันตัวเป็นๆเลย   : )  เป็นความบังเอิญที่น่าทึ่งมากนะจ๊ะ  และแอมแปร์ก็ชอบจริงๆ   เพราะเป็นความรู้สึกที่น่ารักชะมัด  

สงสัยว่าคลื่นความคิดถึงนี่คงมีอยู่จริงๆ  ต้องไปหาบทความเรื่อง "คลื่นพลังจิต"  อ่านเสียแล้ว  จะได้หายสงสัยกันไปข้าง  (ที่เหลืออยู่อีกข้างก็ปล่อยให้สงสัยไป  อิๆๆๆ)   นึกชอบใจนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งนะพี่  พอสงสัยปั๊บเขาก็ทดลองทันที  ให้รู้ๆกันไปว่าไผเป็นไผ  คือว่าไวดี   : ) 

เดี๋ยวพรุ่งนี้แอมแปร์ลองให้ลูกศิษย์ส่งแรงคิดถึงมากๆๆๆในช่วงปีใหม่  ด้วยการให้การบ้านกระหน่ำนิวเยียร์เซลแปดชิ้นรับปีใหม่ ทูเต๊าเซิ่นเอ้ท 
....เด็กๆจะไม่คิดถึงครูมั่งก็ให้รู้ไป...  55555

สุดท้ายนี้ยาวจนได้  แต่แอมแปร์คิดถึงพี่อึ่งอ๊อบจริงๆนะคะ   ถึงแม้จะไม่ค่อยแวะ (เพราะตอบกลัวยาวจนเป็นอีกบันทึก)  แต่ก็ติดตามข่าวคราวของพี่เสมอ..
       ขอบคุณที่พี่อึ่งอ๊อบแวะมาตามแรงคิดถึงของแอมแปร์นะคะ  : )

 

 

    

….. ”งาน”   เล็กๆของครอบครัวเรา ก็ยังคงดำเนินต่อไป....   และต่อไปเช่นกัน..... 

..........................................

   เป็นงานที่ น่าทึ่งมากเลยคะ  มีความสุขมากเลยนะคะ กิจกรรมของคุณพ่อ และคุณแม่

สวัสดีค่ะพี่หน่อย

  • โอลันลา... พี่หน่อยมาเยี่ยม..  ดีใจจัง  : )
  • ช่วงนี้พี่หน่อยได้พักผ่อนเต็มที่มั้ยคะ  อย่างไรก็ตามแอมแปร์รู้สึกว่าพี่หน่อยใช้เวลาได้คุ้มค่าจัง  เพราะมีกิจกรรมที่หลากหลายนัก
  • ของแอมแปร์มีแต่ยืนสอน กับนั่งเขียน(หรือพิมพ์)  หรือไม่อีกทีก็นอน... : ) คือกิจวัตรไม่ค่อยหลากหลายอะค่ะ 
  • จะเพิ่มมาหน่อยก็ตอนพาเณรน้อยทัศนาจรรอบบ้านนี่แหละค่ะ   เพราะต้องไล่จับแมวด้วยเป็นระยะ  แมวชอบวิ่งไปเล่นกับท่าน  แต่ดูท่านก็ชอบลูกแมวเล็กๆนะคะ... 
  • ขอบพระคุณพี่หน่อยที่แวะมาให้กำลังใจนะคะ คือแอมแปร์จะบอกตรงๆว่า งานนี้ บางทีก็น่ากลุ้ม....  คือแอมแปร์กลุ้มแทนสามเณร  เพราะนอกจากฟังภาษาไทยไม่ออกแล้ว  ท่านยังต้องมึนงงกับภาษา "ทิงกลิช"  ของแอมแปร์อีกด้วย       แหม...อุตส่าห์ฝึกมาจากหนัง ฮอล-ลี-วู้ด เป็นแรมปี  
  • เอ่อ ...  ที่ว่าฝึกนี่  คือฝึกอ่านคำบรรยายไทยข้างล่างให้จบทันกับที่เขาแสดงอะค่ะ  ไม่งั้นเงยขึ้นมาทีไร  พี่เขาไปซะอีกฉากนึงแล้วทุกที 
  • คือว่าแว่นมันไม่ค่อยดีอะค่าพี่หน่อย  ..สงสัยต้องไปตัดแว่นใหม่    อิอิอิ
  • ขอบพระคุณด้วยความคิดถึงมากอีกครั้งนะคะพี่หน่อย  : )

สวัสดีปีใหม่ค่ะ น้อง อ.แอมแปร์

ไม่ค่อยได้แวะเวียนทักทาย เพราะมีงานค้างในใจมากมายจนรู้สึกไม่ปลอดโปร่งใจกับการท่องใน G2K

แต่เมื่อมาอ่านบันทึกน่ารักๆ นี้แล้วก็ให้รู้สึกว่ามาช้าไปนิดนะเนี่ย...อ่านไปขำไป และชื่นชมกับการสอนลูกเณรน้อยชาวเนปาล ที่ช่วยกันสอนทั้งบ้าน น่ารักมากๆ

และปีใหม่นี้ ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้น้อง อ.แอมแปร์ และคุณพ่อ คุณแม่ที่น่ารัก มีความสุข สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง พร้อมพลังกาย พลังใจ ในการสอนเณรน้อยในรุ่น ต่อๆๆ ไปนะคะ

 P

สวัสดีปีใหม่ค่ะอ.แอมแปร์

ขอให้ครอบครัวของอาจารย์ จงประสบแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพแข็งแรง นะคะ

สวัสดีปีใหม่ 2551 ค่ะ อ.แป๋ว : )

โอ... ขอบพระคุณ อ.แป๋วมากๆค่ะ สำหรับพรปีใหม่ที่เป็นมงคลยิ่งสำหรับแอมแปร์และครอบครัว  แอมแปร์พนมมือรับพรด้วยความปิติค่ะ 

และขอบพระคุณสำหรับ ดอกไม้สวยๆ ต้อนรับปีใหม่  (ด้วยฝีมือถ่ายรูประดับมืออาชีพของอ.แป๋ว) ทำให้ใจหวานละมุนนักนะคะ    : )  

"งาน"ที่บ้านแอมแปร์ทำ ก็ทำให้ชีวิตสนุกสนานดีค่ะอ.แป๋ว  สอนเด็กเล็ก(หมายถึงเณรเด็กๆ)นั้นน่ารักดี  เพราะท่านพูดอะไรตรงๆแบบเด็กผู้ชาย  เวลาท่านพยักเพยิดแบบคนเนปาลก็น่าดูดีค่ะ    วิธีส่ายหน้าบอกว่า "เยส" ของท่านก็ทำให้บ้านแอมแปร์งงกันไปพักใหญ่อะค่ะ  อิอิ     โชคดีที่เคยดูหนังอินเดียมาก่อนและพอเดาท่าทางกันได้  : )     

แอมแปร์ก็ไม่ค่อยได้แวะไปเยี่ยมบันทึกมากนักในช่วงหลัง  เพราะงานเยอะเหมือนกันค่ะ เข้าใจที่ อ.แป๋ว พูดเลยค่ะ  เวลาสื่อสาร  เราก็อยากให้ใจปลอดโปร่ง  เขียนอะไรก็รื่นไหล  แต่เวลางานยุ่งๆนี้เขียนอะไรไม่ใคร่ออก  ก็เลยไม่ได้เข้าไปโพสต์เหมือนกันเลยค่ะ   

สุดท้ายนี้  ขอให้ อ.แป๋วและครอบครัวมีความสุขมากๆในปีใหม่นี้ และเป็นครอบครัวที่อบอุ่นตลอดไปเช่นกันค่ะ   ขอบพระคุณมากอีกครั้งค่ะ    : )

อาจารย์สมบูรณ์  ....มีหนึ่งภริยา  .....มีสองลูก

ประโยคนี้ผมเห็นด้วยกับคุณเบิร์ดเป็นอย่างยิ่ง  (ภาษา ไม่ใช่ข้อจำกัดถ้าเราจะเข้าใจกัน) ...  เพราะในความแตกต่างของรูปคำนั้น  ก็สื่อความหมายในเรื่องเดียวกันได้  และสำหรับประโยชน์นี้  ผมถือว่าเป็นความเก่งกาจ..เฉลียวฉงาดของเจ้าของประโยคเป็นอย่างมาก

.....

วิธีเรียนแบบเด็กเล็กๆ    ที่เริ่มจากการ”ฟัง” ก่อนและค่อยๆสั่งสมจนรู้คำและความหมายจากปริบทอันหลากหลาย    ถึงแม้จะยังเขียนไม่ได้  อ่านไม่ออก  แต่เมื่อเขาได้ยินคำนั้น  เขาก็จะรู้ว่าหมายถึงอะไร  หรือหมายความว่าอะไร 

.....

 

ช่วงนี้ผมก็พยายามสอนลูกผ่านกระบวนการ หรือวิธีในทำนองเดียวกันนี้   เพราะถือว่าดูจะง่ายกว่าการลงมือเขียนเป็นคำ ๆ   ยกตัวอย่างก่อนหน้านี้ร่วมปีมาแล้ว  ผมก็พยายามชวนเขาท่องจำชื่อของญาติ ๆ  ทั้งพ่อ แม่  ปู่ย่า ...  หรือแม้แต่เรียกชื่อของสัตว์และของใช้ที่เขาคุ้นเคยในบ้าน  จากนั้นก็พาเขาเขียนสะกดคำในสิ่งเหล่านั้น  ซึ่งก็เป็นไปอย่างน่าภูมิใจ

.....

ปีใหม่นี้....  ขอให้มีสุขภาพกาย  สุขภาพใจ  และพลังชีวิตที่พร้อมจะสร้างสรรค์ชีวิตและสังคม สืบไป.... นะครับ

 

สวัสดีปีใหม่ 2551ค่ะ คุณศศินันท์

แอมแปร์พนมมือกราบสามครั้งเลยค่ะ  เพราะเห็นภาพอันเป็นมงคล  ขอน้อมรับพรปีใหม่ไว้ด้วยความปลื้มปิติยิ่งค่ะ

คำฝรั่งในการ์ดที่ว่า "Happiness Now and Always" นี้ ดูเหมือนเรียบง่ายแต่จับใจดีจังค่ะ  การมีความสุขอยู่กับปัจจุบันนั้นช่างเป็นความโชคดีเหลือเกิน  และบางทีแอมแปร์ก็เผลอทำหลุดมือไป  ด้วยการไถลไปคิดถึงอดีตบ้าง  ถลาไปคิดถึงอนาคตบ้าง  ทั้งที่ความสุขแบบเรียบง่ายอยู่กับตัวเรา  อยู่ตรงหน้าเรา และอยู่ในใจเรานี่เอง  (ใช้คำว่า ไถล กับ ถลา รู้สึกเห็นภาพการเคลื่อนแบบเผลอไผลดีอะค่ะ)  : )

การกำหนดใจให้อยู่กับปัจจุบัน   บางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ  แอมแปร์ได้พยายามฝึกเป็นระยะๆ  แต่ใจก็ไถลถลาไปเสียอีกทางอยู่เรื่อย  อย่างไรก็ตาม  แอมแปร์ก็มิได้ย่อท้อ  และยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไป   สักวันถ้าใจนิ่งได้  แอมแปร์คงได้เห็น "quiet moments of beauty " ของความสงบในใจตัวเองบ้างอะค่ะ

ขอบพระคุณคุณศศินันท์ที่กรุณาแวะมาอวยพรปีใหม่อีกครั้งถึงบันทึกค่ะ   แอมแปร์น้อมรับไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจยิ่ง    และขอคุณพระอำนวยพรให้คุณศศินันท์และครอบครัว  ประสบแต่ความสุขและความสมหวังตลอดปีใหม่นี้และตลอดไปเช่นกันนะคะ    กราบขอบพระคุณคุณศศินันท์มากๆอีกครั้งนะคะ 

สวัสดีด้วยความคิดถึงมากเลยค่ะคุณแผ่นดิน

ดีใจมากๆๆๆเลยค่ะ ที่คุณแผ่นดินชักชวน"คนของความรัก"มาเขียนบันทึก  คุณแม่น้องดิน น้องแดน น่ารักและจริงใจมากนะคะ  ดิฉันชอบวิธีสื่อสารที่ตรงใจโดยไม่ต้องแต่งคำ  (แบบที่ดิฉันทำไม่ได้)  ของดิฉันคิดหนึ่งนิ้วต้องยาวปิ้ว..ว..ว  ไปเป็นฟุตทุกที  เข้าตำราคนแก่พูดยาวอะค่ะ  : )

ฝากบอกคุณเจี๊ยบด้วยนะคะว่าเขียนบันทึกได้น่ารักจัง    ดิฉันจะแวะเวียนไปเยี่ยมเป็นระยะๆ   อ่านที่คุณแผ่นดินเล่าเรื่องงานแล้วรู้สึก เข้า ใจ ชะ มัด  เลยค่ะ เพราะเราอยู่ในมหาชลาลัยเหมือนกัน : )   งานคล้ายๆกัน   ถ้าทุ่มเททำก็จะหนักอึ้งเป็นโอ่งมังกรอยู่บนบ่าเรา   ถ้าเราวางลงและไม่ใส่ใจเสีย  ทำได้ประมาณสิบห้านาที(รวมเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน)  เราก็จะรู้สึกผิด  ต้องยกโอ่งมาวางบนหลังให้หนักอึ้งต่อไป  ตามแบบข้าราชบริพารที่ดี     เฮ้อ....  นึกแล้วก็กลุ้มใจตัวเอง  แต่ถ้าเราเป็นคนแบบไหน  เราก็เป็นคนแบบนั้นแหละค่ะคุณแผ่นดิน 

งั้นก็เป็นแบบที่เราเป็นกันอยู่นี่แหละนะคะ  : )    หนักหน่อย  แต่ก็สุขใจ(แบบหนักๆ)ดี  เหมือนที่น้องเจ้าของจดหมายเขายืนยันมากับคุณแผ่นดินนั่นไงคะ  ดิฉันประทับใจเหลือเกิน  อยากเข้าไปตอบแต่ยังรอๆเพราะเกรงว่าจะยาวเกินสามหน้าบันทึก  (เขียนยาวล้ำหน้าเจ้าของบันทึกนี่จะโดนปรับฟาวล์รึปล่าวคะ)

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าดิฉันก็จะมีหลานชาย (ลูกของน้องชายแท้ๆ) แล้วค่ะ  และได้ข้อคิดสำคัญเรื่องการฝึกหลานตัวน้อยให้มีสายรากท้องถิ่นยึดโยง จากวิธีที่คุณแผ่นดิน สอนลูก   ดิฉันพูดภาษาใต้ไม่เก่งค่ะ  เพราะที่โรงเรียนพูดกลาง  ที่บ้านพ่อกับแม่ก็พูดกลางกับดิฉันกับน้อง  เสียงภาษาใต้ของเราจึงเหน่อสุดยอด    พูดทีไรเพื่อนๆก็ล้อเอาทุกที  เลยไม่ค่อยพูด  พอโตเลยพูดไม่ได้  แล้วก็เลยเสียโอกาสในความเป็นคนใต้ไปหลายเรื่อง    อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องความเข้าใจ"ความหมาย"อันลึกซึ้งสนุกสนานของคำใต้  น่าเสียดายที่ตอนเด็กๆเราไม่ค่อยพยายาม  ตอนโตเลยเหน่อได้ใจจริงๆ  : ) 

เณรน้อยเนปาลเป็นตัวอย่างที่ดีของความพยายามนะคะ  และเบิร์ดก็อธิบายขยายความได้น่าประทับใจเช่นเคย    ท่านมาอยู่กับคนไทย  ท่านก็พยายามฟัง  จำ อ่าน และพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา   เพื่อนๆสามเณรของท่านก็เป็นเด็กใต้แท้ๆ  ตอนนี้เณรน้อยทั้งหลาย  สามารถพูดกลางได้สำเนียงทองแดงชัดแจ๋วเหมือนเพื่อนๆของท่านเปี๊ยบเลย  น่ารักชะมัดอะค่ะ  : ) 

ขอบพระคุณสำหรับพรปีใหม่ที่ทำให้ใจมีพลังนะคะ  ขอคุณพระอำนวยพรให้คุณแผ่นดิน และครอบครัวมีความสุขมากๆ  ขอให้น้องแดน น้องดิน มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ  และเป็นลูกๆที่น่ารักของคุณพ่อคุณแม่ตลอดไปค่ะ  : )

สวัสดีค่ะคุณแอมป์

  • มาอมยิ้มๆ กับกิจกรรมน่ารักของครอบครัวนี้ค่ะ
  • คุณพ่อคุณแม่น่ารักจังเลยค่ะ  เข้าใจสอนนะคะ
  • เอประโยคนี้ควรจะปรับใหม่นะคะค่ะ "โดยไม่โอกาสรู้มาก่อนเลยว่าจะต้องมาเจอกับครอบครัวดิฉัน" จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าจะโชคดีมากๆ กว่าออกค่ะที่มาเจอกับครอบครัวนี้
  • น่าจะเหมาะมากกว่าค่ะ  ถ้าเณรเหล่านั้นจะเรียกคุณพ่อคุณแม่ของคุณแอมป์ว่า "พ่อครู และ แม่ครู"  ด้วยเหตุผลจากประโยคนี้ล่ะค่ะ  "สำหรับ....คนเป็นครูแล้ว.....   การได้เห็นพัฒนาการแบบก้าวต่อก้าวของ”ลูกศิษย์” ถือเป็นเรื่องน่าชื่นใจนัก"
  • มาร่วมชื่นชมค่ะ  ขอบคุณค่ะกับเรื่องราวน่ารักในจิตใจ
  • พี่แอมป์ครับ
  • น้องมายิ้มๆ
  • ในฐานะครูภาษา
  • ชอบการเรียนรู้แบบนี้
  • เป็นการเรียนจริง
  • เป็นธรรมชาติมากเลยครับ
  • ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะน้องแอน

เราสวนกันหลายทีแล้ว  คุ้นเคยแล้วเนอะ  พี่ขออนุญาตเรียกน้องแอนไปเลยนะคะ     พี่เป็น ม.6 รุ่นแรกอะค่ะ  ประมาณว่าเป็นรุ่นยายแล้ว  อิอิ (ถาม อ .ขจิตดูได้)   ถ้านับรุ่นผิดเดี๋ยวเราค่อยมาเรียงพี่เรียงน้องกันใหม่กันอีกทีเนอะ  พี่ชอบชื่อนี้มานานแล้วค่ะ  Lioness_ann   ได้อารมณ์ลุยๆห้าวหาญแบบสุภาพสตรีดีชะมัดเลย  ลูกศิษย์ขนานนามเหรอคะ  : )

ขอบคุณที่น้องแอนแวะมาค่ะ  และเชื่อว่าน้องแอนคงเข้าใจความรู้สึกเก้ๆกังๆเวลาสอน น้องเป็นครูในเสป็คพี่แอมป์เลย  เห็นครูที่ทุ่มเททำเพื่อเด็กด้วยหัวใจทุกครั้ง  พี่มีความสุขและมีกำลังใจขึ้นมากๆๆๆๆเลยจ๊ะ  แอนเก่งภาษาอังกฤษนะคะ   ของพี่แบบว่างูกับปลายังเมิน  แต่พ่อกับแม่พี่สนุกสนานกันมาก  แบบอังกิดผิดๆถูกๆของ อ.ป้าเจี๊ยบ(รสสุคนธ์)เลยอะค่ะ   พอดีว่าเณรน้อยท่านให้ความร่วมมือดีมาก  เลยประคองกันมาได้จนทุกวันนี้ 

เดี๋ยวนี้พี่แอมป์เก่งราชาศัพท์ขึ้นเยอะเลยจ๊ะแอน  อิๆๆๆ : )

ขอบคุณมากๆที่แวะมานะคะ  ขอให้น้องแอนมีความสุขมากๆและสมหวังในทุกสิ่งที่ตั้งใจไว้ในปีใหม่นี้นะจ๊ะ  : )

 สุขสวัสดีปีใหม่ครับพี่แอมป์ ขอให้พี่และครอบครัวมีความสุขตลอดไปครับ

 

สวัสดีค่ะน้องขจิต

  • ขอบคุณนะจ๊ะที่มายิ้มให้พี่ตั้งสองทีแน่ะ  ปีจะใหม่นี้พี่แอมป์ก็รู้สึกอารมณ์ดีไปล่วงหน้า  เพราะเป็นปี  สอง ฮ่า ฮ่า หนึ่ง    คือว่า ฮ่า แล้วไม่ ศูนย์ อย่างปีที่(จะ)ผ่านไปนี้อะค่ะ  อิๆๆๆ
  • ในฐานะครูสอนภาษา  พี่ก็ขอบอกว่ากลุ้มใจชะมัดเลยจ๊ะ  พี่อยากให้ท่านได้เจอครูเก่งๆที่เข้าใจว่าจะสอนท่านยังไง  เณรน้อยจะได้ไม่เสียเวลา  ทรงพระงงกับภาษาปะกิตบ้านพี่
  • แต่แม่พี่ก็ปลอบใจอย่างเป็นธรรมชาติว่า  เราสอนให้ท่านรู้ภาษาไทยนาลูก  ไม่ได้สอนให้เก่งภาษาอังกฤษ  เออแฮะ.... จริงของแม่  พูดอีกก็ถูกอีก  
  • พี่แอมป์เลยหายกลุ้ม  ในเวลาเพียงสิบห้าวินาทีเท่านั้น : )
  • ขอบคุณมากเช่นกันจ้า  ขอให้น้องกามนิตเอ๊ยน้องขจิต  มีความสุขมากๆในปีใหม่นี้และเป็นที่ประทับใจของท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีตลอดไปจ๊ะ : )

ขอบคุณมากๆค่ะน้องพอล เอ๊ยน้องวิลเลี่ยม  : )  คือพี่แอมป์ยังติดภาพท่านเซอร์ฯอยู่เลยอะคะ 

น้องถ่ายรูปได้อารมณ์ของภาพมากเลยนะคะ  เอ...  พี่จะพูดยังไงเนี่ย  (ถ่ายภาพได้อารมณ์ของรูป !!??...) คือที่แน่ๆ  พี่รู้สึกว่าทุกภาพมีอารมณ์ และสื่อความหมายอะค่ะ   ไม่แบนๆและบ้านๆอย่างภาพดิ-จิ-ต้อน ของพี่   สงสัยวันหลังต้องหัดมั่งแล้วค่ะเนี่ย

ขอบคุณมากๆสำหรับคำอวยพร และบัวขาวที่ดูแล้วสงบเย็นดอกนี้นะคะ   พี่นึกถึงประโยคนี้เลย  "บัวน้อมนำ ธรรมรักษา"  เห็นแล้ว ชื่นตา เย็นใจ ค่ะ
ขอบคุณมากๆอีกที  และขอให้โชคดีปีใหม่เช่นกันนะคะ น้องวิลเลี่ยม
: )

  • สวัสดีปีใหม่ค่ะ
  • ตอบเมล์แล้วนะคะเอแล้วใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันละคะ แล้วจะส่งโปสการ์ดไปให้นะคะ
  • สวัสดีปีใหม่ด้วยความเขินน่าดูเลยค่ะ  เพราะเรียงตัวเองเป็นพี่ และเรียงพี่เป็นน้องอย่างมั่นใจ จนออกนอกหน้า (ไปก่อนหน้านี้ในบันทึกของพี่อ๊)   ขออภัยอย่างยิ่งนะคะ  นี่ขนาดอุตส่าห์ใส่แว่นเพ่งรูปเท่ๆของพี่ แบบเพ่งแล้วเพ่งอีกนะคะเนี่ย....  พี่ดูอ่อนวัยและสดใสมากนะคะ 
  • ของแอมแปร์เป็นรุ่นน้องพี่ปีเดียวเองอะค่ะ   แต่แทนตัวเองว่าพี่ไปเรียบร้อยแล้ว งั้นเรามาเรียงพี่เรียงน้องกันใหม่ก็ได้ค่ะ  จะได้ตรงตามสูติบัตร  อิอิ  : ) 
  • ขอบพระคุณสำหรับพรปีใหม่และโปสการ์ดนะคะพี่อ๊อต  ขอให้พี่มีความสุขมากๆในปีใหม่นี้เช่นกันนะคะ    : )    : )

สวัสดีครับ....

ดีใจที่ได้เห็น "ตัวเอง"  กลับมาอ่านบันทึกนี้อีกครั้ง ..

ผมเพิ่งมาถึงนครศรีธรรมราชในราวเที่ยงวัน   นั่งรถไฟชั้นสามมากับน้องนิสิตเกือบสองร้อยคน... สนุก  แต่ก็เพลียจนแทบ "ถอดใจ" ...  ส่วนตัวอยากจะตีตั๋วนอนก็ไม่กล้า  (รู้สึกผิด)  เพราะรู้สึกว่ามันจะเป็นการตัดช่องน้อยแต่พอตัว   อยากจะทานอะไรก็ไม่ได้ทาน  เพราะต้อง "อดข้าว"  ร่วมกับนักมวยของตนเอง ...

..................

ถ้าทุ่มเททำก็จะหนักอึ้งเป็นโอ่งมังกรอยู่บนบ่าเรา   ถ้าเราวางลงและไม่ใส่ใจเสีย  ทำได้ประมาณสิบห้านาที(รวมเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน)  เราก็จะรู้สึกผิด  ต้องยกโอ่งมาวางบนหลังให้หนักอึ้งต่อไป 

......

 

ผมนั่งอ่านถ้อยสังเกตข้างต้นนั้น   ยังผลให้ผมรู้สึกผ่อนคลายที่มีคนเข้าใจและเห็นใจในวิถีของผมที่กำลังเผชิญชะตากรรมเหล่านี้อย่างแสนสาหัส ...

ผมรู้สึกผิดเสมอหากจะไม่ต้องแบกรับอะไรสักอย่าง  สถานะของตนเองไม่จำเป็นต้อง "ลุย"  ถึงขั้นนี้   เราสามารถตรวจงาน, ตามงาน  และสั่งงานได้อย่างชอบธรรม  แต่ถ้าไม่ "ทำ"  ร่วมกับลูกน้องเสียบ้าง  ก็รู้ดีว่าตนเองจะรู้สึกผิดอย่างไม่รู้จบ...

ผมเติบโตมาจากการเป็นลูกน้องที่ทำงานหนัก   วันที่มาเป็นหัวหน้าจึงเข้าใจหัวอกของลุกน้องอยู่มาก  มีงานที่ไหนมีอันต้อง "มาเบิ่ง มาแนม"  ... ไม่ใช่มาจับผิดแต่หมายถึงมาติดตามดู - ตดตามให้กำลังใจ

ทุกครั้งที่ทำงาน,  ผมจะรู้สึกหนักราวกับว่าแบกกระสอบใบใหญ่ ๆ  อยู่เสมอ  แต่ก็จะพูดกับทีมงานเสมอเช่นกันว่า  "กระสอบใบใหญ่ใบเดียวนี้  แบกคนเดียวในหนัก   การมีคนมาช่วยแบกก็เป็นการช่วยผ่อนแรง  ทำให้เราถึงจุดหมายได้เร็วและสมบูรณ์" ขึ้น

.....

ผมพยายามถามตนเองบ่อยครั้งง่า "สมดุล"  ของชีวิตอยู่ตรงไหน   แต่ที่สุดแล้ว  ผมก็ค้นพบซ้ำซากเหมือนเดิมนั่นคือ   งานของผม,  ไม่มีเวลาแน่นอนตายตัว  และหลายงาน หรือเกือบทุกงานถูกกำหนดด้วยปัจจัยภายนอกแทบทั้งนั้น   เช่น นิสิตมักจัดกิจกรรมในช่วงเย็นไปจนดึก เสาร์ และอาทิตย์ก็จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ,  ...

เมื่อเป็นเช่นนั้น  เราจึงต้องปล่อยให้ชีวิตไหลไปกับปัจจัยเหล่านั้น  เวลาส่วนตัวจึงไหลไปรวมอยู่กับการงานอย่างถี่ยิบ ...

......

 

วันนี้ผมเพิ่งได้รับของขวัญวันปีใหม่จากคุณเจี๊ยบ   ซึ่งตั้งแต่ส่งท้ายปีเก่ามาถึงวันนี้เรายังไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน   เพิ่งมาเจอกันสั้น ๆ ในวันนี้  ... และเธอก็ซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง

ในหนังสือเล่มนั้น  ระบุว่าเป็นของขวัญวันปีใหม่ ... และก่อนหน้านี้เธอก็เปรยบอกว่า "พักผ่อนบ้างนะ..."  มาวันนี้หนังสือเล่มนี้ก็มีความนัยในชวนคิดไม่น้อย

เธอเขียนในทำนองว่า  "ความสุขของผู้หญิง แท้จริงคือ ครอบครัว..."  ผมไม่สู้เข้าใจนัก  และยังได้ถามเธอ   แต่หลังเสร็จสิ้นภารกิจกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยแล้ว   ผมอาจจะตัดใจลาจาก "เก้าอี้" (อันที่จริงก็ยื่นไปแล้ว ..แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ)  หรือไม่ก็ลาพักร้อนจริง ๆ เสียที   หอบครอบครัวไปที่ไหนสักแห่ง  ที่ผมมีเวลาให้กับพวกเขาโดยที่ไม่มีเรื่องของงานวิ่งติดตามไปด้วย

....................

ผมต้องขออภัยที่พร่ำบ่นอย่างเป็นส่วนตัวในบันทึกนี้นะครับ

 

สวัสดีด้วยความดีใจน่าดูอีกครั้งค่ะคุณแผ่นดิน

ดีใจจังเลยที่คุณแผ่นดินมานครศรีฯ  คุณเจี๊ยบมาด้วยใช่มั้ยคะ   เข้าใจว่ากีฬาบางประเภทก็มาแข่งที่ราชภัฏนครฯด้วย   รบกวนเช็คเมลสักนิดนะคะ  เผื่อมีจังหวะได้พบกัน  : )

ดิฉันรักที่คุณเจี๊ยบบอกคุณแผ่นดินจังเลยค่ะ    ที่ว่า "ความสุขของผู้หญิง แท้จริงคือ ครอบครัว..."  คุณเจี๊ยบคือคนของความรัก(ของคุณแผ่นดิน)อย่างแท้จริง.....

อ่านความเห็นที่คุณแผ่นดินเขียนเล่าอย่างจริงใจนี้   ทำให้ดิฉันเห็นตัวเองชัดแจ๋วเลย  ดิฉันก็ไม่ใคร่แน่ใจเหมือนกันว่า "สมดุล" นั้นอยู่ตรงไหน  รู้แต่ว่าถ้าเป็นหน้าที่ ก็ต้องรับผิดชอบสูงสุด  สูงสุดอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน  รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ทำงานเป็นทีม  ".....เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน  อดก็อดด้วยกัน"   และจะไม่ทิ้งทีม  ไม่ทิ้งกันเป็นอันขาด  ....เพราะถูกฝึกมาแบบนั้น....

สงสัยว่าเราจะถูกฝึกมาเหมือนกันกระมังคะคุณแผ่นดิน  : )   ดิฉันเลยนึกยิ้มในใจว่าต่อให้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง  หรือเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆแค่ไหน  เราก็จะงอนได้ไม่เกินสิบห้านาที  จากนั้นเราก็จะยกโอ่งมังกรหนักอึ้งมาแบกกันต่อไปเป็นที่สนุกสนาน....  เพราะถูกฝึกมาแบบนั้น.....   : )

คุณแผ่นดิน รักงานและมีอุดมการณ์แรงกล้ามากกว่าดิฉันมากมายหลายเท่านักนะคะ     แม้จะมีโลกส่วนตัวสูงคล้ายๆกันอย่างนี้   คุณแผ่นดินยังสามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงไป  เพื่อทุ่มเททำงานและกิจกรรมร่วมกับน้องนิสิต  และอยู่ร่วมกับคนหมู่มากได้  ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมนัก  หัวหน้าที่ทำงานหนัก เคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกน้อง  จะได้ "ใจ"ของลูกน้องไปเต็มๆ  และสิ่งที่คุณ แผ่นดินทำให้เห็น  ก็จะซึมซับเข้าไปในหัวใจของน้องนิสิต  วันนี้เขาเห็นตัวแบบอย่างไร  วันหน้าเขาก็จะไปทำแบบนั้นในพื้นที่ของเขาเอง 

เราฝึกคนไปอย่างไร  (โดยมาก...) เราก็จะได้คนแบบนั้น   กิจกรรม"สร้าง"คนได้จริงๆ  ดิฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าเด็กที่ทำกิจกรรม  โดยเฉพาะเด็กองค์การฯ  จะเกิดวุฒิภาวะบางอย่าง  และเขาจะไม่กลับไปเป็น "เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว" อีกต่อไปแล้วไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม......  เพราะเขาถูกฝึกมาแบบนั้นกระมังคะ...  : )

งานที่คุณแผ่นดินทำ สร้างคนได้อย่างลึกซึ้งและเข้มข้นกว่างานที่ดิฉันทำในห้องสี่เหลี่ยมหลายเท่านักนะคะ     และไม่ว่าเราจะทำ "งาน" ในที่ทำงาน อย่างทุ่มเทเพียงไหน   หาก"งาน"ของครอบครัว เราก็คงละไปไม่ได้เช่นกัน 

และดิฉันก็ได้เห็นว่าอย่างน้อยๆ หัวใจของคุณแผ่นดิน  ก็ยังอยู่กับครอบครัวเสมอ    แม้ว่าตัวจะต้องเดินทางไป   แต่หัวใจก็ยังวิ่งกลับบ้านทุกครั้ง   (ดังปรากฏให้อ่านอย่างน่าชื่นใจในหลายบันทึก  ทำเอาหลายท่านคิดถึงบ้านไปด้วย)  ดิฉันเชื่อว่าเจ้าตัวน้อยของคุณ แผ่นดิน เขาเข้าใจคุณพ่อนะคะ  เพียงแต่อยากให้คุณพ่ออยู่บ้านบ่อยขึ้นอีกนี้ดนึงเอง  : )
  
สุดท้ายนี้ขอเอาใจช่วยให้คุณแผ่นดินได้ "สมดุล"ของหัวใจ กลับคืนมาเร็วๆนะคะ 

ถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง..
มีพลังมากแค่ไหน
กับการเดินทางอันแสนไกล
เพื่อใคร ๆ ..ที่ไช่ครอบครัว...

......

ตอบตัวเองทุกครั้ง
มีพลังอย่างล้นตัว
พร้อมเสมอกับหมอกมัว
ไม่ขลาดกลัว... เพราะ "ข้างหลัง" ยังเคียงใจ

......

ขอเวลาอยู่อย่างไม่รู้จบ
สิ้นสนามรบจะเคียงใกล้
ให้คนของหัวใจ
ได้ละมุนละไม...เลิกรอคอย

.....

แต่สนามรบ,  ไม่รู้จบ  
คำสัญญาจึงพานพบความว่างเปล่า
แต่ความเข้าใจระหว่าง "เรา" ....
ยังเหมือน "ขุนเขา"   อันสูงใหญ่

.......

 

 

P  สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณ แผ่นดิน
(และดีใจเหมือนกันทุกครั้งเลยค่ะ)

พรุ่งนี้พิธีเปิดกีฬาฯแล้วซินะคะ คุณแผ่นดินกับคุณเจี๊ยบยุ่งน่าดู   ของดิฉันอดไปมวล.เพราะต้องเตรียมงานของ มรภ. ที่จะจัดติดกัน 4 วัน (9-12 มค.)
ชีวิตนี้บทจะมีอะไรให้ทำ  ก็มีมาเยอะจริงๆ

คุณแผ่นดินสื่อความรู้สึกได้ละเมียดละไมจังเลยค่ะ  ดีจัง... นึกถึงที่เบิร์ดบอกทุกที ว่าสามหนุ่มแห่ง G2K (คุณแผ่นดิน น้องเอก และคุณคติ) มีวิธีการสื่อสารที่ละเอียดอ่อนและละเมียดละไมคล้ายๆกัน 

สื่อสารได้นุ่มนวลออกอย่างนี้ "คนของหัวใจ"ของคุณแผ่นดินน่าจะรอคอยอย่าง"เข้าใจ" เหมือนวรรคสุดท้ายของลำนำที่แสนงดงามของคุณแผ่นดินนะคะ  

สนามรบไม่เคยจบสิ้นเลยค่ะคุณแผ่นดิน  ดิฉันเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยสาวๆ  เข้าสมรภูมิเมื่อไหร่ก็ได้ออกแรง(ทั้งกายและใจกันทุกครั้ง)    นึกแล้วก็ขำตัวเองจริงๆ  มีอยู่วันหนึ่งที่เหนื่อยถึงขีดสุด  ดิฉันกระโดดขึ้นรถขับปรู๊ดเดียวถึงบ้าน  บอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว  วันนี้จะนอนร้องเพลงให้สบายใจสักยี่สิบสามเพลง   (คือปกติแล้วดิฉันร้องไม่ค่อยจบซักกะเพลง)

พ่อกับแม่ที่นั่งทานข้าวเย็นกันอยู่ก็ถามอย่างสงสัยว่า "ทำไมวันนี้รีบกลับจัง?" คือตอนนั้นสี่โมงครึ่งแล้ว
(พ่อกับแม่ดิฉันทานข้าวเย็นเร็ว) 

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น    ธรรมดาดิฉันจะไม่ปล่อยให้ใครถือสายรอ   แต่วันนั้นดิฉันเหนื่อยชะมัด   แต่คนโทรฯก็ยังรอจนดิฉันทนไม่ไหว  ต้องรับสาย

สาวน้อยปลายสายส่งเสียงน้อยอกน้อยใจว่า"จารย์ขา... พวกหนูกำลังจัดเวที  คืนนี้งานใหญ่  พิธีกรรออาจารย์อยู่ค่ะ   พวกหนูอยากพูดให้อาจารย์ฟังก่อน  อาจารย์ติดธุระเหรอคะ  พวกหนูรอตั้งเกือบชั่วโมงแล้วอะค่า  อาจารย์อยู่หนายค้า...."

ดิฉันใจหายวูบเลยค่ะ  เพราะรับปากเด็กๆไว้จริงๆ  แต่ยุ่งจนลืม  ตอนบอกแม่กับพ่อเสียงอ่อยๆว่าต้องเข้าไปราชภัฏอีกที พ่อกับแม่ก็ดูจะเข้าใจและรู้ว่าดิฉันเหนื่อยสุดขีด
 
พ่อบอกว่า "ทำอะไรได้ก็ทำเถิดลูก สิบปีน่ะแป๊บเดียว"
แม่บอกว่า "ทำๆไปเถอะลูก  เดี๋ยวดีเอง"

พอแก่ๆแล้วนี่ดิฉันก็เห็นจริงอย่างที่พ่อกับแม่พูดค่ะคุณแผ่นดิน  ที่พ่อพูด ก็ตรงและจริงดังนั้น ยิ่งเราใส่ใจและตั้งใจทำมากเท่าไหร่  ก็ดูเหมือนกับว่าเวลาที่มีให้จะน้อยนิดไม่ทันใจ  อาจเป็นเพราะเราอยากให้เห็นผลเร็วๆ  เวลาที่นานๆเลยดูเหมือนแป๊บเดียวนะคะ  ยิ่งปีนี้ดิฉันยิ่งรู้สึกว่าปีใหม่ปีที่แล้ว  เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน  จู่ๆก็ปีใหม่อีกแล้ว  เร็วจริง.....

ที่แม่พูดก็ได้อารมณ์ชะมัด  ดิฉันมานึกดูแล้วก็ชอบใจ  แม่พูดอะไรแบบบ้านๆ ตรงๆไม่ตกแต่ง ทุกอย่างที่เราทำและคิดว่าดีเสมอนั้น  ถึงเวลาหนึ่ง  เพื่อนเข้ามาทำ  เขาก็ไม่ทำอย่างที่เราอยากให้ทำ  แต่เขาก็จะทำอย่างที่เขาคิดว่าดี   เหมือนเราเปี๊ยบ   ถ้าไปคาดหวังอะไรๆจะได้อย่างใจเราทุกครั้งก็คงเวียนหัวน่าดู (บอกตรงๆว่าดิฉันก็เวียนหัวไปหลายหนเหมือนกัน)

แต่ถ้าทุ่มเททำไปให้ดีที่สุด  หากไม่ผิดวิธีเกินไป  ก็คงมีอะไรดีๆเหลือติดไปบ้าง  ดีกว่าละหรือท้อเสียไม่ทำอะไรเลย  ดังนั้นก็ทำไปเถิด...เดี๋ยวดีเอง  คงเหมือนที่แม่ว่า

วันนั้น  ดิฉันก็เลยยิ้มออกและกระโดดขึ้นรถขับปรู๊ดกลับไปราชภัฏอย่างสง่าผ่าเผย  และร้องเพลงในรถจบไปตั้งหลายเพลง คือแบบว่าร้องข้ามๆผิดๆถูกๆไปบ้าง  คงไม่กระไร....  เพราะดิฉันร้องเองฟังเอง    อิอิ

เล่าสู่กันฟังนะคะคุณแผ่นดิน  เขาว่าคนแก่พูดยาวน่ะจริงเป็นแน่แท้เลย  แต่ไหนๆเล่าแล้ว...ก็ไหนๆเล่าเลยละนะคะ    : )      ถ้าพอมีเวลา รบกวนคุณแผ่นดินเช็คอีเมลนิดนะคะ   ดิฉันส่งไปเมื่อวาน  เผื่อมีจังหวะเจอกันค่ะ  

ขอเอาใจช่วยให้งานของคุณทั้งสองราบรื่นด้วยดีนะคะ  : )

สวัสดีค่ะน้องแอมแปร์ โอ พี่มาที่นี่ช้ามากๆค่ะ เลยเพิ่งได้หัวเราะกับเรื่องราวแสนน่ารักนี้ เนี่ยผลของการที่พี่ไม่ได้นำทุกบล็อกของอาจารย์ไปไว้ในแพลนเน็ต มีอยู่แค่บล็อกเดียว ทำให้พี่ได้อ่านแต่บล็อกนั้น ตอนนี้นำบล็อกนี้ไปรวมไว้ด้วยแล้วค่ะ

ไม่เป็นไร ของดี ไม่เน่าไม่เสีย มาอ่านเมื่อใดก็ยังมีความสดใส มีสาระชวนคิดเสมอๆ

น้องแอมแปร์ทำบุญมาดีนะคะ ครอบครัวน่ารัก อบอุ่น และยังประโยชน์ให้สังคมไร้ขีดจำกัด เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ

เณรน้อยช่างน่ารักและโชคดีที่ได้มาให้ครอบครัวของอาจารย์ได้รับความสุข ความเพลิดเพลิน จากการได้เป็นผู้ให้ และร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันค่ะ

P  สวัสดีด้วยความระลึกถึงยิ่งค่ะพี่นุช

ดีใจจังพี่นุชแวะมา  : )  ขอบพระคุณพี่นุชมากค่ะสำหรับถ้อยคำที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเสมอ  ของแอมแปร์ช่วงนี้งานยุ่งจนไม่ได้แวะเข้ามาสื่อสารกับใครเลย  ได้แต่อาศัยเวลาน้อยนิดอ่านกวาดสายตาปร๊าดๆอย่างรวดเร็ว    มีบันทึกดีๆน่าอ่านน่าตอบจำนวนมากผ่านตาไปอย่างน่าเสียดาย  รวมถึงบันทึกพี่นุชด้วยค่ะ  แอมแปร์ก็ได้แต่อ่านอย่างว่องไว  และหมายใจว่าให้งานซาลงสักนิด  จะได้เข้ามาสื่อสารอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ

ช่วงนี้มีสามเณรบังลาเทศเข้ามาเรียนเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ  ท่านพูดภาษาอังกฤษได้ดี  คุยกันเมื่อยมือหนักกว่าเดิม  ทำให้ที่บ้านต้องยกดิกชันนารีมาวางตรงหน้า ท่านจะเซย์เอ๊ยจะพูดอะไร ก็ให้ท่านเลือกชี้ตรงคำที่ท่านว่า....จะได้สิ้นพระสงสัย  หายฉงนฤทัย กันไปเลย  .........    : )

...อิอิ    เก่งภาษาอังกฤษน้อยไปหน่อย  ก็เลยเมื่อยมือกันถ้วนหน้ายังงี้แหละค่ะพี่นุช...

น่ารักจังเลยค่ะพี่ เรื่องนี้ทำให้หนูอมยิ้มก่อนนอน ขำบุตรมัจฉามรณานี่ล่ะ แถมท้ายด้วยรูปประโยคที่ทำให้คุณพ่อพี่ต้องสะดุ้ง ดีนะคะที่คุณพ่อมีลูกแค่สองคน ถ้ามีสามหรือสี่นี่ท่าจะยุ่ง : )

หวัดดีจ๊ะซาน

พี่แอมป์ก็อมยิ้มก่อนนอนด้วยความดีใจที่น้องแวะมา  แล้วก็หัวเราะกิ๊กอีกสามทีเลย  เพราะรูปซานเฮ้วมาก  น้องทีมเห็นแล้วไม่แซวอาซานมั่งเหรอเนี่ย  อิๆๆๆ

วันก่อนพี่อ่านบันทึกทัวร์ลาวของซานด้วยความสนุกสนานอย่างเร็วปรื๊ด แต่งานยุ่งสุดขีดจนไม่มีแรงโพสต์   รอบนี้เรื่องหนังสือของน้องก็น่าตอบมากๆเลยจ๊ะ  ให้โล่งๆอีกหน่อยแล้วพี่จะแวะไปภูมิใจเสนอมั่ง  พี่ว่าน้องทีมโชคดีชะมัดเลยนะจ๊ะที่ครอบครัวปลูกฝังเรื่องอ่านหนังสือ  เด็กๆเดี๋ยวนี้เสียโอกาสในการ "จินตนาการผ่านถ้อยคำภาษา" ไปเยอะเลย  

ส่วนเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญานี่  มีเวอร์ชั่นให้สะดุ้งอีกหลายกลับ  แบบว่าออนแอร์ไม่ได้  โดนใบแดงเลยอะน้อง  อิๆๆๆๆ

คิดถึงนะคะ แวะมาอ่านบันทึกนี้แล้วดีใจที่มี GotoKnow ทำให้เราได้อ่านเรื่องดีๆเมื่อเรามีเวลา แม้จะพลาดไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยสายไปเลย ชื่นชมครอบครัวน้องแอมแปร์จังเลยค่ะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านจึงสร้างคนละเอียดอ่อนแบบน้องแอมแปร์มาได้ สื่อได้จากบันทึกนี้ว่า ท่านสอนจิตวิญญาณดีๆผ่านการกระทำของท่านทั้งสองนั่นเองค่ะ ดีใจจังที่เณรน้อยทั้งหลายก็คงได้รับรู้และฝังลึกในตัวพวกท่านไปบ้าง

ขอบคุณนะคะ ต้องบอกอีกครั้งว่า น้องแอมแปร์เป็นคนที่เขียนสื่อสารได้ดีเหลือเกินค่ะ ทุกตัวอักษรมีค่ากับการใส่ใจจริงๆ

สวัสดีด้วยความคิดถึงค่ะพี่โอ๋

ขอบพระคุณมากค่ะพี่โอ๋สำหรับกำลังใจที่พี่โอ๋มีให้ทุกครั้ง ประโยคสุดท้ายทำให้แอมแปร์รู้สึกดีใจไชโยอย่างไม่ปิดบัง  แม้ว่าหลายๆครั้งแอมแปร์จะสามารถเขียนให้ตัวเองอ่านแล้วยังงงเองได้  แต่ก็ยังดีใจว่ามีพี่ที่เข้าใจและเป็นเหมือนเรานะเนี่ย  : )    : )

แอมแปร์ได้เรียนรู้เรื่องครอบครัวจากการสอนสามเณรหลายเรื่องค่ะพี่โอ๋  เพราะเป็นครั้งแรกที่แอมแปร์กับพ่อกับแม่ ได้แสดงบทบาท"ครูสอนภาษาไทย"พร้อมๆกันในบ้าน  โดยมีสามเณรองค์น้อยๆนั่งฟังตาปริบๆอย่างน่าเอ็นดู 

แอมแปร์เป็นครูสอนภาษาไทยโดยเฉพาะ ก็จะสอนอย่างมั่นใจโดยคิดว่าขั้นตอนการสอนภาษาแบบสำเร็จรูปที่แอมแปร์คิดนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว  พ่อเป็นครูสอนคณิตศาสตร์  พ่อก็จะคิดสร้างสรรค์หาวิธีใหม่ๆมาตอบโจทย์ในการสอนภาษาเณรเนปาลอยู่เสมอ ซึ่งไม่เข้ากันเลยกับวิธีสำเร็จรูปครอบจักรวาลของแอมแปร์  ในขณะที่แม่ซึ่งเป็นครูสอนคหกรรม  ก็เริ่มด้วยการสอนคำศัพท์ภาษาไทยในบ้านด้วยวิธีการง่ายๆ  คือขนเอาถ้วยชามช้อนส้อมหม้อไหออกมาให้ท่านดู  ชี้และบอกคำภาษาไทยว่าอะไรเป็นอะไร  ยกโชว์ให้เห็นกันจะๆไปเลย   แล้วก็ฟันธงแบบงอนๆด้วยว่าอย่ามาบังคับแม่ให้สอนยากๆเชียว ...แม่สอนไม่เป็น....

หลังจากถกเถียงเอ๊ยอภิปรายกันเสร็จ  ครูสามคนก็สอนกันทะลุ่มทะลุยในแบบของตัวเอง  ท่ามกลางความอลหม่านสนุกสนานและปั่นป่วนของสามเณรองค์น้อยๆเหล่านั้น  วันหนึ่งพ่อก็บอกว่าจะหยุดเรียนหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ท่านได้พักสักหน่อยดีไหม  (คือเราคิดว่าท่านจะต้องดีใจไชโยอย่างแน่นอน)

เณรน้อยองค์หนึ่ง ที่ปกติจะนั่งเงียบขรึมด้วยท่าทางช่างคิด ก็ถามด้วยคำถามที่เราคิดไม่ถึงว่า  ....ถ้าไม่เรียน ก็ขอมาที่บ้านได้ไหม    มาเฉยๆก็ได้ท่านอยากมาบ้าน... 

แอมแปร์ก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกันค่ะพี่โอ๋ ความเป็นครอบครัวคือการให้เวลาแก่กันและกัน   ที่วัดนั้นมีคนมากและหลากหลาย จะให้ดูแลกันทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย และจะว่าไปแล้ว สามเณรน้อยๆก็ยังเล็กนัก  แล้วยังต้องจากบ้านจากครอบครัว  ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลแสนไกลอย่างนี้  เมื่อได้เริ่มต้นเรียนใน"บ้าน" ก็อาจพอทดแทนความรู้สึกคิดถึงบ้านไปได้บ้าง

บางทีสิ่งที่คนตัวเล็กๆมองเห็นนั้นละเอียดอ่อนกว่าสิ่งที่คนโตๆคิดว่าตัวเองเห็นมากนัก 

พี่โอ๋โชคดีที่สุดเลยนะคะ ที่มีคนตัวเล็กๆ(ที่บัดนี้เริ่มโตเป็นหนุ่มน้อยอย่างที่เห็นในรูป)ของพี่โอ๋เองตั้งสามคน "คนตัวเล็กๆ"นี้กระมังคะ ที่ทำให้ทุกบ้านอบอวลไปด้วยความรัก งานหลักของทุกครอบครัว  ก็คงอยู่ที่คนตัวเล็กเหล่านี้เป็นเบื้องต้น  

แอมแปร์นั่งมองชีวิตครอบครัวในรูปแบบต่างๆที่เราได้เรียนรู้ แล้วก็รู้สึกมีความสุขดีชะมัดเลยค่ะพี่โอ๋

ขอบพระคุณมากๆค่ะที่พี่โอ๋แวะมา(แล้วแอมแปร์ก็พรรณนาไปยืดยาวเช่นเคย)นะคะ : )

สวัสดีดัวยความระลึกถึงอย่างสูงเช่นกันค่ะพี่บางทราย

แปลว่าคิดถึงมากๆๆๆๆๆๆๆค่ะ  : )    แอมแปร์อ่านบันทึกหลวงพระบางของพี่บางทรายอย่างเพลิดเพลินที่สุดเท่าที่เวลาจะอำนวยให้  และยังมีความหวังว่าจะได้อ่านบันทึกจากดงหลวงแบบรวมเล่มในสักวันหนึ่งนะคะ

ปล.รูปพี่บางทรายใส่เสื้อสีชมพูในบันทึกหนึ่ง "เท่"มากเลยค่ะ : )
ส่วนรูปน่ารักๆใน tag คิดไม่ถึงของน้องกระรอกเอ๊ยน้อง
เบิร์ดนั้น amazing มากอะค่ะ  อิอิอิ

อ่านความเห็น ประจวบกับมีงานมหกรรมหนังสือฯอยู่ที่ม.อ.ตอนนี้ พี่โอ๋ไปยืนอ่านหนังสือมาหลายๆเล่มโดยไม่ได้ซื้อ มาอ่านที่น้องแอมแปร์เล่าเรื่องคุณพ่อ คุณแม่ กับสไตล์การสอนของแต่ละคนแล้ว รู้สึกว่าถ้าเป็นงานเขียนเป็นเล่ม คงจะมีคนซื้อไปอ่านกันแน่ๆเลยนะคะ น้องแอมแปร์เคยคิดจะเขียนไหมคะ จะบอกว่า ไม่ใช่แค่ได้สาระนะคะ แต่อ่านสนุก ได้อมยิ้มตามไปด้วยเสมอ แถมดูเหมือนเขียนทีไรก็เหมือนจะลื่นไหลไปได้ยาวๆ แต่สนุกทุกทีอีกต่างหาก (เป็นพรสวรรค์ที่ควรภูมิใจนะคะนี่)
สวัสดีคะน้องแอมแปร์ พี่หมูขอยกมือเห็นด้วยกับอ.โอ๋-อโณคะ เขียนเถอะนะค่ะ

สวัสดีค่ะพี่โอ๋ 

ตอนนี้ มอ.มีงานมหกรรมหนังสือเหรอคะ  ดีจังเลย  ร้านหนังสือคือสวรรค์บนดินจริงๆ  เพราะเราเลือกรูปแบบความสุขตามความชอบของเราได้  (แค่กลุ้มใจตอนจ่ายตังค์นิดหน่อยเอง)    ขอบพระคุณมากนะคะที่พี่โอ๋ให้กำลังใจ  ทำให้แอมแปร์รู้สึกดีใจหน้าบานอย่างเป็นธรรมชาติ ^ ^  และจะได้ตั้งตาเขียนสุดชีวิตต่อไป  คือพอมีบางเรื่องที่อ่านเองแล้วไม่งงเสียเองนี่....รู้สึกโล่งอกจริงๆอะค่ะ 

การเขียนนี้เป็นการสื่อสารที่สนุกไปอีกแบบค่ะพี่โอ๋  แอมแปร์ถนัดเขียนเล่าเรื่องทั่วไปในชีวิตที่บ้านและโรงเรียนอันเงียบเชียบเรียบเรื่อยของตัวเอง  (ซึ่งทุกคนก็เขียนได้)  เวลาได้เขียนอย่างเป็นตัวของตัวเองนี้ก็รู้สึกสบายอารมณ์ดีชะมัด   จากนั้นก็จะพิมพ์แจกฟรี  ขอแค่ให้มีคนหลงมาอ่านเท่านั้น  : )

พ่อเล่าขำๆว่าที่โรงเรียน(คือมหา'ลัย)นั้น    แนวคิด "คณิตศาสตร์สำหรับเด็ก" ของพ่อพูดกับใครไม่มีใครฟังเลย  (เหมือน "การรู้เท่าทันการสื่อสาร" ของแอมแปร์เปี๊ยบเลย   เพื่อนบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง  พูดอะไรก็ไม่รู้  ไปกินส้มตำดีกว่า) ^ ^      .........ตอนงานเกษียณ พ่อแจกหนังสือเล่มเล็กๆบางๆเหมาะมือ ชื่อว่า "คณิตศาสตร์สำหรับครูประถม"  พองานเลิกท่านผู้ชมก็พากันวางหนังสือทิ้งไว้ที่เดิม    พ่อเก็บกลับบ้านได้เป็นตั้ง   นับเป็นอุทาหรณ์สอนใจแอมแปร์ได้เป็นอย่างดี 

ของแอมแปร์กะว่าจะพิมพ์หนังสือ "การรู้เท่าทันการสื่อสาร" (เล่มบางกว่าของพ่อนิดหน่อย) เข้าปกอย่างดีสี่สีไว้รอท่า พอถึงวันงานเกษียณปุ๊บก็จะแจกแก้วกาแฟเซรามิกส์ใบน้อยลายเก๋สีหวานน่ารักพร้อมช้อนกาแฟอันจ้อยน่าเอ็นดู 

...แล้วมัดแก้วติดกับหนังสือ "การรู้เท่าทันการสื่อสาร" เล่มบางอย่างแน่นหนา ทั้งนี้โดยแปะกาวสองหน้าอันเบ้อเริ่ม   ผูกริบบิ้นสีทองแวววับจับพันแล้วพันอีกแบบไม่ยั้ง   ถ้าลงครั่งได้ด้วยก็จะลงเลยเชียว  ทีนี้แบบว่าท่านจะแกะๆๆๆยังไงก็ไม่หลุด 
                  ....และถ้าท่านผู้ชมรับถ้วยแล้วไม่เอาหนังสือติดไปด้วย.....

                                  ....เก๊าะให้รู้กันปายอะค่ะพี่โอ๋....   อิๆๆๆๆ
  

สวัสดีค่ะพี่หมู

ด้วยความคิดถึงมากๆๆๆเลยค่ะพี่หมู  แอมแปร์ไม่ได้แวะไปเยี่ยมบันทึกพี่หมูเลย  และหลังๆนี้ก็งานยุ่งมหาศาล ถึงบ้านก็หมดแรงพอดี  ไม่เป็นอันได้ทำอะไรๆที่แบบว่าสุน-ทะ-รี กับเขาเลย  โดยเฉพาะเรื่องเขียนบันทึก  ซึ่งต้องอาศัยอารมณ์สุนทรีย์อย่างสูง  ในบรรยากาศที่เป็นใจ......  อิอิ

ทีนี้ตอนอาบน้ำอาบท่าเสร็จ   ก่อนจะเขียนก็มานั่งเปิดอ่านบันทึกเพื่อนเพลินๆ  .....คือทีนี้ก็จะเพลิ้นเพลินกันไป    พอบรรยากาศเริ่มเป็นใจนะคะพี่หมู ......แอมแปร์ก็จะเริ่มง่วงกำลังดี   ...ตาเหลือครึ่งเดียว  ^ ^ (ส่วนยายน่ะไปแล้ว)
...
พออารมณ์สุนทรีย์ได้ที่... แบบว่าทำท่าจะกดล็อกอินปุ๊บ 

......ตาเก๊าะปิดปั๊บ  หลับไปตรงนั้นเลยค่ะพี่หมู......  อิอิอิ.....

 ด้วยความคิดถึงมากๆๆๆๆอีกครั้งนะคะพี่หมู   พี่หมูสบายดีนะคะ   แอมแปร์กำลังตะลุมบอนเอ๊ยตะลุยงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด  งานเสร็จเมื่อไหร่คงมีความสุขน่าดูอะค่ะ  : )

น้องแอมแปร์คะ มาออกความเห็นว่า อย่าลำบากขนาดที่ว่าเลยค่ะ เอามาลงวางไว้ใน GotoKnow นี่แหละค่ะ เป็นอมตะแน่ๆ และค้นคว้าหาเจอเสมอ ของดีๆบางทีก็ต้องพิสูจน์ด้วยกาลเวลาและ "จริต"ของคนด้วยค่ะ เสียดายหนังสือที่คุณพ่อเขียนด้วย พี่โอ๋ขอให้น้องแอมแปร์ช่วยเอามาลงเก็บไว้ใน GotoKnow ด้วยสิคะ scan ขึ้นไว้ก็ได้ เป็นมรดกที่ไม่ควรเก็บไว้กับตัวเราเฉยๆ คนส่วนน้อยรอบๆตัวเราอาจจะไม่เห็นคุณค่า แต่ถ้าเราสามารถทำให้สิ่งนี้แพร่หลายในลักษณะที่เป็นอมตะ หาเมื่อไหร่ก็เจอแล้วล่ะก็ ต้องมีประโยชน์กับใครสักคนแน่นอนนะคะ

เรื่องดีๆบางทีก็ต้องอาศัยทั้งจังหวะและโอกาส ถึงจะ"ได้เกิด"นะคะ คิดๆไปแล้วก็เหมือนศิลปินหลายๆคนที่เราจะเห็นว่า ออกจะมีความสามารถแต่ดังในบางกลุ่มเท่านั้น

เรื่องที่น้องแอมแปร์เขียนๆไว้ พี่โอ๋แว้บมาอ่านไม่ว่าเรื่องไหนก็ถูกใจทุกที แต่ก็รู้สึกว่ายังเก็บได้ไม่หมดเลยค่ะ เห็นไหมคะ นี่ขนาดบอกว่าชอบ ก็ยังหาเวลามาเก็บอ่านจนหมดไม่รอด มีบล็อกเกอร์อีกมากมายที่พี่โอ๋อยากจะเข้าไปตามอ่านทุกบันทึก แต่ก็ไม่มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้นสักที ได้แต่ทำใจว่า ถ้าชะตาวาสนาตรงกัน ก็จะมีอันได้อ่านจนได้ เหมือนบันทึกนี้ของน้องแอมแปร์นั่นแหละค่ะ ตามมาในช่วงที่พอมีเวลาถึงจะได้อ่าน ให้ควานกลับมาเองคงไม่ถึงสักที

คุยกับน้องแอมแปร์นี่ พี่โอ๋ก็เขียนได้ย้าว ยาว เรื่อยเลยนะคะ ไม่รู้เจอตัวเป็นๆกัน เราจะคุยกันได้อย่างนี้เหรอเปล่านะ

สวัสดีด้วยความสนุกสนานเลยค่ะพี่โอ๋

วันนี้แอมแปร์อลหม่านอยู่หน้าคอมฯ เพราะต้องค้นบันทึกเก่าไปลิงก์ให้เด็กอ่าน เลยได้แวะมาหาพี่โอ๋อีกรอบ  ล็อกอินสามหนเลยค่ะ  สนุกจัง  ^ ^    เรื่องหนังสือที่ระลึกงานเกษียณนี่แอมแปร์นึกสนุกมานานแล้วค่ะพี่โอ๋     ส่วนแก้วกาแฟที่แปะ(ผนึกอย่างดี)นั่นขอคิดดูอีกที  เพราะคนที่ได้รับของที่ระทึกคงนั่งแกะไปสวดไป  เดี๋ยวแอมแปร์เจริญลงละแย่เลย  อิอิ  

เรื่องแนวคิดคณิตศาสตร์ของพ่อนี่แอมแปร์ก็บอกพ่ออยู่เหมือนกันค่ะพี่โอ๋  ว่าน่าเขียนบทความที่อ่านเข้าใจง่ายๆ เผื่อใครที่สนใจจะได้ใช้ประโยชน์  แต่พ่อบอกว่าเขียนให้อ่านสั้นๆนั้นยากกว่า เพราะแนวคิดนี้ต่างไปจากแนวคิดที่ยอมให้เด็ก"นับนิ้วนับเลข"อะค่ะ   และพ่อเขียนบรรยายไม่เป็น(พ่อบอกนะคะ)   ต้องทำให้ดู(สาธิต)จึงจะเห็นและเข้าใจได้ทันที     แอมแปร์เองก็อธิบายไม่ถูก  แต่ชอบที่พี่โอ๋บอกว่า"ต้องมีประโยชน์กับใครสักคนแน่นอน"  ฟังแล้วรู้สึกมีกำลังใจอยากไปบอกพ่อให้พัฒนาแนวคิดอันน่าสนุกสนานนี้ต่อไป    ให้แจ่มกระจ่างกันไปเลย  พอกระจ่างแล้วทีนี้พ่อคงมั่นใจที่จะเผยแพร่อย่างเป็นล่ำเป็นสันนะคะ

ส่วนเรื่อง"การรู้เท่าทันการสื่อสาร"ของแอมแปร์นั้น  ช่างเป็นจังหวะและโอกาสอันเป็นมงคลจริงๆที่พี่โอ๋แวะไปเจิมเอ๊ยไปให้ข้อคิดในบันทึก  ทำให้แอมแปร์กล้าออกมาสื่อสารกับประชาชน และได้คุณค่าในการสื่อสารในมุมมองอื่นๆอีกมากมาย  ขอบคุณมากๆเลยค่ะพี่โอ๋   

ดังนั้นเวลาเราเจอตัวจริงกัน  หลังจากเขินกันนิดหน่อยตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว  คาดว่าอาจจะต้องจัดคิวว่าให้พูดได้คนละกี่นาทีเลยอะค่ะ    : )    

สวัสดีครับ พี่แอมป์ ฯ...

เข้ามาทักทายในยามดึกที่ล่วงเข้าวันใหม่   และผมก็ยังอยู่ในชุดทำงาน  เพราะยังไม่กลับบ้าน...

พรุ่งนี้เป็นเจ้าภาพจัดสัมมนาเรื่องประชุมเชียรืและรับน้องใหม่อย่างสร้างสรรค์  มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมเกือบ 30  สถาบัน... งานนี้ผมลุยเอง เป็นเจ้าของโครงการ  และเข็นน้อง ๆ นิสิตมาจัดกระบวนการแทบทุกอย่าง

อันที่จริงเรื่องเอกสารอื่น ๆ  นั้น นิสิตก็จัดการเข้ารูปเล่มและจัดแฟ้มเสร็จตั้งแต่เย็น ๆ แล้ว  เพียงแต่ตอนนี้นั่งทำงานเป็นเพื่อนลูกน้องที่กำลังตัดต่อวีดีโอเพื่อใช้สำหรับวันพรุ่งนี้ ...

......

สำหรับพรุ่งนี้  ผมเลยต้องหอบเอาอีกสามชีวิตตะลุยไปนอกสถานที่ด้วยกัน  และหวังว่าพวกเขาคงมีความสุขกับวันพักผ่อนในบริบทของการงานของผม ...

ครูประจำชั้นของน้องแผ่นดินเล่าให้ฟังเสมอว่า  ...

น้องดินมักเล่าให้ครูและเพื่อนฟังเสมอว่า  พ่อทำงานเก่ง  มีลูกน้องหลายคน  ทำงานไม่ได้หยุด ...และเขาก็ชื่นชมในตัวพ่อ..และอยากเป็นเหมือนพ่อ ....

ผมไม่รู้จะดีใจ  หรือเศร้าใจกับคำบอกเล่าของลูกที่มีต่อครูประจำชั้นและเพื่อนของแก   แต่ลึก ๆ ก็ดีใจที่ลูกชายในวัย 6 ขวบ กับอีก 10  วันเข้าใจความเป็นพ่อ ...

วันที่ 1 ก.พ....  เป็นวันเกิดของน้องแผ่นดิน   ผมวุ่นอยู่กับการไปให้กำลังใจชมรมศิลปะการแสดงในการแสดงละครประจำปี  ซึ่งตอนแรกน้องนิสิตมาเชิญให้เป็นประธานเปิดงาน  แต่ผมคิดว่างานใหญ่ขนาดนั้นคงต้องให้ผู้ใหญ่ไปเปิดให้  แต่ก็ไปนั่งดูให้กำลังใจอยู่พักใหญ่ ๆ ... มีผู้แทนชมรมมานั่งคุยด้วย

คืนนั้น,  น้องดินรอผมให้กลับไปเป่าเทียนวันเกิดร่วมกับเขา  ผมก็พยายามเหลือเกินกับการแบ่งเวลาอย่างจำกัด ...สุดท้ายก็บอกลานิสิตกลับบ้านในราวสามทุ่มเศษ  และการฉลองวันเกิดของแกก้เริ่มขึ้นอย่างมีความสุข....

นั่นคือเรื่อง "งานและครอบครัว" ของผม  (สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง..)

.......  ซึ่งผมก็มีความสุขดี .....เช่นเคย...

โห...พลาดการอ่าน blog ดีดีแบบนี้ไปได้ไงกัน

พี่หนิงประทับใจมากเลยค่ะ  ในชีวิตพี่หนิงเป็นคนที่ห่างวัดมากนะคะ  ทั้งๆที่มีพ่อเป็นพระครู (หลวงพ่อบวชหลังจากเกษียนอ่ะค่ะ)  แต่ถ้ามีการทำบุญอะไรพี่มักจะ เป็นฝ่ายปัจจัยไทยทาน 

พี่หนิงจะเขินๆเวลาคุยกับพระอ่ะค่ะ  ยิ่งหลวงพ่อตัวเองนี่  บางทีก็ใช้คำพูดไม่ถูกเพราะ  มองเห็นหน้าปุ๊บ  ก็พ่อเรา  ก็ลืมตัวไป นึกว่าคุยกับพ่อตัวเอง ตอนเป็นฆารวาส  พี่ก็ใช้คำทางพระไม่ถูกสักที  อิอิ

แต่เณรน้อยเนปาลน่ารักเนอะ  ทำเอาพี่นึกตามและอดนึกขำว่าเหมือนคำในละครจักรๆวงศ์ๆจริงๆแหละ

 ไม่ต้องแปลกใจนะคะ  ว่าทำไมพี่หนิงมาอ่าน blog เช้าจัง   555  ตอนนี้พี่ก็หลับๆตื่นๆ  เพราะต้องรอรับวิทยากร(ที่มองไม่เห็น)  กำลังเดินทางมาจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพอ่ะค่ะ  9-10 กพ.นี้พี่จัดโครงการอบรมอาสาสมัครผลิตสื่อสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็น ค่ะ

คาดว่าคงมาถึงมหาสารคามประมาณตีสี่ จ้า

สวัสดีด้วยความดีใจมากอีกแล้วค่ะน้องพนัส

งานยุ่งมากเช่นเคยใช่ไหมคะ  พี่แอมป์อ่านแล้วนึกภาพงานตามแล้วก็ยิ้มด้วยความเห็นใจ(และเข้าใจ)จริงๆ  โดยเฉพาะตอนที่น้องขึ้นต้นอย่างน่ารัก "เข้ามาทักทายในยามดึกที่ล่วงเข้าวันใหม่   และผมก็ยังอยู่ในชุดทำงาน  เพราะยังไม่กลับบ้าน..."  และลงท้ายอย่างได้อารมณ์ว่า "นั่นคือเรื่อง "งานและครอบครัว" ของผม  (สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง..)"

ตอนที่น้องพนัส"ทำงาน"อยู่ที่ที่ทำงานนี้ คาดว่าน้องเจี๊ยบก็ทำ"งานของครอบครัว"อยู่ที่บ้าน  ที่พี่แอมป์บอกว่าน้องเจี๊ยบโชคดีจังน่ะพี่แอมป์พูดจริงๆนะคะ 

ก็แม้แต่"วันพักผ่อนในบริบทของการทำงาน..." น้องพนัสก็ยังหอบเอา"สามชีวิต"อันเป็นสุดที่รัก"ตะลุยไปนอกสถานที่ด้วยกัน" เลยนี่คะ    อบอุ่นดีออกค่ะ
 
ไม่ว่าอะไรในชีวิตจะหนักหน่วงแค่ไหน หากคนในครอบครัว"เข้าใจ"กัน เรื่องที่หนักอยู่แล้วก็จะไม่หนักไปกว่าเดิม  พี่แอมป์เชื่ออย่างนั้น(จนออกนอกหน้า)นะคะ ..... 

ฝากสุขสันต์วันเกิดน้องแผ่นดินด้วยนะคะ  ผากอวยพรให้หลานเป็นเด็กน่ารัก  ไม่ดื้อกับคุณพ่อคุณแม่   และที่เขาชมคุณพ่อนั้น  ได้โปรดดีใจเถิดค่ะ  เพราะเด็กเล็กๆนั้นจริงใจอย่างที่สุดที่จะพูดอย่างที่เขาคิด  น่าชื่นใจจริงๆที่เขาเห็นคุณพ่อเป็นฮีโร่ในดวงใจ 

แม้คุณพ่อจะทำงานหนักและมีเวลาน้อยเหลือเกิน แต่หากเวลาที่อยู่ด้วยกัน เป็นเวลาที่มีคุณภาพ  เป็นเวลาที่ทั้งครอบครัวให้คุณค่า และให้ความสำคัญ  เวลาอันน้อยนิดที่สื่อสารกันอย่างมีคุณภาพนั้น ก็สามารถทดแทนความรู้สึกในช่วงยาวนานที่ขาดหายไปได้นะคะ 

พี่แอมป์นึกถึงคำคมนี้เลยค่ะ
             
                    ความสุขมีความสูง ชดเชยการขาดความยาวของมัน
        
                 Happiness makes up in hieght for what it lacks in length.

                                                                           Robert Frost

ขอให้น้องพนัสและน้องเจี๊ยบทำงาน  ทั้งงานที่ทำงาน และ"งานของครอบครัว"  อย่างมีความสุข  ในทุกๆวันนะคะ : ) 





ไชโย้.......พี่หนิงแวะม้า...า...า !!

  • แฮ่ะ...  ดีใจจนปิดไม่มิดด้วยความคิดถึงแบบไม่ปิดบังอะค่ะพี่หนิง : )
  • พี่หนิงเรียนหนักมากรึปล่าวคะ  เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยนี่คงเหนื่อยเอาการนะคะพี่หนิง แต่ถ้าเราได้เรียนในสิ่งที่เรารัก  เราคงเหนื่อยแบบมีความสุขน่าดู  แอมแปร์เอาใจช่วยขอให้เป็นเช่นนั้นนะคะ
  • พี่หนิงขับรถไปรับวิทยากรเองรึปล่าวคะ อูย...ตื่นตีสาม รับวิทยากรตีสี่นี่เอาการอยู่นะคะ   พี่หนิงก็งานยุ่งน่าดูเลย  
  • ไม่ทราบแถวๆโรงเรียนพี่หนิงเหมือนแถวๆโรงเรียนแอมแปร์รึปล่าวนะคะ    แบบว่ารถเรากลายเป็นรถมหาวิทยาลัย   ใช้ขนได้ทุกชนิดทั้งคนและของ  และเราเป็นคนขับรถชั้นดีที่แบก ยก  ขน และหามเองทุกอย่างอีกต่างหาก  คุณภาพสุดยอด  อิอิอิ
  • ไชโย้อีกที  เราห่างวัดเหมือนกันเลย  แต่พี่หนิงเก่งกว่าตรงที่ยังเป็นฝ่ายปัจจัยไทยธรรมอะค่ะ  ของแอมแปร์เป็นฝ่ายไม่ฝักใฝ่  อิอิ  สมัยสาวๆนั่นนานน้านถึงจะเข้าวัดที  ส่วนสมัยแก่ๆเอ๊ยสมัยนี้ก็เข้าเพราะแม่กับพ่อชวน  ถ้าไม่ชวนก็ไม่ค่อยคิดจะไป  แต่พอเข้าไปแล้วก็ได้ข้อคิดอะไรดีๆเยอะ
  • โดยเฉพาะที่พี่หนิงบอกว่า"บางทีก็ใช้คำพูดไม่ถูก" ใช่เลยค่ะพี่หนิง  แอมแปร์ก็เป็น  และช่างเป็นความลำบากใจอะไรเช่นนี้  
  • ครั้งหนึ่งแอมแปร์ถามแม่(ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าแม่จะซื้ออะไรไปให้พระ    แม่หันมาตอบเสียงดุๆว่า  "ถวาย"  ....เฮ้อ...
  • คืองี้นะคะ  แอมแปร์นึกออกแล้ว  ว่างๆจะลองทำสคริปต์บทสนทนาในชีวิตประจำวัน ระหว่างฆราวาสกับพระสงฆ์   ค่อยๆเก็บเล็กผสมน้อยไป  พอได้สักสิบยี่สิบบทก็จะพิมพ์แจกสมาชิกชมรมคนห่างวัดเหมือนกัน  จะได้มีไดอะหล็อกไว้ดูเป็นตัวอย่างมั่ง  ไม่งั้นเวลาพูดรู้สึกอึดอัดชะมัด 
  • วันหนึ่งเคยรับโทรศัพท์หลวงอา  พอท่านขึ้นต้นมาเป็นคำพระ  แอมแปร์ก็ตอบเป็นคำฆราวาสไม่ถูก  และบอกท่านไปแบบไม่ทันนึกอะไรว่า "ขอลูกช้างพูดเป็นภาษาคนได้ไหมคะ"
  •  .....หลวงอาท่านหัวเราะชอบใจเป็นอันขาดเลยอะค่ะพี่หนิง....  อิอิอิ

พี่แอมป์ขา....สวัสดีค่ะ

  • คิดถึงคุณพี่ค่ะ....เห็นเงียบไป  แต่ใจยังบ่นคิดถึงพี่นะคะ
  • งานยุ่งแน่เลย.....ดูแลสุขภาพด้วยนะคะพี่แอมป์
  • มีความสุข  สดชื่น  ในทุกๆ วันนะคะ

 Valentine

  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะน้องแอน

  • ขอบคุณน้องแอนมากๆเลยค่ะ  สำหรับดอกกุหลาบแดงช่อสวยแทนความคิดถึงในวันแห่งความรัก  และขอบคุณสำหรับคำอวยพรจากใจ  
  • "สุข  สดชื่น  ในทุกๆ วัน"   ...ทำให้พี่รู้สึกเช่นนั้นทันทีที่ได้อ่านนะจ๊ะน้องแอน...   ถึงแม้งานจะยุ่งแค่ไหนก็หายเหนื่อยทันทีเลย  : ) 
  • พี่แอมป์คิดว่าในแต่ละวัน  ความสุขจะเริ่มต้นที่"บ้าน" และ"ครอบครัว"
  • หากทุกคนที่อยู่ในบ้าน  ร่วมกันสร้างความสุขในครอบครัว ด้วยการแสดงความรักอย่างอ่อนโยน  ด้วยการสื่อสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจ รักใคร่ และผูกพัน 
  • ทุกวันในครอบครัว  ก็จะเป็นวันแห่งความสุข  สดชื่น เป็นทุนที่ยั่งยืนในหัวใจ
  • งานประจำวันของ"ครอบครัว" เป็นงานเล็กๆที่ยิ่งใหญ่  เพราะเป็นการร่วมมือกันสร้างความรักความเข้าใจ ความอบอุ่นและความผูกพัน  ผลที่ได้ก็คือความสุข สดชื่น ในทุกๆวัน ใน"บ้าน"ของเรา
  • ว่าแล้วก็นึกถึงที่โรงเรียนจ๊ะแอน  โรงเรียนเป็นครอบครัวใหญ่  ที่อาจใหญ่เกินกำลังที่เราจะ  สร้างสุขและปลูกรัก ในใจทุกดวงได้ในคราวเดียว
  • เราเลยต้องย่อให้เป็นครอบครัวย่อยๆ  ของครูประจำชั้น ของอาจารย์ที่ปรึกษา  แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาร่วมมือกัน "สร้างความรักความเข้าใจ ความอบอุ่นและความผูกพัน" ทีละเล็กทีละน้อย  ทีละคน  ทีละวัน  ตามอุดมการณ์อันมุ่งมั่นของเราต่อไป
  • ไม่วันนี้วันโน้นก็วันไหน (โทษจ๊ะกลอนพาไป)ก็คงสำเร็จจนได้เข้าสักวัน
  • คือพี่ก็ฝันหวานของพี่ แบบโรแมนติกคลิกเดียวอยู่ (ให้เข้ากับยุคไอที) ไปได้เรื่อยๆ  .....ทุกครั้งที่เห็นช่อกุหลาบสีแดงนะจ๊ะแอน  อิอิอิอิ (สี่ทีเลย)
  • ขอบคุณน้องแอนมากๆอีกครั้งนะคะ พี่แอมป์ขอส่งความรักจากใจไปถึงน้องสาวที่อยู่ภาคเดียวกันและอุดมการณ์เดียวกันคนนี้
  • ขอให้น้องแอนมีความรักที่อบอุ่น อ่อนหวาน และเป็นที่รักของลูกศิษย์ทุกคนตลอดไปนะคะ 
     
  • ธุ พี่แอมป์ ค่ะ..

ต้อมมาไล่เรียงอ่านตัวอักษรแต่ละตัวและก็อมยิ้มไปพลาง    ครอบครัวของพี่น่ารักและอบอุ่นนะคะ   ^^

หวัดดีค่ะน้องต้อม

หายไปไหนมาจ๊ะสาวน้อย  พี่ๆเขาบ่นคิดถึงกันใหญ่  ก่อนหน้านี้พี่แวะไปดูบันทึกเท็ดดี้แบร์ของต้อมสองสามหนแล้ว

 "ความคิดถึง"ของพี่ๆน้องๆนี่น่ารักจังเลยเนอะ   และ "ความเป็นครอบครัว"นี่ก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกันนะจ๊ะต้อม  พี่แอมป์คิดว่าเวลาคนเราได้สื่อสาร และได้สัมพันธ์กันใกล้ชิด  เราก็จะเริ่มรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตร  ความสนิทสนม  และความรักความผูกพัน เป็นลำดับไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา และต้องอาศัย "ความเข้าใจ"เป็นพื้นฐาน 

พี่จึงชอบคำว่า"เข้าใจ"ที่สุดในโลกเลยจ๊ะ  และพี่ก็ไม่เคยหาคำอื่นมาแทนความหมายของคำๆนี้ได้  เลยยกให้เป็นที่สุดในโลกไปพลางๆก่อน  คำว่า"เข้าใจ"นี่แหละ   เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกครอบครัวอบอุ่นและมีความสุข

ขอบคุณมากที่ต้อมแวะมาอมยิ้ม(อย่างน่ารักเหมือนในรูป) และทำให้พี่ได้เข้าใจคุณค่าของความอบอุ่นในครอบครัวอีกครั้ง   ......คืองี้นะจ๊ะ  พี่คิดอย่างมั่นใจว่า ครอบครัว มิได้มีเพียง พ่อ แม่ และลูก เท่านั้น  แต่ยังมีลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายเลยไปถึงทวด   ที่จะทำให้คำว่าครอบครัว เต็มความหมายของคำว่า "ครอบครัว"อย่างแท้จริง

วันนี้พี่จึงตั้งหน้าตั้งตาเป็นคุณป้าอย่างมุ่งมั่น  เต็มความสามารถ  ให้สมกับตำแหน่งที่ได้รับ
...ถึงแม้จะไม่จ๊าบเท่าต้อม ในบันทึกนี้ของอาจารย์จันทรัตน์ก็ตามทีอะค่ะ....  อิอิอิ

  • เอ! ทำไมพลาดบันทึกนี่ไปได้ก็ไม่รู้  มาคราวนี้กะว่าถ้ายังไม่มีบันทึกใหม่ จะ mail ไปถามแล้ว..ถึงได้รู้ว่า ..ตกข่าว
  • น่ารัก อบอุ่น สนุกสนาน และดีงาม...ชอบจังเลย...ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร..อ่านไป ขำไปด้วยหละ...
  • คิดถึงนะคะคุณ "แอมป์แปร์" และคิดถึง คุณพ่อกับคุณแม่ที่สุดแสนจะน่ารักด้วย...ดีใจแทน เณรจากเนปาลเหล่านั้นจริงๆเลย...ที่โชคดีค่ะ..
  • ขอให้มีความสุข เจริญรุ่งเรืองกับสิ่งที่ทำทั้งครอบครัวตลอดไปนะคะ

สวัสดีค่ะด้วยความคิดถึงมากค่ะคุณแหวว

          แอมแปร์ดีใจไชโยโห่สามลาเลยค่ะ  ความรู้สึกว่ามีเพื่อนนี่ดีจัง  คุณแหววแวะมาทีไรรู้สึกว่าเพื่อนมาเยี่ยมทุกที  ^_^

         ขอโทษคุณแหววอย่างสูงเลยนะคะที่ตอบช้า  ตอนนี้เน็ตดาวน์บ่อยมากค่ะ  ได้เปิดอ่านแป๊บเดียว พอจะตอบปุ๊บก็หลุดปั๊บ  เสียดายจัง  และช่วงนี้แอมแปร์งานก็ยุ่งเป็นยุงตีกันเลยค่ะคุณแหวว  พอกลับถึงบ้าน  ก็รีบทานข้าวให้เสร็จแล้วก็เสด็จไปบรรทม  
         ...อ่า....ใช่ค่ะ   ...คือที่จริงต้องอาบน้ำก่อน    ...แต่แบบว่าแอมแปร์ก็รีบเล่าเลยข้ามๆไปมั่งอะค่ะคุณแหวว  อิอิอิ 

          วันนี้โชคดีค่ะคุณแหววที่กลับบ้านเร็วเลยทันได้ทานข้าวเย็นกับพ่อกับแม่  หลังจากแอมแปร์บ่นเอ๊ยเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่โรงเรียน(ยาวประมาณเกือบยี่สิบนาที)เสร็จแล้ว    พ่อก็เล่าเรื่องสามเณรรุ่นแรกที่จะจบ ม.6 และกำลังจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ได้รับรู้เรื่องความก้าวหน้าของท่านแล้วก็ชื่นใจ  และพ่อยังบอกแบบ(สนุกไปล่วงหน้า)ว่าตานี้พ่อรู้แล้วว่าจะสอนสามเณรเนปาลรุ่นจิ๋วเอ๊ยรุ่นใหม่ ที่จะมาอีกเกือบสิบคนในเดือนหน้านี้ได้อย่างไร

         พ่อบอกว่าต้องเริ่มสอนให้ท่านเข้าใจ  คุ้นเคย กับเสียงพยัญชนะทั้ง 21 เสียงก่อน  (พยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงค่ะ โดยยึดเสียงเอาจากฐานที่เกิดต่างๆกัน) พอคุ้นเสียงพยัญชนะแล้วก็สอนให้ผันตามเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง  โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอักษร สูง  กลาง ต่ำ ต่ำเดี่ยว  ต่ำคู่ อะไรทั้งสิ้น เอาแค่ให้ท่านชินกับ เสียงสามัญเอก โท ตรี  จัตวา   กา  ก่า  ก้า  ก๊า   ก๋า   เป็นอันใช้ได้  ท่านก็จะจำเสียงวรรณยุกต์มาตรฐาน 5 เสียงได้อย่างแม่นยำ

         จากนั้นท่านเมื่อจำศัพท์ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้นได้ยินเสียงคำอะไรก็พอเดาความหมายได้  เพราะคำในภาษาไทยนั้น  เมื่อเสียงวรรณยุกต์เปลี่ยน  ความหมายก็เปลี่ยนด้วย  หากเป็นคนต่างชาติจะแยกเสียงวรรณยุกต์ไม่ออก  ต้องฝึกจนจับเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียงได้  แล้วการเข้าใจความหมายจะตามมาเอง  

          คืองี้นะคะคุณแหวว ... คือแอมแปร์มีความเหนื่อยมากเป็นอันขาด  ดังนั้นเมื่อพ่อพูดจบ  แอมแปร์ก็ตาเหลือครึ่งเดียวพอดี 
แต่ก็ยังสามารถนั่งฟังแบบตาปรือๆ  และจำที่พ่อเล่าได้เป็นท่อนๆแบบกระท่อนกระแท่น  แล้วก็เลยเอามาเล่าต่อให้คุณแหววฟังนี่แหละค่ะ
          ดังนั้นถ้าแอมแปร์เล่าแบบงงๆก่งก๊งไปบ้าง  ก็หวังว่าคุณแหววจะให้อภัยนะคะ  :)

           และอยากบอกว่าทุกคำที่คุณแหววบอกมาข้างต้นนั้น....เป็นกำลังใจอย่างสำคัญ  (ถึงแม้คุณแหววจะบอกว่าไม่รู้จะอธิบายยังไง)  ......บ้านแอมแปร์ก็เหมือนครอบครัวทั่วไปค่ะคุณแหวว  มีสุขมีทุกข์  แล้วก็กลับมาสุขใหม่   แอมแปร์ได้ข้อคิดบ่อยๆ ว่าไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม (และมักจะลืมไปในบางที) แต่เชื่อว่าหากเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจ และปรับตัวเข้ากับความไม่สมบูรณ์ของกันและกันได้  เราก็จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพ

           คงเหมือนที่สามเณรน้อยๆท่าน(ทำใจ)รับวิธีสอนภาษาไทยแบบอลหม่านของบ้านแอมแปร์ได้    คือพอเห็นท่าว่าไม่ไหวจริงๆ  ท่านก็จะบอกอย่างจริงใจว่า 
          "มาย  เคา  ชาย  ขรับ  !!!"  แปลว่า  ไอโด๊นท์อันเด้อร์สะแตนครับ    แล้วก็ทำหน้าเศร้าๆอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เราต้องปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอนกันอุตลุต  ให้ท่านงงๆกันใหม่ต่อไป...

           แต่ที่แอมแปร์รู้สึกดี(เงียบๆในใจ)ที่สุด  คือการได้เห็นผ้าเหลืองถึงในบ้านแทบทุกวันน่ะค่ะคุณแหวว  ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ที่ตัดสินใจนิมนต์ท่านมาเรียนที่บ้าน จนเกิดความรู้สึกคุ้นเคยผูกพัน  เหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว  พอถึงวันปีใหม่ วันครู  หรือวันเกิดพ่อกับแม่   พระท่านก็นำสามเณรน้อยๆมาสวดมนต์อวยพรถึงบ้านเสียทีหนึ่ง   แอมแปร์ก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย

            นึกแล้วก็ขำตัวเองค่ะ   เมื่อไม่ไปวัด....พระท่านก็มาสวดให้ถึงบ้าน    ภาษาเนปาลีที่ท่านสวดให้ฟังคล้ายคลึงกับบทสวดภาษาบาลีที่เราคุ้นหูค่ะคุณแหวว  เพราะรากมาจากที่เดียวกัน  แต่ไพเราะนัก  ฟังเป็นทำนองและจังหวะคล้ายๆอย่างนี้นะคะ

           ล้าล้าล้า     ลาล้าล้าหล่า  
           ลาลาลา     ล้าหล่าล้าล้าลา
           ล้าล้าล้า     ลาล้าล้าหล่า 
           ลาลาลา     ล้าลาหล่าหล่าหล่า

           การที่ได้ฟังพระสวดในบ้าน  ทำให้แอมแปร์รู้สึกสำนึกถึงคุณค่าที่ลึกซึ้งของวัดมากขึ้น    คืออธิบายไม่ถูกเหมือนกันค่ะคุณแหวว  แต่รู้สึกว่าถ้าขาดมิตินี้ไป  (วัด พระ เณร กิจกรรมทำบุญ) เราอาจปฏิบัติธรรมได้  แต่ไม่ครบองค์พระพุทธ พระธรรม  พระสงฆ์  อ้อ.....นึกออกแล้ว  ขาดการสืบทอดส่งต่อมังคะคุณแหวว 

           หากเราปฏิบัติธรรมเฉพาะเรา  ธรรมก็จบที่ตัวเรา แต่หากเราสนับสนุนสาวกธรรม  ธรรมก็สืบต่อโดยศรัทธา  การสนับสนุนให้เด็กได้บวชเรียนในบวรพุทธศาสนานี้  ก็เป็นการสืบต่อธรรมแบบหนึ่ง  แอมแปร์เลยรู้สึก(ตอนอายุปูนนี้)ว่าจำเราจะต้องเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมเทศนา ปฏิบัติศาสนกิจอันควรแก่กาละ  ในฐานะพุทธศาสนิกชน  เพื่อสืบทอดองค์สามนี้ให้คงอยู่สืบไป

           อ้าว...คุณแหววคะ...!!..    ไหงดูตาปรือๆไปเสียแล้วเล่าคะ.... แอมแปร์เพิ่งเริ่มปาฐกถาไปแป๊บเดียวเอง  อิอิอิ

           ขอบคุณคุณแหววมากๆๆนะคะที่แวะมาทักทาย อย่างอบอุ่น  แอมแปร์ขอโทษจริงๆอีกครั้งค่ะที่ตอบช้า  วันนี้โชคดีจริงๆที่เน็ตดี  เลยวิ่งจู๊ดมาตอบอย่างยืดยาว  ตอบไปสวดไปเอ๊ยภาวนาไปว่า อย่าล่มหนอ...  อย่าล่มเชียวหนอ ....
          แอมแปร์แวะไปบันทึกล่าสุดของคุณแหววแล้ว ให้ความรู้น่าอ่านจริงๆ  และเห็นรูปหนูอินยืนกับคุณแม่แล้วชอบจังค่ะ  
          ขอให้คุณแหววมีความสุขในทุกวันทำงานและวันหยุดพักผ่อนนะคะ  ^_^

ชอบตรงนี้มากค่ะ น้องแอมแปร์

"หากเราปฏิบัติธรรมเฉพาะเรา  ธรรมก็จบที่ตัวเรา แต่หากเราสนับสนุนสาวกธรรม  ธรรมก็สืบต่อโดยศรัทธา"

เป็นเครื่องเตือนใจคนห่างวัดอย่างพี่โอ๋ได้ดีทีเดียว แม้จะยังทำใจเข้าวัดไม่ได้ค่ะ (เข้าทีไรมีเรื่องให้ใจบาปเรื่อยเลยน่ะค่ะ หวังว่าคงมีสักวันที่จะค้นพบสถานที่ที่ตรงกับจริตเรา)

อ้อ...ลืมอีกเรื่องค่ะ อยากให้อัดเสียงคุณพ่อเล่าสิ่งที่ท่านคิด วิธีที่ท่านสอนท่านเณรน้อยทั้งหลายเอาไว้นะคะ วันหลังก็เก็บมาถ่ายทอด หรือไม่ก็ชวนท่านมาจิ้มคอมพ์เล่าให้พวกเราอ่านบ้างคงจะเยี่ยมไปเลยนะคะ

พี่โอ๋ค้นพบคุณลุงวรโพธิมานะที่มาเขียนบล็อกหลังเกษียณ น่าจะเป็นรุ่นเพื่อนกับคุณพ่อน้องแอมแปร์ได้นะคะ มีอีกท่านนึงที่พี่โอ๋หาท่านไม่เจอเสียแล้ว ความที่แว้บๆเข้าไปอ่านหลายที่

โอลันลา...พี่โอ๋มาเยี่ยม :)

           ดังนั้นไซร้แอมแปร์ก็จะไม่นอนจนกว่าจะได้ตอบคอมเม้นท์พี่โอ๋ก่อน  แม้ว่าตาจะปรือเหลือครึ่งเดียวก็ตาม  :)

           พี่โอ๋พูดตรงๆถูกใจจังค่ะ  อันว่าแก่นธรรมนั้น มิได้อยู่ที่พิธีกรรมหรือวัตถุธรรมใดๆ  หากเราตั้งใจแสวงหาแก่นธรรมโดยแท้แล้วไซร้  แต่ไปเจอกระพี้มากๆเข้า  เราก็ถอยเหมือนกัน 

           เรื่องนี้พ่อกับแม่เคยบอกว่าเมื่อเข้าวัด ก็ไปช่วยวัด ช่วยให้ยังคงมีวัดต่อไป  เพราะวัดก็ช่วยให้เราได้ปฏิบัติธรรม  ทั้งพิธีทางโลกและทางธรรม   เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เนื่องด้วยวัดทั้งสิ้น  ดังนั้นเมื่อเข้าวัดเราก็ช่วยวัดในแบบที่เราช่วยได้  ในกาลเทศะอันควร ตามสมควรแก่ฐานะของเรา  และสรุปด้วยประโยคสากลว่า  "อย่าไปคิดมาก"           ...... แต่ไม่ทันแล้วค่ะพี่โอ๋  ...เพราะแอมแปร์คิดไปนู่นแล้ว... 

           จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาค่ะพี่โอ๋  (อันนี้กระซิบกันระหว่างเรานะคะ)  :)

           ขอบพระคุณพี่โอ๋ ที่แวะมาให้ความเห็นแบบตรงใจชะมัดเลยนะคะ  :)

ต่ออีกนิดค่ะพี่โอ๋  ขอบพระคุณมากๆสำหรับลิ้งก์ของคุณลุงวรโพธิมานะนะคะ  แอมแปร์เคยเข้าไปอ่านบล็อกของท่านบ้าง แต่ยังไม่เคยโพสต์ความเห็น  คาดว่าท่านจะอายุใกล้เคียงกับพ่อเหมือนที่พี่โอ๋บอกค่ะ  แอมแปร์จะบอกให้พ่อแวะไปอ่านนะคะ

สำหรับเรื่องที่พ่อกับแม่สอนสามเณร ตอนนี้พ่อกำลังพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กสำหรับแจกเวลาท่านมาเรียนเลยค่ะ   แต่ยังมีที่ต้องปรับแก้อยู่พอสมควร  เพราะพ่อก็ไม่ได้เก่งภาษาไทย  แต่ก็เต็มใจ(และภูมิใจเสนอ)เมื่อตรวจแก้เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ  พี่โอ๋ไอเดียดีจัง  แอมแปร์ก็ไม่ทันนึกเรื่องอัดเสียงพ่อ  ทีนี้แอมแปร์นึกสนุกเลยไปถึงเรื่องถ่ายวิดีโอเลย  ถ้าพ่อกับแม่ยอมนะคะเนี่ย  สงสัยต้องหว่านล้อมกันเป็นการใหญ่อะค่ะ  :) 

ขอบพระคุณพี่โอ๋มากๆอีกครั้งค่ะ  ขอให้พี่โอ๋หลับฝันดีและราตรีสวัสดิ์นะคะ :)

อ่านจบแล้วคิดว่า ถ้าชาตินี้เป็นผู้ชาย จะจีบพี่แอมป์!

จริงๆ!  : )

น่ารักทั้งบ้านเลยค่ะ

พี่แอมป์เขียนได้ดีมากๆด้วย อ่านเพลินไม่มีการ เร่งอ่านหรือรวบข้ามบรรทัดเลยค่ะ ชอบมากๆ

วันนี่แค่นี้ก่อน ไป ว้อเต๊อ  ตูมๆ ก่อนนะคะ

สวัสดีด้วยความสนุกสนานเบิกบานฤทัยมากค่ะ อ.มัท

          ดีใจจังค่ะที่เล่าเรื่องมะๆโมๆแล้วคนอ่านไม่หลับ  คืออย่างมากก็แค่หาวหวอดๆนิดหน่อยเท่านั้น  แต่ไม่เป็นไร...  เพราะพี่แอมป์ไม่เห็น ^_^
          พอ อ.มัทบอกว่าอ่านแบบไม่ข้ามจนจบ  ทำให้พี่แอมป์ต้องรีบกระวีกระวาดกวาดตาดูบันทึกซะอีกที เพราะเขียนทีไรเป็นต้องมีคำผิดคำตกทู้กที  ขนาดใส่แว่นพิมพ์แล้วนะจ๊ะเนี่ย

          และพี่แอมป์ต้องขออภัยมณีอย่างสูงเลยจ้าที่เข้ามาตอบช้า   ช่วงนี้เป็นช่วงซ้อมรับปริญญา ซ้อนกับช่วงคุมสอบปลายภาค
ตรวจงาน ทำเกรดและอื่นๆอีกมากมาย  สนุกตื่นเต้นดีชะมัด  คาดว่าของ อ.มัทก็คงสนุกเร้าใจไม่แพ้กันมังคะ

          และโอ้..!   อ.มัทละช่างแซวนักเทียว  ถ้าเป็นสมัยก่อน...  พี่แอมป์ก็ต้องนั่งอายม้วนต้วนแล้วบิดผ้าเช็ดหน้าไปละซินี่...  ^_^
         ส่วนสมัยนี้เก๊าะต้องนั่งเท้าแขนแอ่นหยัด.... จัดผ้าผ่อนท่อนสไบให้เรียบร้อย(อย่างกุลสตรี)   แล้วก็นั่งบิดผ้าแถบไป...
         แบบว่าผืนมันใหญ่...   บิดได้นานดี  อิๆๆๆๆๆ

          ขอบคุณ อ.มัทมากๆ สำหรับกำลังใจอันอบอุ่นเช่นเคยนะคะ  ....กำลังใจเป็นสิ่งมีค่าเหลือเกิน  สำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์

          วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พี่แอมป์รู้สึกดีจัง  หลังจากรอหลานชายน้อยๆ(ลูกของโอห์มน้องชายแท้ๆซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ) มาเก้าเดือน     เมื่อเช้าแม่กับพ่อก็บอกเสียงลั่นๆ(อย่างดีใจไชโยมาก)ว่าโอห์มโทรมาบอกว่าหลานคลอดแล้ว แล้วก็รีบเตรียมโน่นเตรียมนี่เตรียมนั่นกันจ้าละหวั่น (ทั้งที่เตรียมนู่นี่นั่นกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว) 

           ล่าสุดเมื่อเช้าพ่อถือจอบเดินฉับๆๆไปขุดดิน    แม่ถามว่าพ่อจะขุดไปทำไมล่ะนั่น..?
           พ่อตอบอายๆว่า...จะปรับที่ถางหญ้าไว้ให้หลานวิ่งเตะบอล...  ^_^  
           นานน้านจะเห็นพ่อดีใจจนออกนอกหน้าแบบนี้   ...น่ารักชะมัด      

           และในขณะที่พ่อกับแม่พี่ได้เป็นคุณปู่กับคุณย่าอย่างเต็มภาคภูมิ    พี่แอมป์ก็ได้ดำรงตำแหน่งคุณป้าอย่างสมเกียรติ  เป็นที่ภาคภูมิใจสืบไป (ให้ไว้ ณ วันที่ 9 มีนาคม 2551)   ทีนี้ใครเรียกป้าก็หันไปค้อนเขาขวับๆๆไม่ได้อีกแล้ว   
            ...ป้าก็ป้าซิฟะ..   55555


           พ่อกับแม่ก็ดูราวกับว่าจะกลับเป็นพ่อกับแม่เมื่อสมัยยังหนุ่มยังสาวอีกครั้ง  เมื่อรู้ว่าคราวนี้จะได้เลี้ยงหลาน(อย่างเต็มรูปแบบ)แน่นอน  พี่แอมป์จึงขอยืนยันอีกทีนะจ๊ะว่ากำลังใจเป็นสิ่งมีค่าเหลือเกิน  ในการดำรงอยู่ของมนุษย์  
          ส่วนพี่แอมป์ก็เตรียมฝึกนอนวันละ..  เอ่อ.... วันละไม่แน่นอน    เพราะเด็กทารกนั้นขยันนัก  เราเคลิ้มๆยังไม่ทันงีบ ประเดี๋ยวเธอก็จะตื่นมาแอ๊ะแอ แอ๊ะแอ  อีกแล้ว  
          ของพี่เลยซ้อมตื่นมาฝึก "งัวเงียชงนม"เอาไว้ก่อน   ถึงวันจริงจะได้ไม่กะออนซ์พลาด 
          ...  นี่พี่แอมป์ไม่ได้เห่อเลยนะจ๊ะมัท..   อิๆๆๆ

          อ้อ..พูดถึงเรื่องซ้อมนี่พี่นึกไปถึงการเตรียมบัณฑิตเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเลยจ๊ะ  ของโรงเรียนพี่มาซ้อมเมื่อบัณฑิตจบไปแล้วหนึ่งปี   แล้วกลับมาเพื่อเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร  แล้วก็ซ้อมๆๆๆๆกันอย่างเต็มที่  เพื่อให้คนนับพัน ต่างเพศต่างวัย ได้ท่าที่ดูดี และจังหวะที่เหมาะสม  ...จากการฝึกซ้อมเพียงสามวัน.. 

          พี่แอมป์บอกพ่อ(มาหลายปีแล้ว)ว่าน่าจะฝึกไว้ให้เต็มที่ตั้งแต่เด็กอยู่ปีสี่  เป็นจังหวะอย่างง่าย    แบบ (ก้าว) หนึ่ง สอง สาม รับ  (ถอย)  หนึ่ง สอง สาม  คำนับ หมุน  เดิน   ดังนี้เป็นต้น โดยไม่ต้องกลัวว่าเด็กจะลืม   พอถึงวันนั้นจริงๆ  ได้ซ้อมอีกครั้งเขาจะนึกออกเอง  เพราะเขาได้เรียนรู้และฝึกซ้อมมาอย่างเข้มข้นแล้ว

          พ่อบอกว่าถ้าเป็นพ่อ  พ่อจะเริ่มฝึกเด็กตั้งแต่ปีหนึ่ง  โดยเปลี่ยนวิธีคิดรับน้องของพวกพี่ๆปีสองและปีโตๆซะใหม่  ถ้าจะรับน้องคุมน้องให้อยู่  ก็ต้องเปลี่ยนจากการว้ากน้องมาเป็นการฝึกน้อง  พี่ๆทุกคนต้องฝึกน้องคุมน้องซ้อมรับปริญญาให้ได้ 
          แปลว่าพี่ก็ต้องฝึกตัวเองให้ทำได้แบบไม่อายน้องด้วย

          ว่าแล้วพี่แอมป์นึกถึงบันทึก "ฝึกวินัยด้วยการพับผ้า" ของ อ.มัทขึ้นมาทันที... 

          ในฐานะครู  พี่ก็ต้องสื่อสาร(อธิบาย)ให้นักศึกษาได้มองเห็นว่า  หากคุณค่าหนึ่งของการมุ่งมั่นเข้ามาร่ำเรียนศึกษาที่นี่
คือการได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน  ผู้เสด็จแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   เพื่อเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีครั้งหนึ่งในชีวิต  เป็นวันแห่งการร่วมรับรู้และร่วมภาคภูมิใจของพ่อแม่พี่น้องและญาติมิตร  ที่เฝ้ารอคอยวันแห่งความสำเร็จของบัณฑิต   ให้สมกับคำกล่าวว่าบัณฑิตคือผู้ฝึกตนมาดีแล้ว 

          ปลายทางอีก 5 ปี ข้างหน้านั้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้ประจักษ์ว่าบัณฑิตเราได้เป็นผู้ฝึกตนมาดีแล้ว  ก็คือการเตรียมความพร้อมในการฝึกซ้อมรับปริญญาอย่างตั้งใจ  โดยพร้อมเพรียงกัน    บัณฑิตซึ่งฝึกตนมาดี  และมีความพร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจ  ปฏิบัติกิจใดๆโดยพร้อมเพรียงนั้น  น่าจะเป็นที่เชื่อถือได้ว่าสำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่ควรแก่การยอมรับ
          ภาพลักษณ์ที่ดีทั้งของบัณฑิตและของมหาวิทยาลัย  เกิดจากการปฏิบัติตนปฏิบัติใจของบัณฑิตโดยแท้ 

          จึงสมควรที่นักศึกษาจะมองให้มองเห็นคุณค่าและความหมายที่ลึกซึ้งของการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร  มากกว่าการมารีบเร่งทำสิ่งหนึ่งภายในเวลาเพียงสามวัน   และเข้าร่วมการฝึกซ้อมตั้งแต่บัดนี้  ด้วยใจ  ด้วยความพร้อม  ด้วยการฝึกตนอย่างเข้มข้น เพื่อสมกับให้เป็นบัณฑิตผู้ถึงพร้อมเทอญ

          คาดว่าหลังจากพี่เทศน์เอ๊ยบรรยายพิเศษเสร็จ  นักศึกษาก็จะหลับกันเป็นแถบๆเช่นเคย  แต่ไม่เป็นไร..  พี่แอมป์ชินแล้ว  อิอิ

          ตอนนี้ที่แคนาดา ที่ อ.มัทอยู่ยังหนาวอยู่ใช่ป่าวคะ  พี่ละนับถือจริงๆที่ อ.มัทยังสามารถ "ว้อเต๊อ ตู้มๆ"  ได้   ส่วนคนขี้หนาวอย่างพี่แอมป์นี่  แค่ "ว้อเต๊อ แตะๆ" ก็เป็นพระคุณแล้ว  อิอิอิอิ

          สุดท้ายนี้ดูซิเนี่ย...  พี่แอมป์ก็ไปซะยาว    แต่มั่นใจว่า อ.มัทก็ชินแล้วเช่นกัน  ^_^
          คิดถึงมากและขอให้เขียนเดอะสิสได้วันละบทเป็นอย่างน้อยเลยนะคะ 

หวัดดีค่ะพี่สาว

ปิดเทอมแล้วยังคะพี่.....คิดถึงพี่นะคะ..กับครอบครัวหรรษาของพี่ด้วยค่ะ..รักษาสุขภาพด้วยค่ะพี่แอมป์

หวัดดีจ๊ะน้องแอน

ดีใจจังน้องแอนแวะมาเยี่ยม  ในวันที่พี่แอมป์กำลังสับสน  ว่าตกลงเราปิดเทอมอ๊ะยังเนี่ย    เอ่อ...  อาจกล่าวได้ว่าพี่ปิดเทอมโดยนิตินัย  แต่ไม่ปิดโดยพฤตินัยจ๊ะ   งานอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้จ๊ะแอน  พี่ละกลุ้ม  ทำได้ทุกวันไม่หมดซักที  พอน้องแอนถามว่าปิดเทอมแล้วยัง  พี่เลยตอบไม่ถูกเลย    ^_^"
 

วันก่อน(นู้นๆ)พี่แอมป์แวะไปอ่านบันทึกที่แอนเล่าเรื่องพาหนูน้อยไปหาหมอ   ประทับใจมากเลยจ๊ะ  น้องแอนเก่งจัง สมัยเด็กๆพี่เคยบอกพ่อว่าอยากเป็นไกด์  พ่อพี่บอกว่า ลูกเป็นครูซิแล้วลูกจะได้เป็นทุกอย่าง     พี่ก็เพิ่งเข้าใจ(ตอนแก่)ว่าคนเป็นครูนั้น   บางทีอาจจะได้เป็นอย่างฝัน(โดยไม่คาดฝัน)อยู่หลายประการ   อยากเป็นครูก็ได้เป็น   อยากเป็นไกด์ก็เป็นได้  (ตอนพาเด็กไปทัศนศึกษา)  อยากเป็นพยาบาลก็อาจได้เป็น แบบที่น้องแอนเป็นมาแล้ว    อยากเป็นหมอ...ถึงเวลาหนึ่งก็อาจต้องเป็นคุณหมอโดยไม่คาดคิด  และบางคราว  ก็ต้องรับบทเป็นคุณแม่จำเป็น  ...ทั้งๆที่ยังไม่เคยเป็นแม่คนอีกต่างหาก   อิอิ  นึกอีกทีก็สนุกชะมัดละ 

พี่แอมป์ชอบคำว่า "ครอบครัวหรรษา"  ของแอนจัง  ฟังแล้วรู้สึกบันเทิงเริงฤดีขึ้นมาทันควัน  อิๆๆๆ  บ้านพี่แอมป์ก็มีครบทุกรสแหละจ๊ะแอน  แต่ที่พี่ชอบที่สุด ก็ตอน"หรรษา"อย่างที่แอนว่านี่แหละจ๊ะ  โดยเฉพาะตอนนี้ที่หลานชายน้อยๆลูกของน้องชายแท้ๆของพี่  เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน  เป็นเหตุให้ "หรรษา"กันไปทั้งบ้าน  พ่อกับแม่ กับพี่แอมป์ ในฐานะคุณปู่คุณย่า และคุณป้า ก็เห่อหลานกันน่าดู   ตอนนี้พี่เลยยอมรับสถานภาพใหม่  แบบว่าใครตะโกนเรียกว่า "..ป้าๆ.."  ก็ไม่หันไปค้อนเขาขวับๆๆๆอีกต่อไปแล้ว

แค่คิดในใจว่า "ฝากไว้ก่อนเหอะ  !.." เท่านั้นเองจ๊ะแอน  อิๆๆๆ

ขอบคุณมากจ๊ะที่น้องแอนแวะมาเยี่ยมอีกครั้ง  รักษาสุขภาพเช่นกันจ๊ะ และขอให้น้องมีความสุขมากๆตลอดช่วงปิดเทอมนี้นะจ๊ะ

สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง สดชื่นแจ่มใสครับ

Pสวัสดีด้วยความปลาบปลื้มใจค่ะ เล่าฮูสิทธิรักษ์

ขอบพระคุณมากค่ะที่เล่าฮูกรุณาแวะมาอวยพรวันสงกรานต์  เป็นคำพรแรกของสงกรานต์ปีนี้ที่แอมแปร์ได้รับจากผู้ใหญ่ที่เคารพ 
แอมแปร์น้อมรับพรด้วยความซาบซึ้งและรู้สึกขอบพระคุณยิ่งค่ะ

ขอคุณพระนำพรให้เล่าฮูประสบแต่ความสุขความชื่นใจในปีใหม่ไทยและวันครอบครัวนี้  และขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป    สมเป็นแพนด้ามหัศจรรย์ที่ขยันรวมตะกอนเด็ด  ให้ได้ตามไปอ่านกันอย่างเพลิดเพลินนะคะ

และแม้ว่าตอนนี้แอมแปร์จะยุ่งจนหัวฟูเหมือนขนหมีขั้วโลกใต้   แต่เมื่อมีเวลาแอมแปร์ก็ยังติดตามอ่านบันทึกอยู่เสมอ  บันทึก "คนดี" ของเล่าฮูช่างเร้าใจ  จนแทบจะทำให้แอมแปร์ตบะแตกกระโดดตอบอย่างยาว สิบหน้าเอสี่ไม่เว้นบรรทัด  เดชะบุญที่ยั้งมือไว้ทัน ไม่งั้นเล่าฮูคงได้ตัดแว่นเพิ่ม  หรือไม่ก็ต้องซื้อยามาหยอดตาเป็นแน่แท้  

จึงเรียนมาด้วยความเคารพและระลึกถึงเสมอค่ะเล่าฮูสิทธิรักษ์

แอมแปร์ค่ะ

P

 

สวัสดีด้วยความดีใจจังค่ะน้องจิ

รู้สึกดีใจจริงๆและขอบคุณมากนะคะที่น้องจินำพรอันเป็นมงคลในวันสงกรานต์มาส่งให้ถึงในบันทึก  ครูรับไว้ด้วยความเบิกบานและชื่นใจนักค่ะ    ขอให้น้องจิมีความสุขมากๆในวันสงกรานต์  เป็นลูกสาวที่น่ารักของคุณแม่ และเป็น"น้องจิ"ที่รักยิ่งของคุณครู ญาติพี่น้อง และผองเพื่อนทุกคนนะคะ

ครูอ่านบันทึกน้องจิครั้งแรกด้วยความทึ่งมากค่ะ  เพราะที่นี่ดูเหมือนเป็นพื้นที่ที่มีแต่คนโตๆที่ทำงานแล้ว  แต่น้องจิเป็นน้องมัธยมที่เขียนบันทึกได้น่าอ่าน  หนุกหนาน ชวนติดตาม ไม่แพ้คนโตๆเลย  ที่ครูชอบใจที่สุดคือชื่อบล็อก "มันสมองเด็ก ^ ^ "
ครูว่าได้ใจสุดยอด..!!  เพราะสำนวนชวนติดตามและวิธีคิดที่โดดเด่น  แบบเข้าตาครูภาษาไทยดัง ปิ๊ง..ง..ง..ง เลย  อิอิ  ครูชอบมากเลยจ๊ะ

โอ้ดีใจอีกทีที่น้องจิเลือกเรียนเอกไทย ม.รามด้วย  (สมเป็นลูกศิษย์คุณครูพิสูจน์จริงๆจ๊ะ)   ของครูก็เอกไทยเหมือนกัน  และเคยสอนมัธยมด้วยค่ะ   โอชอบมาก...  เด็กๆน่ารักมาก  แต่ครูได้สอนแค่สองปีก็ต้องย้ายไปสอนพี่ ป.ตรี  เห็นน้องจิแล้วครูคิดถึงลูกศิษย์สมัยมัธยมทุกที  ถ้าตอนเด็กๆครูไม่มัวแต่ขี้อาย  และทำกิจกรรมให้เยอะๆ  ป่านนี้ครูคงจะคิดอะไรคล่องแคล่ว(เหมือนน้องจิ) และสอนพี่โตๆได้ดีกว่านี้เยอะเลยจ๊ะ    เห็นน้องจิสนุกไปทุกกิจกรรมแล้วครูก็ได้ข้อคิดดีๆจากน้องจิไปฝึกพี่ๆเขาเยอะเลย

ขอบคุณที่น้องจิแวะมานะคะ  ครูก็ขอแทนตัวเองว่าครูไปเลยเนอะ  ถึงแม้ครูจะยังไม่ได้แวะไปทักทายที่บันทึกของน้องจิ แต่ก็ติดตามอ่านด้วยความสนุกสนานอยู่เสมอนะคะ

สุขสันต์วันสงกรานต์เช่นกันนะคะน้องจิ  ^_^

สวัสดีค่ะ..พี่แอมป์..กาลังว่าจะเข้านอน..เจอพี่แอมป์ปุ๊บตาสว่างเลยค่ะ.อิอิ..

คิดถึงมากๆ..ไม่ได้ทักทายกันนานเลยนะคะ..

พี่แอมป์เป็นไงบ้างคะ..สบายดีมั๊ย..

ยังไงขอให้พี่แอมป์มีความสุขมากๆ..รักษาสุขภาพด้วยนะคะ..

 

สวัสดีแบบตาสว่างด้วยคนเลยค่ะครูแอ๊ว

ดีใจจังเลย  ไม่ได้เข้ามาคุยสนุกสนานอย่างนี้นานแล้ว  เข้ามาทีไรสนุกทุกที  คิดถึงมากๆๆๆเช่นกันนะคะ  โดยเฉพาะบันทึกรักจากหัวใจครูแอ๊ว  ของแท้ต้องสีชมพูนำ  ส่วนสีอื่นวิ่งหน้าตั้งตามมา  (แต่ไม่ค่อยทัน)  คือเราเน้นสีแห่งความรักเป็นหลักชัย อิๆๆๆๆ

ของพี่แอมป์งานยุ่งขนฟูเอ๊ยหัวฟูเลยจ๊ะแอ๊ว  แต่พี่เริ่มทำใจได้แล้ว  เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่ทำงานมา  ยังไม่เคยไม่ยุ่งซักที  พี่ก็เพิ่งเข้าใจตอนแก่ว่าถ้าเราทำทีละงาน  ให้เสร็จไปเป็นงานๆ  งานทีว่ายุ่งๆนั่นก็คงเสร็จจนได้ในที่สุด    แต่เรื่องของเรื่องคือ  เราไม่รู้ว่าควรจะทำ "อะไร" ก่อน  (หลังจากเวลาที่ควรจะทำสิ่งนั้น...มันพ้นไปแล้ว)   คือจัดลำดับความสำคัญไม่ถูก

.....และที่น่าคิดไปกว่านั้นคือ เรา "นึก ม่าย ออก"  ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไร  จนเมื่อเราได้ทำอะไรบางอย่างลงไปแล้ว  และพบว่าเราน่าจะทำอีกอย่างนึงก่อนมาทำอันนี้นะเนี่ย..  คือมองไม่ออกว่าอะไรคืองาน    โธ่เอ้ย..  ทำไมตอนนั้นคิดไม่ออกว้า...!!! 

นึกแล้วพี่ก็ขำตัวเองแหละจ๊ะแอ๊ว  และเพราะพี่เป็นตัวปัญหา  เอ๊ยมองเห็นปัญหาในตัวเองแบบนี้แหละ  ทำให้พี่รีบกระวีกระวาดฝึกเด็กๆเรื่องการจัดลำดับความสำคัญอย่างสนุกสนาน  เวลาไปทำงานเขาจะได้ไม่สับสนทางจิตอย่างพี่   ถ้าเล่าภาคปฏิบัติการคงยาวนานไปอีกสามบันทึก   ตานี้คงไม่ดึก  แต่จะไปถึงเช้าเลยจ๊ะ   จำจะจบเสียเท่านี้ก่อนดีกว่า  เพราะคาดว่าแอ๊วคงจะตาเหลือครึ่งเดียวแล้ว  หลังจากฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่พี่เพิ่งตาสว่างนึกออก  เพราะเห็นคำว่า"ตาสว่าง"  ของครูแอ๊วเมื่อตะกี้

ขอบคุณมากๆนะจ๊ะที่แวะมาทักทาย  ขอให้หลับฝันดีเป็นสีชมพู ที่อบอุ่นและอบอวลด้วยความรักของเด็กๆตลอดไป  สุขสันต์วันสงกรานต์และขอให้เบิกบานสดชื่นกับปีใหม่ไทย  อย่างในรูปสีสดใสของครูแอ๊วรูปนี้ตลอดไปนะคะ

จ๊ะเอ๋พี่แอมป์๋^ ^

คิดถึงจังค่ะ คิดถึงๆๆๆๆๆๆ


กราบอวยพรวันสงกรานต์ค่ะ ขอให้พี่แอมป์พร้อมครอบครัวที่น่ารักมีความสุข สดชื่น สดใส สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ เป็นมิ่งขวัญและเป็นที่รักของทุกๆคน  ตลอดไปนะคะ..ธรรมรักษาคนดีค่ะ  กอดแน่นๆทีนะคะคิดทึ้ง ( คิด+ทึ้ง อิ อิ อิ )..คิดถึง

สวัสดีวันสงกรานต์จ๊ะเบิร์ด ^_^

ขอบคุณเบิร์ดมากที่สุดเลยจ๊ะสำหรับคำพรอันเป็นมงคล  และภาพสรงน้ำพระที่ให้ความรู้สึกฉ่ำเย็น   พี่น้อมรับพรด้วยใจที่แช่มชื่น และขอให้ธรรมรักษาเบิร์ดและทุกคนครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ  และมีความสุขตลอดปีเช่นกันจ๊ะ

พี่แอมป์ชอบถ้อยคำในภาพนี้จริงๆจ๊ะเบิร์ด    "สืบสานประเพณีไทย  สงกรานต์"  พี่อยากเพิ่มไปอีกนิดว่า "สืบสานคุณธรรมไทย  กตัญญู" เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทุกประเพณี  คือระบบคุณค่า  หากเราช่วยกันสื่อสารเน้น ย้ำ ซ้ำ ให้ลูกหลานเราเข้าใจและตระหนักไปถึงคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรม  ด้วยถ้อยคำเพียงน้อย แต่กินความลึกซึ้ง  อย่างถ้อยคำในภาพที่เบิร์ดส่งมานี้

บางทีอาจช่วยให้ลูกหลานของเราได้ฉุกใจคิดถึงคุณค่าอะไรบางอย่างที่เรามีอยู่แล้ว ... ก่อนประกอบพิธีกรรมนั้น และเขาอาจเพียรพยายามช่วยกันรักษา สืบทอด และส่งต่อไปอย่างมั่นใจ ...และตั้งใจ...  เพราะรู้คุณค่าแล้ว

ขอบคุณเบิร์ดมากๆอีกครั้งนะจ๊ะ  ที่แวะมาอย่างรื่นเริง  ทำให้พี่แอมป์ตอบกลับอย่างบันเทิงใจไปยืดยาว   แม้ว่าจะหวาดหวิวอยู่บ้างเมื่อรู้ความในใจ ว่าน้อง คิด-จะ--ทึ้ง    ...แต่เนื่องจากพี่มั่นใจอย่างสูงในคุณภาพของชุดที่สวมใส่ 

พี่จึงยัง "ยิ้มได้เมื่อเบิร์ดมา.."  ทุกครั้งเลยนะจ๊ะ  อิๆๆๆๆ

หลานเด็กน้อยสารภี

 

เมื่อวาน พ่อกะแม่ไปทำบุญและค้างคืนที่ต่างจังหวัด

ปล่อยให้อิฉันมองตามไปด้วยอาการตาละห้อย

อิฉันต้องอยู่บ้าน 

อิฉันต้องเฝ้าแมว(ของคนข้างบ้าน)

อิฉันต้องเฝ้าเจ้าแต้ม  และสมาชิกตัวอื่น ๆ ที่อิฉันเก็บมาเลี้ยง

อิฉันต้องช่วยดูแลรดน้ำต้นไม้ในบ้านที่เอาแต้มบ๊อก ๆ และสมาชิกไปฝากไว้ชั่วคราว

 

หลาน ๆ  ชวนอิฉันให้ซื้อปืนฉีดน้ำไว้ เผื่อจะได้เล่นสนุกกัน

 

ระหว่างที่กะลังคิดว่าจะเข้าไปเคลียร์งานเก่า ๆ

ก็คิดว่า...ออกไปซื้อของไว้ใส่บาตรเช้าวันสงกรานต์ดีกว่า

ซื้อน้ำอบขวดเล็ก ๆ ซักขวด  เผื่อไว้อาจจะได้สรงน้ำพระ

.....

พอจัดของเตรียมใส่บาตรเสร็จ

ก็มากังวลว่า....จะตื่นทันหรือเปล่า ?

 

ตอนค่ำบึ่งรถไปหาช่อดอกไม้ กะจะไว้บูชาบนหิ้งพระ

เจอพี่ผู้หญิงทำงานคนนึงเข้ามาทักว่า..

น้องจะซื้อช่อดอกไม้ไปทำไมล่ะ   พรุ่งนี้เขาทำอะไรกันบ้าง  ต้องใช้ดอกไม้นี่ด้วยเหรอ?  พี่ทำแต่งาน ลืมวันลืมคืนไปเลย ?

 

อิฉันตอบว่า...
แล้วแต่คนมั้งคะ...บางคนก็ใช้ใส่บาตรตอนเช้า...แต่ของหนูจะเอาไปปักแจกันบนหิ้งพระค่ะ...

 

พี่ผู้หญิงคนนั้นก็ถอนหายใจ และเดินจากไป ( ด้วยอาการงง ๆ ) ของอิฉันล่ะค่ะ

ขาบึ่งรถกลับบ้าน...ผ่านสถานที่จัดเวทีและงานวันสงกรานต์ 

เห็นทหารเฝ้าพื้นที่อยู่เป็นจุด ๆ  ถ้าเค้าต้องยืนถึงเช้าก็น่าเห็นใจ

 

ก่อนถึงบ้านซัก 800  เมตร  

มีด่านตั้งจุดตรวจพิเศษ   (ก็ไม่แน่ใจว่าจะตรวจอะไรบ้าง )

เพราะอิฉันเห็นอยู่ไกล ๆ ว่า รถมอ-ไซทุกคันที่ถึงจุดตรวจจะต้องจอดรถ และเปิดเบาะให้ จนท.ตรวจ

 

แต่พอถึงตาอิฉัน....

เจ้าหน้าที่โบกมือให้ผ่านไปซะเฉย ๆ ....

ไหงเป็นงั้นก็ไม่รู้

 

แฮ่ ๆ  ขออนุญาตใช้พื้นที่หน่อยนะคะ..

 

กราบสวัสดีปีใหม่แบบไทย ๆ ค่ะอาจารย์แอมป์ :)

ปล. เมื่อไหร่จะเล่าเรื่องใหม่อีกล่ะคะ..

 

แวะมาสวัสดีวันสงกรานต์่ด้วยครับ อาจารย์แอมป์ที่คิดถึง

ขอให้มีความสุขสมหวัง สุขภาพดีตลอดไปนะครับ

อ่านเรื่องแล้วขำๆ ครับ ชอบตรง “ ว้อเต๊อ ? ว้อเต๊อ ตูมๆ มั้ย ?" มั่กๆ ครับ ^O^

น้องแหม่มคนดี

คิดถึงจัง..  ขอบคุณมากนะจ๊ะสำหรับจดหมายยาวๆที่ทำให้ครูอ่านแล้วยิ้มได้เสมอ  ฝากหอมแก้มนุ่มของพัทกับพิมและลูกภูด้วยนะจ๊ะ   น้องแหม่มเล่าเห็นภาพจนครูรู้สึกมีส่วนร่วมในทุกช่วงพัฒนาการของหลานๆ   นึกภาพตอนเด็กๆถามน้าแหม่มแล้วสนุกชะมัด  เวลาเด็กๆถามแล้วเราตอบเขาตอนนั้นไม่ได้   รู้สึกท้าทายสุดยอด  เพราะคำตอบที่เด็กๆเข้าใจได้  อาจไม่ใช่คำตอบแท้ๆของสิ่งนั้นเสมอๆไป

เวลาหมดมุก  ครูจะหอมแก้มนุ่มซ้ายขวาสามฟอด  แล้วบอกเขาว่า "เก่งจัง...  ป้าแอมป์ตอบวันหลังนะลูก"  แล้วก็ยิ้มอย่างหวานที่สุดให้อีกหนึ่งที 

.. แล้วหลานตัวน้อยก็จะทรงพระวิ่งจู๊ดไปหาอย่างอื่นเล่นสนุกสนานต่อไป   เพราะแป๊บเดียวเขาก็ลืมแล้ว   และบางเรื่องเขาอาจไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆด้วยซ้ำ...  

น่ารักเนอะ...


งานที่ทำตอนนี้ยังอลหม่านอยู่บ้างใช่ไหมคะ   ครูเอาใจช่วยให้น้องแหม่มทำงานอย่างมีความสุขและสนุกกับมุมดีๆของงานนะจ๊ะ  ฝากกราบระลึกถึงพ่อกับแม่ด้วย  น้องแหม่มอย่านอนดึกนักนะจ๊ะ
และจะทำสิ่งใด จะเดินทางไปไหนก็ให้ตั้งอยู่บนความปลอดภัยสูงสุดไว้ก่อน    แต่เรื่องที่น้องแหม่มเล่าก็ทำให้ครูยิ้มละ  คุณเจ้าหน้าที่โบกมือให้ผ่านไป  แปลว่า"หน้าตาไว้ใจได้"นะคะ  สงสัยหน้าน้องแหม่มยังเด็กเสมอไม่เปลี่ยนมั้ง ตอนอยู่โรงเรียนก็ดู"หน้าตาน่าคบ" ด้วยนี่นา 

เวลานิเทศศาสตร์ถามกันว่าคนนี้ๆรุ่นไหน  พวกครูยังอ้างอิงกันหน้าตาเฉยว่า "รุ่นเจ้าแหม่มไง"  เพราะเราจำน้องแหม่มได้แม่นที่สุด ^_^

สวัสดีปีใหม่ไทยเช่นกันค่ะน้องแหม่ม  ขอให้มีความสุขกายสุขใจแบบไทยๆนะคะ  ของครูตอนนี้กำลังจัดเรียงงานตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง  ก็เลยวุ่นๆหน่อย   แต่ก็เข้ามาในนี้เป็นระยะๆจ๊ะ  ขอบคุณที่น้องแหม่มแวะมาทักทาย อย่าลืมหอมแก้มหลานๆเผื่อครูด้วยเน้อ   

โชคดีปีใหม่ไทยนะจ๊ะ  ^_^

P 

สวัสดีด้วยความเคารพและระลึกถึงอยู่เสมอค่ะอาจารย์หมอมาโนช

แอมแปร์น้อมรับพรด้วยความขอบพระคุณมากๆค่ะ    ขอคุณพระอำนวยพรให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขมากๆในปีใหม่ไทย  ที่เย็นฉ่ำด้วยน้ำพรมของเทศกาลสงกรานต์เช่นกันนะคะ

แอมแปร์นั่งยิ้มที่อาจารย์ขำ   เพราะนึกถึงตอนที่แม่พูดกับเณรน้อยแล้วแอมแปร์ก็ขำกลิ้งเหมือนกันค่ะ  ...อุตส่าห์ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งมากมาย  กว่าจะพูดได้ก็มัวแต่นึกถึง เอ แอ่นด์ เดอะ 
เพรสเซ่นท์ซิมเปิ้ล  พาสต์เปอร์เฟ็กต์  ซับเจ็กต์+เวิร์บ+อ๊อบเจ็กต์   กว่าแอมแปร์จะได้สักประโยค  เณรไปถึงปากซอยแล้ว..

สู้แม่ไม่ได้ ... คำเดียวอยู่เลย  อิๆๆๆๆ

ดีใจมากและขอบพระคุณมากอีกครั้งค่ะที่อาจารย์มาโนชแวะมา    ..แอมแปร์แวะไปบันทึกคำคมของอาจารย์ทีไรแล้วนั่งยิ้มคนเดียวทุกทีเลยค่ะ..  ^_^

P 

สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะน้องจิ  และขอบคุณมากที่น้องจิแวะมาอวยพรด้วยเพลงอีแซวที่น่ารักมากนะคะ 

ขอให้น้องจิ สุขทั้งกายสุขทั้งใจ ในปีใหม่ไทยนี้เช่นกันนะคะ
ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่ะ ^_^

้อ้อ ขอขำๆ ต่อได้ไหมครับ

คืออ่านที่อาจารย์มัทพูดว่า "อ่านจบแล้วคิดว่า ถ้าชาตินี้เป็นผู้ชาย จะจีบพี่แอมป์!" แล้วก็เห็นด้วยครับ อิ อิ

แบบว่าคุณพ่อคุณแม่น่ารักอะครับ เลยมี mood อยากเป็นเขย ส่วนคุณลูกน่ะน่ารักอยู่แล้ว

ล้อเล่นๆ ขำๆ นะครับ

สวัสดีด้วยความสนุกสนานมากอีกครั้งค่ะอาจารย์หมอมาโนช  ^_^

         แอมแปร์ขออภัยอย่างสูงค่ะที่ตอบช้า  เพราะสงกรานต์ปีนี้ญาติๆมากันไม่ขาดสาย    แต่แอมแปร์อารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะได้อ่านโพสต์ติ้งของอาจารย์     วันก่อนตอนอ่านที่ อ.มัทแซว  แอมแปร์ก็หัวเราะขำฮ่าๆๆๆแทบตกเก้าอี้เลยค่ะ     น้องแซวอย่างเฮ้ว ... ได้ใจจริงๆ !!

         ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะสำหรับกำลังใจที่อ่านแล้วปื้มมั่กๆ    คำว่า "น่ารัก" นี้เป็นคำที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกปิติและชื่นใจนักค่ะ  แอมแปร์นั่งยิ้มร่าหน้าบานเป็นกระด้ง  แบบว่าดีใจจนปิดไม่มิด   ^_^

         แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นกุลสตรี     ก็ต้องรีบปรับหน้าให้เหลือเท่าถ้วยข้าวต้ม    รักษากริยาเขินม้วนต้วนไว้ตามธรรมเนียม  ...และดำเนินการบิดผ้าแถบกันเมื่อยมือต่อไป...  อิๆๆๆๆ

         สงกรานต์ปีนี้แอมแปร์ทำให้รู้สึกเข้าใจ"งาน"ของครอบครัวมากขึ้น และชัดขึ้นด้วยค่ะ  เดิมทุกปีในช่วงนี้ที่ญาติพี่น้องมากันอึงคะนึงเต็มบ้าน  แม่กับพ่อซึ่งเป็นพี่คนโตของครอบครัวก็จะจัดการทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ  โดยมีแอมแปร์ลูกมือ 
         ....คือจริงๆแล้วพ่อเป็นลูกมือของแม่...  โดยมีแอมแปร์เป็นลูกของลูกมืออีกที ^_^

         แต่สงกรานต์ปีนี้   บ้านแอมแปร์ได้หลานชายคนแรก  (ซึ่งเป็นลูกของน้องชายแท้ๆ   และตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ )  แม่จึงต้องไปช่วยเป็นโค้ชกำกับการเลี้ยงหลานให้น้องชายและน้องสะใภ้   ส่วน แอมแปร์กับพ่อต้องอยู่บ้านเตรียมรับญาติพี่น้องที่ปีนี้มากันเกือบครบ   และเตรียมโน่นนั่นนี่อย่างเร่งด่วน  ทั้งที่แม่เตรียมไว้ให้เกือบหมดแล้ว 

         ทุกปีที่ผ่านมา เมื่อญาติๆมาค้างที่บ้าน  แม่ก็จะเตรียมอุปกรณ์หลักและอุปกรณ์เสริมในการบริการและอำนวยความสะดวกไว้ให้พรักพร้อม  จะว่าไปแล้วแม่คือผู้จัดการในบ้านตัวจริงนะคะโดยเฉพาะเวลาทำกับข้าว  ที่ทุกคนพร้อมใจกันแห่เข้าไปเต็มครัว    ไม่ว่าพวกน้าๆอาๆจะเอาอะไร      แม่ก็จะเนรมิตเอ๊ยหยิบทุกอย่างในครัวมาให้โดยสวัสดิภาพ  และจะไม่ค่อยยอมให้พ่อดำเนินการให้เป็นอันขาด

         เพราะพ่อ(และพวกอาๆผู้ชายของแอมแปร์)ช่างประยุกต์ตามแบบนักวิทยาศาสตร์ที่ดี    มีอะไรใกล้มือก็คว้ามาปรับแปลงใช้ไปก่อน  จนล่าสุดปีที่แล้วหม้อขนมหวานสุดสวยใบแพงของแม่  กลายเป็นหม้อแกงส้มใบมะขามรสแซบ  ที่โดนอุ่นจนก้นไหม้ไปเกือบครึ่ง    พ่อบอก(อย่างไม่ค่อยแน่ใจ)ว่าดำไปนิดเดียวเอง  : )พวกอาๆผู้ชายก็ช่วยกันสนับสนุนเสียงอ่อยๆว่าใช่...   แม่บอกว่าพ่อเข้าครัวทีไร  แม่เสียววาบๆทุกที... 

         ปีนี้ทุกคนพร้อมใจกันเข้าครัวเช่นเคย     ทำอะไรด้วยกันคงสนุกดีมังคะ    ช่วยกันคนละไม้คนละมือ (คือหลานๆบางคนก็ช่วยให้วุ่นวายหนักขึ้น)   พวกอาๆจะเอาอะไรต่อมิอะไร  แอมแปร์กับพ่อก็หากันมั่วตั้ว  แม่อุ้มหลานอยู่กรุงเทพฯก็ต้องรับโทรศัพท์ประสานงานเรื่องสำคัญกันมือเป็นระวิง  กะทิเช่น  

          “..หม้อหุงข้าวใบใหญ่ยักษ์อยู่ไหนเนี่ยแม่    ที่มีใบช้างๆอยู่สามใบ  ตอนนี้ไม่พอแล้ว” 
          หรือ   “กระติกน้ำแข็งสีชมพูลูกเท่าบ้านอยู่ไหนค้า    ....   น้ำแข็งเต็มบ้านเลย  ตอนนี้ใส่กะละมังซักผ้าพลางๆ...” 
         และ  “ ผ้าขาวบางอยู่หนายแม่   จะเอามาชุบน้ำคลุมผัก    เร็วๆหน่อยแม่.... ตอนนี้พ่อเค้ากำลังจะเอาผ้าปูที่นอนมาคลุมแทนแล้ว..ว.. !!!...   ” 
    
         เจอรีเควสต์หลังสุดนี่ แม่แอมแปร์รีบกระโดดขึ้นเครื่องบินกลับบ้านเลยค่ะ   เพราะกลัวว่าหมดจากตู้กับข้าว   คราวนี้จะลามไปถึงตู้เสื้อผ้าแหงๆ...    อิๆๆๆๆๆ

         วันสงกรานต์คือวันที่ทุกคนในครอบครัวได้มาอยู่กันพร้อมหน้า  แอมแปร์รู้สึกเข้าใจมากขึ้นทุกวันนะคะ    ว่า  “งาน”   ของครอบครัวนี้   แท้ๆแล้วคือการสืบทอดส่งต่อความรัก ความผูกพัน  ความรู้สึกว่ามีกันและกัน  และมีความแน่ใจว่าเราไม่ได้  “อยู่ตัวคนเดียว” ในโลกนี้(อย่างแน่นอน)

         การผูกโยงร้อยรัดเชื่อมคนที่มาจากต่างครอบครัวเข้าหากัน   และผูกพันไว้ด้วยทั้งสายเลือดและทั้งบทบาทความเป็นพ่อแม่  พี่น้อง ลูกหลานเหลนโหลน  ลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายตลอดไปจนถึงทวด  ความรู้สึกเช่นนี้  จะทำให้เราเข้าใจความรัก   รู้สึกรักผู้อื่นได้ง่ายขึ้น  และละเอียดอ่อนกับความผูกพันมากขึ้น

        และคำว่า “ครอบครัว” จะเต็มความหมาย และทรงคุณค่า ก็ต่อเมื่อเรามองออกไปไกลกว่า   “เธอ” กับ “ฉัน” และหัวใจหวานๆของเราสองคน   (สมัยวัยรุ่นทำไมคิดไม่ออกก็ไม่รู้)   เส้นทางของความเป็นครอบครัวนั้นเต็มไปด้วยความเอาใจใส่  ความตั้งใจ  และความรับผิดชอบ ซึ่งมิใช่เรื่องง่ายเลย 

         แต่แอมแปร์ยังมั่นใจอยู่เสมอ   เมื่อได้เห็นว่าหากเราเข้าใจว่าใน “ครอบครัว” นั้น  เราอยู่ในบทบาทใด  และทำหน้าที่ตามบทบาทนั้นของเราด้วยความรับผิดชอบ  ด้วยความรัก  ด้วยความตั้งใจอย่างดีที่สุดแล้ว  ทุกวันที่ได้อยู่ร่วมกับทุกคนในครอบครัว  จะเป็นวันที่มีค่า  มีความหมาย 

        และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม  หากเราเริ่มต้นด้วยการเห็นคุณค่า และเห็นหัวใจของความเป็นครอบครัวแล้ว  ...เราก็สามารถสร้างความรัก  ความผูกพัน  และความอบอุ่นในทุกที่ที่เราไป  ไม่ต่างอะไรกับการสร้างครอบครัวครอบครัวหนึ่งเลย 

        แอมแปร์เคยรำพึงไว้นานแล้วในบันทึกหนึ่งของอาจารย์นะคะ   ...  ว่าอยากฝึกให้เด็กๆที่แอมแปร์สอน  เป็นคนเช่นที่ว่านี้    คือเป็นคนที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม  ก็สามารถสร้างความรู้สึกที่ดี สร้างความรัก ความอบอุ่น ความผูกพัน และสร้างความเป็นครอบครัวให้เกิดขึ้นได้เสมอ

        ถ้าสร้างได้อย่างฝันนี้...  แอมแปร์คงมีความสุขที่สุดในโลกเลยค่ะ 

        ขอบพระคุณอาจารย์มาโนชอย่างสูงอีกครั้งนะคะ   ที่แวะมาขำๆต่อ     แบบที่แอมแปร์อ่านแล้วขำกลิ้งตามไปอีกพักใหญ่   แล้วก็เลยได้นึกถึงเรื่อง “งาน” ของครอบครัวตามไปอีกยืดยาว 

        คืองี้นะคะ  แอมแปร์ก็นึกเลยไปถึงเพื่อนฝูงญาติมิตรที่ชอบอำให้ดีใจ แล้วแอมแปร์ก็เชื่อสนิทเป็นจริงเป็นจัง   : )   คือถ้าไม่บอกว่าพูดเล่น....  แอมแปร์ก็จะตั้งหน้าตั้งตาเชื่ออยู่อย่างนั้นด้วยความมั่นใจ   
       โชคดี(ของอาจารย์)ที่บอกไว้ล่วงหน้าว่า ล้อเล่น แล้วนะคะเนี่ย....    ^_^      ^_^

     
  .... ม่ายงั้นแอมแปร์จะเชื่อสนิทมิตรสหายเลยอะค่า ..!!..     
        
                                      ... อิๆๆๆๆๆๆ ..

ดอกไม้งามในทะเลลึก

อย่าหายไปนานเลยครับ  ห้วใจช่างห่อเหี่ยวเหลือเกิน ขาดคนมาห่อเก็บ  

คงสบายดีนะครับ  ยังไงก็ยังคงคิดถึงไม่ขาดครับ

สวัสดีด้วยความระลึกถึงอย่างสูงเช่นกันค่ะเล่าฮูสิทธิรักษ์

แอมแปร์ดีใจมากที่เล่าฮูแวะมาที่บันทึกนี้อีกครั้ง  ขอบพระคุณมากๆๆจากใจจริงสำหรับความคิดถึงนะคะเล่าฮู  แอมแปร์มีความจำเป็นต้องห่างหายไปช่วงหนึ่ง   ถึงวันหยุดทีจึงจะได้โผล่มาที  เพราะภาระงานที่หนักอึ้งแบบแทบปลีกตัวไม่ได้  ทั้งงาน(ครู)ที่โรงเรียน  และงานของครอบครัว (ช่วยพ่อกับแม่เลี้ยงหลานตัวน้อย  วงเล็บ  อีกแล้ว)ที่บ้าน    ซึ่งทำให้เหนื่อยจนหมดแรงตั้งแต่หัวค่ำ

พองานทุกอย่างเสร็จก็ต้องรีบเสด็จไปนอนพักเอาแรง  เพื่อว่าจะได้กะย่องกะแย่งตื่นมาทันทีที่ชาติต้องการ   : )

เพื่อนๆแซวว่าช่างเป็นชีวิตอนามัยที่หนักอึ้งตอนแก่    แอมแปร์เก๊าะแซวกลับว่าหยั่งฮี้แหละ ..เป็นความสุขที่หนักหน่วงดี...   อิอิ

ขอบพระคุณอย่างสูงอีกครั้งที่เล่าฮูแวะมาทักทายนะคะ  แอมแปร์ก็ระลึกถึงเล่าฮูเสมอเช่นกัน  ถึงแม้จะห่างหายไปบ้าง  แต่ก็ไม่ถึงกับห่างเหินไปเลย นะคะเล่าฮู ^_^

โปรดรักษาสุขภาพนะคะเล่าฮู   ท่านเป็นแพนด้าเอ๊ยเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ยาวไกลลึกล้ำ  ดังที่ท่านสามารถเล็งเห็นได้แม้กระทั่งอะไรลิบๆในท้องทะเลลึก  และยังระบุได้ว่างามโดยไม่ต้องใส่แว่นอีกด้วย  สุดยอดจริงๆอะค่ะ    อิอิอิ   ^_^

แวะมายืนยันด้วยคนค่ะว่าคิดถึงมาก และมีอีกหลายๆคนคิดถึงน้องแอมแปร์มากๆ พี่โอ๋ก็ภาระกิจที่ต้องใช้แรงงานทำติดพันเหมือนกันค่ะ หายไปเป็นช่วงแต่ไม่นาน เห็นใจคนที่ติดภาระกิจมากๆ แต่ก็อดที่จะมาตามจี้บอกอีกทีไม่ได้ว่า มาเขียนเล่าสั้นๆใน อนุทินบ้างก็ได้นะคะ ก่อนนอนวันละ จึ๊กนึง (น้องแอมแปร์เขียนสั้นๆไม่ค่อยเป็น...จะได้หัดไงคะ....อิ...อิ...) 

สวัสดีด้วยความเคารพรักและคิดถึงมากๆๆๆๆๆค่ะพี่โอ๋  

ดีใจจังเล้ย..ย...  พี่โอ๋แวะมา..า...  !!!

วันนี้แอมแปร์เจออาณิชยารัตน์  (ผศ.ณิชยารัตน์ ศรีสุขใส ที่ราชภัฏนครฯ) อาณิชย์เล่าให้ฟังเรื่องไปเป็นวิทยากรที่ มอ.คราวโน้นว่าสนุกมากๆ  และจำพี่โอ๋ได้อย่างแม่นยำด้วยด้วย  แอมแปร์ก็เลยคิดถึงพี่โอ๋เป็นสองเท่า  : )

แอมแปร์หายหน้าหายตา(โดยไม่ได้หายตัว)ไปในช่วงนี้  เพราะนอกจากงานหลักสูตรที่หนักมากแล้ว   ยังต้องช่วยแม่กับพ่อเลี้ยงหลานชายน้อยๆอายุสี่เดือนครึ่งที่บ้านด้วยค่ะพี่โอ๋  เพื่อนแอมแปร์บอกล้อๆว่า  ขอแสดงความยินดีด้วย ถึงแม้ไม่ได้แต่งงาน แต่ชีวิตก็ครบวงจรเหมือนเพื่อน อิๆๆๆ

น้องชายกับน้องสะใภ้แอมแปร์ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และไม่สามารถหาคนเลี้ยงเด็กได้เลยค่ะพี่โอ๋ เลยต้องส่งหลานมาให้ปู่กับย่าและป้าแอมป์ช่วยเลี้ยงที่บ้าน ซึ่งไม่ได้เลี้ยงเด็กอ่อนร่วมกันมานานหลายปีแล้ว 

ช่วงนี้ แอมแปร์กับพ่อกับแม่ จึงต้องบริหารจัดการเวลาร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  ทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้านทุกชนิด
 และต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับการดูแลหลานชายน้อยๆ  ที่คงกำลังพยายามปรับตัวเข้ากับ ปู่ ย่า และป้า ของเขาเช่นกัน 

กว่าหลานจะยอมนอนแต่ละคืน  แม่กับพ่อกับแอมแปร์ก็แทบเหงื่อตก  พอหลานหลับเราก็ต้องรีบหลับด้วยเพื่อเอาแรงผลัดกันตื่นมารับมือกับเธอต่อไป

......ไม่น่าเชื่อเลยว่าการรับมือกับคนตัวกระเปี๊ยกนี้  ต้องใช้คนตัวโตๆถึงสามคน  และถึงกระนั้นแล้วก็ยังทำอะไรไม่ค่อยทันกันอยู่ดี...  แอมแปร์นึกชื่นชมพี่โอ๋กับคุณพ่อของสามหนุ่มจริงๆ    : )

เห็นหลายๆครอบครัวที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันนี้แล้วนึกเห็นใจทุกคนเลยค่ะพี่โอ๋  แต่โดยส่วนตัว สภาพชีวิตเวลานี้ก็ทำให้แอมแปร์เรียนรู้ที่จะมีความสุขไปอีกแบบ...

      ...แบบว่าหัวหมุนวุ่นวาย  แต่ก็สุขใจแบบน่ารักๆดีเหมือนกัน...

แอมแปร์เลยได้ข้อคิดว่า อย่าคาดหวังให้ครอบครัวเหมือนทีมฟุตบอล   ในปริบทของครอบครัวนั้น  อาจไม่ต้องมี"ผู้เล่น"ครบทุกตำแหน่งก็ได้    แต่ทุกตำแหน่งที่มีอยู่  ต้องเล่นบทบาทของตนเองอย่างตั้งใจ  และเต็มความรับผิดชอบเสมอ  เพื่อสร้างปริบทของครอบครัวที่ดีให้ได้ 

..ครอบครัวแอมแปร์ก็กำลังพยายามตอบโจทย์นี้อย่างตั้งใจเช่นกัน..  ^_^ 

หลานน้อยๆชอบให้แอมแปร์อุ้มแล้วท่องบทกล่อมเด็ก โยกเยกเอ้ย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ  หมาหางงอ  กอดคอโยกเยก  ให้ฟัง  ท่องซ้ำๆอยู่อย่างนั้นจนหลับปุ๋ยไป 

แอมแปร์นึกถึงบทที่ชอบท่องเล่นๆสมัยเด็กๆขึ้นมาทันที    พี่โอ๋อาจจะเคยได้ยินมาแล้วนะคะ

                    หนึ่ง สอง สาม ปลาฉลามขึ้นบก 
                    สี่ ห้า หก จิ้งจกยัดไส้ 
                    วัน ทู ทรี จั๊กกะจี้หัวใจ 
                    ฉันเจ็บใจเพราะ จุด จุด ตัวนี้ (เซ็นเซอร์)

ตอนชี้ไปที่เพื่อนแล้วต้องเผ่นให้ทัน  ก่อนที่เธอจะกระโดดตื้บนั้น ฉะ-หนุก ดีพิลึก...    อิๆๆ...

การมีชีวิตอยู่กับเด็กๆนี้เป็นความสุขอย่างง่ายที่แอมแปร์ชอบมากเลยค่ะพี่โอ๋  และในหลายๆครั้ง  ความสุขอย่างง่ายของแอมแปร์  ก็ประกอบด้วยรายละเอียดที่เมื่อเขียนแล้วก็มักยาวเกินสามย่อหน้าทุกทีไป  

ว่าแล้วก็ถูกใจคำว่า จึ๊กเดียว ของพี่โอ๋จริงๆ   อิอิ  แอมแปร์เขียนสั้นๆแบบ   จัสต์ วัน จึ๊ก  ไม่ค่อยเป็นจริงๆด้วยนะคะ  : )   นี่ขนาดว่าพยายามนั่งหั่นเอ๊ยนั่งหัดแล้ว   ...ก็ยังยาวไปหลายกิโลแม้วเช่นเคย

ดังนั้นเมื่อนึกถึงคำคมนี้ของ Mark Twain ทีไร  แอมแปร์นั่งยิ้มขำคนเดียวทุกที     ^___^ 

It usually takes me more than three weeks to prepare a good impromptu speech.    

 
ขอบพระคุณมากๆนะคะที่พี่โอ๋แวะมาทักทายอย่างอบอุ่น..  (มาสองคนเลย )  ^_^    สามหนุ่มของพี่โอ๋คงโตขึ้นเยอะแล้วนะคะ
 แอมแปร์ยังตามอ่านบันทึกของพี่อยู่เสมอทุกครั้งที่ออนไลน์ได้ค่ะ  ช่วงนี้เน็ตของแอมแปร์ไม่ค่อยเสถียร มีจังหวะล็อกอินเมื่อคืน
ก็ยังหลุดกระเด็นไปหลายหน  และหลังจากนี้ก็อาจไม่มีเวลาแวะมาได้ไม่บ่อยนัก เพราะภารกิจคุณป้าดังกล่าวข้างต้น

ขอบพระคุณพี่ๆน้องๆที่น่ารักทุกท่าน   ที่ยังคิดถึงกันอยู่เสมอ  แอมแปร์ซาบซึ้งใจจริงๆ   : )     ขออนุญาตฝากความระลึกถึง  คิดถึงทุกๆท่าน  ผ่านบันทึกนี้ด้วยนะคะ  :-)
 
และแอมแปร์ตั้งใจไว้ว่าเมื่อมีเวลาว่าง และใจนิ่งๆ(ไม่ต้องวิ่งจู๊ดไปจู๊ดมา)เมื่อไหร่   ก็จะตั้งสติเขียนไปพร้อมๆกันทั้งอนุทินและบันทึก 
 
                    .....เอาแบบหลายๆจึ๊ก เลยค่ะพี่โอ๋   ..อิอิอิอิ...
                                           

ตามมายิ้มกับ คำตอบที่เป็น 1 บันทึกได้สำหรับพี่โอ๋เลยนะคะนี่ หายคิดถึงสำนวนน้องแอมแปร์ไปได้หน่อย อยากเจอตัวเป็นๆจังเลยเนาะ

พูดถึงอ.ณิชยารัตน์ คิดถึงท่านจังนะคะ พี่โอ๋อยากเอาเสียงร้องและเพลงของท่านมาเผื่อแผ่ชาว GotoKnow ที่เป็นคุณครูทั้งหลายมากๆเลยนะคะ ถ้าน้องแอมแปร์ทำได้จะดีเยี่ยมเชียวค่ะ ประทับใจท่านมากๆ

จะตั้งใจรออนุทินและับันทึกของน้องแอมแปร์นะคะ เผลอแป๊บเดียวก็ขวบแล้วล่ะค่ะ น้องหนูต้องเป็นเด็กอารมณ์ดีแน่ๆเลยค่ะ คุณปู่ คุณย่า คุณป้าท่าทาง"มันส์ๆ" ทุกคนเลย เอาใจช่วยนะคะ พี่โอ๋เลี้ยงมา 3 หนุ่มกันเอง 2 คนพ่อแม่ รู้ว่าเวลาเจอง่ายแบบพี่วั้นก็สบายไป แล้วพอเจอยาก 2 แบบอย่างพี่เหน่นกับน้องฟุงก็สะบักสะบอมกันไปทั้งคู่เลยค่ะ แต่พอถึงช่วงที่เขาเรียนรู้ที่จะทำอะไรๆเองแล้วเราสอนเขาแบบที่เราตั้งใจให้เป็น คือให้ลูกมีวินัย รู้หน้าที่ของตัวเองตั้งแต่เล็กๆ มาถึงตอนนี้ก็เรียกว่าทุกประสบการณ์ที่ผ่านมามีค่ามากมายจริงๆค่ะ ดีใจที่น้องแอมแปร์ได้มีโอกาสทองแบบนี้เหมือนกันด้วยคนค่ะ เลี้ยง"เด็ก"สนุกจริงๆค่ะ

                               

สวัสดีด้วยความระทึกใจมากค่ะพี่โอ๋

แอมแปร์มีเวลาแว่บมาหนึ่งจึ๊ก  เพราะวันหยุดนี้น้องชายกับน้องสะใภ้มาหาหลานได้  คืนนี้หลังจากทำงานเสร็จก็เสด็จมาออนไลน์ได้สักแป๊บ  ระทึกใจกับระบบช่วงนี้จริงๆ  ไม่แน่ใจว่าจะโพสต์ได้ไหม  แต่อย่างไรก็เอาใจช่วยทีมงานเช่นเคยค่ะพี่โอ๋

แอมแปร์ชอบใจที่พี่โอ๋เล่าเรื่องเลี้ยงลูก น้องวั้น นองเหน่น และน้องฟุง มากค่ะ  พี่โอ๋เขียนถึงข้อคิดที่ทำให้ "นึกขึ้นได้"  เมื่อเจอประสบการณ์ตรงในการเลี้ยงหลานอายุสี่เดือนครึ่งอยู่หลายข้อ  พอเพื่อนๆโทรฯมาคุยด้วยแอมแปร์ก็เลยสาธยายให้ฟังอย่างสนุกสนาน (เพราะจำที่พี่โอ๋บอกได้)  

เพื่อนชมว่าเอ๊ก-สะ-เปิดจริงๆ ช่วยเมลมาเล่าวิธีเลี้ยงหลานให้ฟังหน่อย    พวกป้าๆจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า    แอมแปร์ตกกะใจน่าดู   เพราะจำไปจากบันทึกพี่โอ๋ไม่ได้คิดเอง แต่เพื่อนปลอบใจว่าเล่าๆไปเหอะ  เอาแบบที่เจอมากับตัวนี่แหละ..บ้านๆดี   แอมแปร์เลยแว่บมาถอดผ้าอ้อม เอ๊ยถอดบทเรียนของตนเองในบันทึกนี้เล็กน้อย     แล้วส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมลไปให้เพื่อนๆ    เผื่อจะเป็นข้อคิดเล็กๆน้อยๆให้กับคุณป้ารุ่นต่อไป ที่อาจบังเอิญหลงมาอ่าน  ท่านจะได้ไม่ทรงพระวิงเวียนอย่างที่แอมแปร์เจอมาแล้ว ^_^  

  (จึงเรียนมาเพื่อขออนุญาตใช้ภาษาแบบที่สนทนากับพวกป้าๆเอ๊ยพวกเพื่อนๆนะคะ)

ของฝากสำหรับคุณป้าทุกคน  : )

1.ถ้าท่านแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะรีบไปทำงาน

จงหักห้ามใจอย่าอุ้มหลานที่ไม่ได้ใส่แพมเพิร์สเป็นอันขาด   เพราะอาจเจอพลังสายน้ำแบบมิคาดฝัน จนไปทำงานสายโดยไม่เจตนา 
และสำหรับพวกผู้หญิง  ตอนเช้าๆ  อย่าหอมแก้มหลานทั้งเครื่องสำอางเด็ดขาด    แก้มเด็กอ่อนบอบบางมาก  พร้อมจะเป็นเม็ดผดผื่นได้ทันที ต่อให้ใช้(ทั้ง)ลัง(ทั้ง)โคมก็เอาไม่อยู่     ...เผลอๆท่านอาจโดนย่าของหลานมองตาเขียวปั๊ดชัดเจนอีกต่างหาก

2. สร้างจุดขาย เพื่อให้หลานจำได้ 

เด็กเล็กๆจำเสียงได้ก่อนจำหน้า  จงหาเอกลักษณ์อันเป็นอัตลักษณ์ของตัว เพื่อให้หลานจำได้ไม่สับสน   ของแม่เราใช้เสียงหะเอ๊อ..อ..อ..   แล้วก็  เอะ เอ... เอ้... เอ้อะ.. (ลงท้ายคล้ายๆงี้แหละ) ตอนกล่อมนอน หลานเราจำได้จริงๆนะ

ของเราใช้ โยกเยกเอ้ย (เวอร์คลาสสิก) กับอันนี้

        ลูกไก่มันร้องเจี๊ยบ เจี๊ยบ
        ลูกแมวมันร้อง เมี้ยว เมี้ยว
        ลูกหมามันร้อง บ๊อก บ๊อก
        น้องเอิร์ธร้อง  แง่.. แง่.. แง่...

หลานเราฟังแล้วยิ้ม..ม..ม..  เห็นเหงือกด้านในเลยขอบอก.. 

ของพ่อเราเจ๋งสุด  เพราะพ่อบอกว่าร้องได้เนี้ย  และพูดอย่างอื่นไม่เป็น       พ่อใช้ว่า ป๊ะกะถึ่ง ถึ่งป๊ะถึ่งๆ  ป๊ะกะถึ่ง ถึ่งป๊ะถึ่งๆ  ป๊ะกะถึ่ง ถึ่งป๊ะถึ่งๆ  วนไปวนมาอยู่ยังงี้จนหลานเราทำหน้าเบ้แบบอยากจะร้องไห้แล้วจริงๆนะ  คือคงเบื่อสุดขีดแต่บอกไม่ได้ ^_^

ข้อคิด  เตรียมเพลงไว้หลายๆเพลง  นึกถึงใจเราที่โดนบังคับฟังเพลงเดิมๆที่เราไม่ชอบซ้ำไปซ้ำมา  คงเบื่อน่าดู  แต่ของพ่อเราบอกว่าร้องได้เพลงเดียวเนี่ยแหละ  สุดฝีมือแล้ว  หรือไม่ก็หยุดร้อง  อดฟังไปเลย  อิอิ

3.ช่วงไคลแม็กซ์ จงเงียบสถานเดียว

ช่วงง่วงกำลังจะนอน..  เด็กบางคนหูไวจนน่ากลุ้ม นิดก็แอ๊ะ หน่อยก็แอ้..แอ้..แอ้  ยิ่งช่วงง่วงๆจะหลับมิหลับแหล่ ยิ่งต้องระวัง  เพราะเสียงอะไรนิดเดียวก็ทำให้เธอตาสว่าง ลุกขึ้นมาร้องแง แง แง  กว๊ากๆๆๆๆๆ...ใหม่ได้  โดยไม่ต้องมีเหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว 

และลงว่าได้ร้องละก็   ท่านเป็นต้องกลับมาเริ่มใหม่ตั้งแต่จุดเริ่มต้น     ร้อง เอ่ เอ๊ กันจนคอแห้ง   เมื่อยแขนแทบหลุด ....ขอยืนยันด้วยเคาเตอร์เพนสองหลอดเป็นอย่างน้อย

4.เป็นธรรมชาติ

อันนี้เพิ่งอภิปรายกับแม่ (ย่าของหลาน  แม่ของเรา) มา เพราะแม่บอกว่าเด็กต้องให้กินนอนเป็นเวลา  แล้วเด็กจะไม่งอแง คนเลี้ยงก็ไม่เหนื่อย   ที่แม่พูด  เราก็คิดว่าถูก  แต่ไม่ค่อยอยากให้บังคับนอนตอนที่หลานยังไม่อยากนอน  (คือจับใส่เปล หรือจับให้นอนในท่าบังคับ เช่นท่านอนหงาย หรือนอนตะแคง  หรือนอนคว่ำ แล้วตบก้นเอ่เอ๊ (จะเขียนไปทำไมอ๊ะเหนี่ย  ก็มีอยู่สามท่าเนี่ยแหละ )ตอนที่หลานเรายังไม่ง่วง

ดูแล้วหลานออกจะลำบากใจ  ออกแนวคับข้องใจนิดหน่อย แล้วก็ร้องแงๆ แบบไม่ค่อยชอบใจ  ไม่เป็นธรรมชาติ   แต่แม่บอกว่าหยั่งงี้แหละ เด็กเขาจะนอน  แม่เราออกแนวมั่นใจมาก    ห้ามเถียงอีกตั่งหาก

เลยบอกแม่อย่างดีว่าเอาฮี้   ขอหนึ่งที  เดี๋ยวอุ้มให้ รับรองจะเอ่เอ๊..   หะเอ๊อ..  อึอื๊อ.. อ.. อ..   ฮื้อฮือ..  แป๊บเดียวหลับ  ถ้าไม่หลับยินดีคืนหลานให้  ..ไม่ต้องทอน..

แล้วอาศัยช่วงแม่นั่งหัวเราะ  รีบอุ้มช้อนตัวหลานขึ้นมาจากเปล   โยกตัวแกว่งเบาๆแบบเปลชั้นดี  (คือเราต้องเป็นเปลที่ดูดีกว่า)   แล้วชวนคุยด้วยคำที่เป็นเอกลักษณ์หรือจุดขายเฉพาะตัว  ที่หลานรับรู้ว่าถ้าเป็นคนนี้อุ้ม  ก็จะได้ยินบทนี้แหละเป็นประจำ     อาจเป็นร้อยกรอง บทร้องเล่น หรือประโยคคำพูดเด่นๆที่คล้องจองกันเป็นจังหวะ  อย่าให้เสียงดัง  เอาแบบนุ่มๆขอบชีส เอ๊ยนุ่มๆกำลังดี 

หลานจะนิ่ง สงบ (เพราะง่วงได้ที่แล้ว  ถูกของแม่) และไม่งอแง(เพราะถูกบังคับให้นอน ซึ่ง(เราคิดเอาเองว่า)ถูกของเรา)  พอหลานง่วงได้ที่แล้วค่อยเอ่เอ๊กล่อมนอน   รับประกันว่าจะหลับอย่างดี เต็มประสิทธิภาพ (แปลว่าหลับสนิท)

ถ้าไม่ได้ผล จงรีบคืนหลานให้แม่ และรีบเผ่นให้พ้นแอเรียนั้นโดยเร็ว  เพื่อเกียรติภูมิและสวัสดิภาพของท่านเอง  อิอิอิ

5. ตัดสินใจให้เด็ดขาด  ก่อนแทนตัวเองว่า "ป้า" ในที่ทำงาน

เพราะลงว่าได้ ป้า เข้าทีหนึ่งแล้ว  คราวนี้ก็ต้อง ป้า  ตลอดไป  ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง(ผู้อื่น)ได้     อันนี้โทษหลานไม่ได้   คือมันมาเองตามวัยและใบหน้า    อยู่ดีๆเพื่อนเห็นหน้าก็เรียก  "ป้า" หน้าตาเฉย  โดยไม่ขออนุญาตกันเลย...  แถมบางคนยังชอบเรียกดังๆให้ได้ยินกันทั้งซอยเอ๊ยทั้งตึกอีกด้วย   

ท่านว่าจงหนักแน่นมั่นคง   และแทนตัวเองว่า พี่ อย่างเข้มแข็งต่อไป ใครเรียกป้าก็จงทำไขหูเสีย    แต่ระวังเขาจะแซวว่า แก่แล้วยังหูตึงอีก  จะเจ็บใจแบบดับเบิ้ล : ) 

อนึ่ง เมื่อท่านได้รับแบ็คเวิร์ดเมลนี้แล้ว จงส่งต่อไปให้ครบคนเท่าจำนวนอายุ  ท่านจะถูกเลขท้ายสามตัวเป็นอย่างน้อย  และเลขท้ายสี่ตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ดีกว่าไม่ถูกเลยสักตัว  อิอิ

อ่านเมลที่ตัวเองส่งไปให้เพื่อนแล้วก็กลุ้มใจค่ะพี่โอ๋  เพราะมันยาวมากเช่นเคย  แต่คาดว่าเพื่อนคงอ่านแค่บรรทัดแรกก็เลิกอ่าน

เพราะแค่ประโยคขึ้นต้น ...ก็ชวนให้โมโหจะแย่แล้วน่ะค่ะ   อิอิอิอิ

 

หลานเด็กน้อยสารภี

สวัสดีค่ะ อยากเห็นหน้าเจ้าหลานตัวน้อยของ อ.แอมป์จัง

อ่านไปอมยิ้มไปนะเนี่ย...

เมื่อคืนหลาน ๆ มานอนที่บ้าน

กว่าจะหลับก็ต้องร้อง งง ไป งงง ไป อยู่หลายเพลง

จับปูดำ ขยำปูนา...

แมงมุมลายตัวนั้น...

ให้เจ้าเป็นเด็กดี..ให้เจ้ามีพลัง...

..

.

ภาระในเขตอ้อมแขน ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ !!!

อิ อิ

ปล. ต้นเดือนสิงหา

อิฉันว่าจะ

ไปฮานแต่งฮานเพื่อนนิเทศ (พรหมคีรีน่ะค่ะ)

ว่าจะไป ว่าจะไป...

จ้ะเอ๋ พี่แอมป์ แหม อุตส่าห์ดีใจคิดว่ากลับมาแล้ว

* ....

* 5 5 ... จับปูดำ ขยำปูนา ...

.. ตามตามลูกศิษย์ พี่แอมป์นะคะ  น่ารักจัง ...

* ปูรึ อยากจะเปลี่ยนชื่อเหลือเกิน อิ อิ

* ...

ยังไม่ได้ตอบ จดหมายรักฉบัยไม่ถ้วนเลยนะคะ

* อิ อิ ... น่าจะให้พี่แอมป์ มาช่วยเขียนรายงานจริงๆ

* ...

* คิดเท่าไหร่ คิดม่ายยอกกอ จริงๆ แหม ทีเขียนเล่นๆ

ล่ะ คล่องมาก ... 2อาทิตย์แล้วค่ะ ... เฮ้อ  สงสัย งง

* ....

ขำ ตอน 3 ยืนยันแข็งข้น ก่อนแทนตัวเองว่าป้า

* เดี๋ยวนี้นะคะ ต้องแทนตัวเองว่าพี่แล้วค่ะ สำหรับปู

เฮ้อ ดูหน้าตาไม่ได้เล้ย ... อิ อิ เพราะหน้าเรายังอ่อน

เอ หรือไม่ ก็หน้าตา ปู เป็นยายมาตั้งแต่ ปี 1 ไงค่ะ

เลย คงที่ถาวร ... ไม่เปลี่ยนแปลง หุ หุ ... 

*  ....

* งั้น ปูคงต้องขอ ยืนยัน พี่ ไปจน เกษียณเล้ย ดีกว่า เฮอๆ

* อยากเกษียณ เร็วๆ จังเลยค่ะพี่แอมป์ ... แบบขี้เกียจ :)

* ....

มีความสุข มากๆ นะคะ อย่าลืมไปดู น้องฟ้า กะ นายเมฆ นะคะ

ให้พี่สนุกสนาน กับการเลี้ยงน้อง ... ภารกิจนี้ ใหญ่หลวงนัก

ขอชื่นชม เป็นกำลังใจให้ค่ะ ... ความเป็นแม่คงประเสริฐสุดแล้วนะคะ :)

*

 

หวัดดีค่ะน้องแหม่ม

สบายดีหรือจ๊ะ  มดตัวน้อยตัวนิดยังติดน้าแหม่มเป็นตังเมอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม  มีหลานๆอยู่ใกล้ๆตัวน่ะเวียนหัวดีออก  เอ๊ยสนุกดีออก  ^_^    ดูๆแล้วครอบครัวน้องแหม่มมีครบทุกเจ็นเนอเรชั่นเลยเนอะ    

ครูคิดว่าการมีสมาชิกในครอบครัวเป็นคนต่างวัย น่าจะทำให้เด็กๆในครอบครัวนั้นได้เรียนรู้และเข้าใจวิธีคิดและวิธีทำของคนต่างรุ่น
 โดยพื้นฐานของความรักใคร่และไว้ใจกัน  แม้จะคิดต่างเห็นต่างบ้าง  แต่ก็น่าจะปรับตัวเข้าหากันได้ในสักวันหนึ่ง 

 เด็กๆคนใดที่ได้อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น มีความรักความเข้าใจเป็นพื้นฐาน มีสิ่งแวดล้อมที่ดี  ก็นับว่าโชคดีนักหนา   ขณะเดียวกัน เด็กๆบางคน แม้จะเติบโตบนฐานของความไม่พร้อม และสิ่งแวดล้อมที่ไม่อำนวย   เขาก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัวแบบใดก็ตาม  เพราะเขาเรียนรู้ที่จะปรับตัวปรับใจ และเรียนรู้ที่จะรับสภาพได้ตามที่เป็นจริง 

การรู้จักปรับตัวปรับใจเข้าหากัน  น่าจะนำไปสู่ความฉลาดและความมั่นคงทางอารมณ์  ครูว่าเด็กที่คิดได้เช่นนี้  เป็นเด็กที่โชคดีจัง 

เมื่อมีคนต่างวัย ทั้งผู้ใหญ่ เด็กและคนแก่อยู่ในบ้าน  เราจะได้ทำ "งานของครอบครัว" อย่างเต็มที่ ครบวงจร  เริ่มจากเลี้ยงเด็ก และสรุปลงที่ดูแลคนแก่ ตอนที่เราแก่ๆกำลังดี 

นี่เป็นเสน่ห์สำคัญและเป็นภูมิปัญญาของครอบครัวไทย  ที่ยึดโยงสายใยทุกเจ็นเนอเรชั่นไว้ด้วยคุณธรรมคือ  ความกตัญญู ที่แสดงออกเป็นรูปธรรมด้วยการเลี้ยงดู "คนที่เลี้ยงดูเรามา"ในยามที่เขาแก่เฒ่า เพื่อตอบแทนบุญคุณ

คุณธรรมนี้ต้องอาศัยการถ่ายทอดปลูกฝังกันอย่างลึกซึ้งรุ่นต่อรุ่นเลยจ๊ะน้องแหม่ม  ครูคิดว่า"ความกตัญญู"นี้   ช้วยประคองให้สังคมไทยมีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่มาก

มีประโยคหนึ่งที่ครูเคยได้อ่านและเมื่อเจาะจงคิดถึงความหมาย  ครูรู้สึกชอบจัง จึงขออนุญาตยกมาที่นี่ 
  
"เราต่างเป็นสิ่งแวดล้อมของกันและกัน" 

ครูได้ข้อคิดอย่างหนึ่งจ๊ะน้องแหม่ม   มนุษย์ควรได้รับการฝึกทำจิตใจให้ดี เพื่อจะได้ไม่เป็น"สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ" ของผู้คนรอบข้าง
  ครูก็เพียรพยายามที่จะเป็น"สิ่งแวดล้อมที่ดี"ของหลานครูทุกวัน  ด้วยการพยายามไม่ตะโกนร้องเพลงเสียงหลงผิดคีย์อีกต่อไป  อิๆๆๆ  ^_^ 

น้องแหม่มเป็นน้าที่รักหลานและหลานๆรัก  แล้วก็เข้าใจหลาน  เป็นที่พึ่งของหลานได้  เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ก็ได้ ครูว่าหลานๆของน้องแหม่มโชคดีมากเลยจ๊ะ

การเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีของหลานๆ  เป็นงานที่ไม่เกิน "ภาระในเขตอ้อมแขน"   ^_^ ที่คุณน้าแหม่ม อาจต้องทำแทนคุณพ่อคุณแม่ และคุณตาคุณยายของหม่าภู ลูกพิม และลูกพัดในหลายๆครั้ง     และครูเชื่อว่าน้องแหม่มจะทำได้ดีมากด้วยนะคะ

ส่วนเรื่องงานแต่งงาน .. โห.. จริงง่ะ !!  เด็กนิเทศฯแต่งอีกแล้วเหรอ..!! แซงครูไปอีกแล้ว  : )     ครูฝากแสดงความยินดีกับเพื่อนด้วยเน้อ  ไมทราบว่าใครน้อ  ถ้ามีจังหวะดีๆพวกครูจะได้แวะไปแสดงความยินดีกัน  

ถ้าน้องแหม่มมีโอกาสแวะมา  อย่าลืมส่งข่าวนิดนะจ๊ะ   ขอให้โชคดีมีความสุขจ้า ^_^

ดีใจๆ พี่แอมป์มาแล้ว

กินข้าวกับอะไรค่ะ

คิดถึงอิตายนิ อย่างแรง

ระวัง น้องร้อง แว้ ขึ้นมานะพี่แอมป์

เฮอๆ ... เวลาเด็กร้อง แว้ด ขึ้นมา

ปูก็ refer เคสท์นี้ให้อี๋ เลยล่ะคะ

... 

หวัดดีจ๊ะลูกปู  ^_^

พี่แอมป์เปิดเมลเช็คการบ้านเด็ก  เจอแมวของ G2K เลยรีบกระโดดตามลิงก์แวะเข้ามาหาจ๊ะ  เพราะรอบหน้ากว่าจะได้แวะมาก็คงยาวไปเป็นอาทิตย์อีกเช่นเคย   ดีใจและขอบคุณที่ลูกปูแวะมาเยี่ยมบันทึกนะจ๊ะ  พี่เชื่อว่าด้วยความละเอียดอ่อนของน้อง  จะทำให้น้องทำงาน "ตอบจดหมายรัก" ได้อย่างคล่องแคล่วเลยจ๊ะ  พี่แอมป์เอาใจช่วยเนอะ 

ช่วงนี้  พี่แอมป์กับพ่อกับแม่ก็กำลังทำหน้าที่คุณป้าและคุณปู่คุณย่าอย่างดีที่สุดจ๊ะลูกปู  และพร้อมเสมอสำหรับวันที่พ่อกับแม่ของหลาน  จะมารับหลานกลับไป  (คือว่าปากแข็งนิดหน่อย  นึกแล้วก็อดจ๋อยไปล่วงหน้ามิได้)  แต่สิ่งที่ดีที่สุดในโลกคือการที่พ่อแม่ลูก ได้อยู่ร่วมครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากัน  ดังนั้นเราจึงเตรียมพร้อมเสมออย่างที่ว่า    ^_^

พี่เลยทั้งกอดทั้งหอมหลานล่วงหน้าวันละเป็นร้อยฟอด  คาดว่าจะมีพอสต็อกไว้จนหายคิดถึงเลยจ๊ะ  อิๆๆๆๆ

พอลูกปูแวะมาพี่เลยนึกออก (อีกที) ว่าอยากเขียนบันทึกเรื่องบทร้องเล่นของเด็กจังจ๊ะ   เดี๋ยวว่างๆเขียนมั่งดีกว่า  อ่านผ่านตามาหลายเว็บไซต์ อ่านทีไรขำกลิ้งทุกที

สมัยเด็กๆพี่ก็ชอบร้องเล่นอยู่หลายบท  พอมาสมัยแก่ๆเกือบลืมหมดแล้ว  อยากบันทึกไว้ให้หลานอ่านตอนโต  สมัยนี้คงเปลี่ยนไปเยอะ  พี่ตามไม่ทันแล้ว   ของหลานรุ่นแรกๆที่พี่พอจำได้ก็เช่น 
 
               ยาหย่าย่า               ยูหยู่ยู่
               คุณแม่ซักผ้า           คุณยายสระผม      
               กินลูกอมโบตัน        ยาสีฟันคอลเกต   
               สบู่วิเศษ                  เรามาเล่นฉู่ชี่

อันนี้ของแถวบ้านพี่แห-แห  เพราะมีคำว่า ฉู่ชี่  (ภาษากลางใช้ว่า เป่า ยิ้ง ฉุบ) ซึ่งหมายถึง การทำมือเป็นสัญลักษณ์ กระดาษ ฆ้อนหรือกรรไกร  แล้วสองฝ่ายกำมือทำเป็นรูปสัญลักษณ์แต่ละแบบ มาสู้กันตามข้อตกลงการสื่อความหมาย การปะทะกันของสัญลักษณ์นั้น ใครแพ้ก็คัดออก สนุกชะมัด  (ภาษาวิชาการทำไมถึงชวนเวียนหัวนักนะ)

หรือไม่ก็อันนี้เลยจ๊ะลูกปู  : )

คุณยายกินไก่  ใส่พริกไทยร้อยเม็ด      (หู... )
แต่ว่าเผ็ด       ใส่พริกไทยเม็ดเดียว     (ตกลงยายจะเอาไงอะ)  
อีแตงโมว่า..                                     (แตงโมไหนก็ไม่รู้  รู้แต่ว่าเป็นเด็กผู้หญิงแหงๆ  อิอิ)


แต่อันนี้สิเด็ดสุด  พี่ฟังแล้วแซวในใจ  แล้วก็หัวเราะก๊ากๆๆๆคนเดียวทุกที  : )

เมืองอยุธยามีพระราชาอยู่ถ้ำใหม่                  (เสด็จไปไกลจัง)
มีกะทะสองใบอยู่ถ้ำใหม่ให้พระราชา              (สงสัยพระราชาตกยาก)
มีเจ้าหญิงแสนสวยมานั่งขายกล้วยอยู่ริมตลิ่ง   (นี่ไง้  ...ตกยากแหงเลย)
คุณพ่อไปเล่นบอลเลย์                                   (อ้าว...!)
คุณแม่ไปร้านขายยา                                    (อ๊าว.ว....!   เกี่ยวไรอะ)
แต่เบื้องหลังคุณแม่ไปร้านขายยานั้นไม่จริง      (โห... จบแบบมีลับลมคมนัยซะด้วย)

ว่าแล้วพี่ก็ขอจบแบบมีลับลมคมนัยเอาดื้อๆอย่างงี้แหละจ๊ะ ลูกปู     ดูลึกลับดี       อิๆๆๆๆๆ  ^_^

ขอบคุณน้องแอมแปร์สำหรับข้อคิดเห็นสนุกสนานได้สาระด้วยบันทึกนี้นะคะ (แอบเอาไปขายต่อแล้ว เมลฟอร์เวิร์ดชิ้นเด็ดนี้)

สวัสดีด้วยความรู้สึกขอบพระคุณมากอีกครั้งค่ะพี่โอ๋

กว่าจะได้เข้ามาขอบพระคุณพี่โอ๋   ก็ผ่านไปเจ็ดวัน(เป็นหนึ่งสัปดาห์)พอดี   แอมแปร์ล็อกอินก่อนหน้านี้ตั้งสองสามครั้ง  แต่ตอบค้างๆไม่ทันจบความก็ต้องไปทำโน่นนั่นนี่    กลับมาอีกทีก็ลืมเลยว่าจะ "ตอบอะไรให้จบ  เพิ่มอะไรให้ครบ"   แบบที่พี่โอ๋รำพึงไว้ในบันทึกนี้  แอมแปร์อ่านแล้วขำกลิ้งเลย   เพราะเคยบ่อยๆที่เดินลิ่วๆออกจากห้องเพื่อจะไปหยิบ..     เอ่อ..จะไปหยิบ       เอ....  จะไปหยิบอารายน้า        ดูซิ....    อย่างเมื่อตะกี้แอมแปร์ก็นึกออกหยกๆ   ...  เดินออกมาจากห้องสามก้าวก็ลืมจ้อย   ต้องถอยไปตั้งหลักใหม่ 

และหลายครั้งที่ถอยกลับไปถึงจุดเริ่มต้นแล้วก็ยัง “นึก ม่าย ออก”  ต้องปล่อยให้มันแล้วๆไป  นึกออกอีกทีค่อยว่ากันใหม่....     

บ้านที่มีคนแก่อยู่ร่วมกันคงเป็นอย่างนี้มังคะพี่โอ๋   คิดแล้วขำจริงๆ  ...ทุกคนขี้ลืมพอๆกัน...  

แอมแปร์ได้ข้อคิดอีกครั้งว่า   งานของครอบครัว คือ “การเรียนรู้ที่จะเข้าใจวิธีคิดและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปตามวัย”    ทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกันอย่างบันเทิงและมีความสุข  ไม่ถือสาหาความกันมากนัก   ขณะเดียวกันก็จะได้เรียนรู้และปรับตัวปรับใจ  เพราะได้เห็นจากตนเองแล้วว่า  เราไม่สามารถกำหนดให้เราในวันนี้  เป็นเหมือนเราคนเดิมเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วได้   บ้านแอมแปร์ก็กำลังเรียนรู้ที่จะปรับตัวปรับใจกันไปทุกวัน แบบสมานฉันท์ตามอัตภาพ

ขอบพระคุณมากๆอีกครั้งค่ะที่พี่โอ๋แวะมา “ฟอร์เวิร์ดคอมเม้นต์” ให้อย่างน่ารัก  แอมแปร์ก็จะตามไปเม้นต์ต่อ ณ บัด NOW   :)   และคราวนี้ตอนพิมพ์เม้นต์ในบันทึกพี่โอ๋  ก็คงเห็นชัดถนัดตาขึ้นอีกอักโข

...เพราะตะกี้นึกออกแล้ว..    ..ว่าจะไปหยิบอะไรน่ะค่ะพี่โอ๋    .... อิๆๆๆๆๆๆ      ^_^     ^_^ 

เมืองอยุธยามีพระราชาอยู่ถ้ำใหม่                  (เสด็จไปไกลจัง)
มีกะทะสองใบอยู่ถ้ำใหม่ให้พระราชา              (สงสัยพระราชาตกยาก)
มีเจ้าหญิงแสนสวยมานั่งขายกล้วยอยู่ริมตลิ่ง   (นี่ไง้  ...ตกยากแหงเลย)
คุณพ่อไปเล่นบอลเลย์                                   (อ้าว...!)
คุณแม่ไปร้านขายยา                                    (อ๊าว.ว....!   เกี่ยวไรอะ)
แต่เบื้องหลังคุณแม่ไปร้านขายยานั้นไม่จริง      (โห... จบแบบมีลับลมคมนัยซะด้วย)

....

อ้าว มีการบ้าน ให้ปู ไปคิดต่อ ในฝันอีกแล้ว พี่แอมป์ จ๋า  5 5

...

ใช่ค่ะ นี่ขนาดอ่านช่วงใกล้ๆ ง่วงนะคะ ยังฮาๆ ฉูซี่ ๆ ...

เลยขำ ตอนอยู่กับหลาน 3 ขวบ ... พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แบบฟังแล้ว งง ค่ะ

....

ขี่ เค็ง แคง ๆ  ...  ๆ  อยู่นั่นแหละ  ปูก็ถาม น้องปั๋งจะฉี่ รึคะ

ส่ายหัว  ตาปั๋ง ยังพูดไม่เป็น ...  ฉี่ หรือ หนัก  (แต่ใช้อีกคำนะคะ)

ส่ายหัว ...   ...   เอ อะไร หนอ  ... แล้ว หลานตาปั๋ง ก็เอา มือเข้าปาก ...

....  ยิ่งงง ไปใหญ่ ตกลง จะฉี่ หรือ จะ หนัก ...  ขี่ เค็ง แคง ๆ

* ....  ให้ ผู้มี ประสบการณ์ เยอะ อย่าง พี่แอมป์ เดาดีกว่า ว่า

หลานตาปั๋ง เธอต้องการ อะไร ค่ะ ... 

...  คิดถึงนะคะ  ส่งการบ้านต่อค่ะ  .. แล้วจะมาเฉลย นะคะ ...

 

หวัดดีจ๊ะลูกปู 

พี่แอมป์อ่านคอมเม้นต์ลูกปูแล้วนั่งหัวเราะก๊ากเลย..!!!    หลานน้อยๆของลูกปูน่ารักจริงๆ  ว่าแต่หลานชื่อเล่นชื่อ"น้องปั๋ง" ใช่ป่าวจ๊ะ

อ่านโจทย์ลูกปูแล้วพี่ยิ่งขำหนักเข้าไปใหญ่   ช่างคิดนักเทียว  และขอบคุณมากจ๊ะที่ยกให้พี่เป็นผู้มีประสบการณ์เยอะ  ขอออกตัวว่าไม่ใช่ดอกจ๊ะ   พี่เดาการสื่อสารของเด็กๆผิดออกบ่อยไป  เช่น หลานหิวนม พี่ก็คิดว่าง่วงนอน  หลานง่วงนอน ก็คิดว่าหลานชวนเล่น  ตอนแขกมาเยี่ยม  หลานร้องกว๊ากๆๆๆ พี่ก็นึกว่ายุงกัด  หลงไล่ยุงกันพักใหญ่  ถ้าแม่วิ่งมายกหลานไป"หนัก"ในห้องน้ำไม่ทันละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน   อิๆๆๆๆ

ดังนั้น  เพื่อสวัสดิภาพของหลานตัวน้อย  หนนี้พี่เลยขออนุญาตรอเฉลยของลูกปูดีกว่าจ๊ะ  อิอิอิ 

สวัสดีค่ะพี่แอมป์  ทักทายจากไม่ใกล้ไม่ไกล ห่างนครฯ  แค่ 300 โลได้ค่ะ

คิดถึงจังเลยค่ะ ขออภัยนะคะ ห่างหายเพราะวุ่นวายจังค่ะ

...  มาเฉลย เพราะติดหนี้รัก ไว้ อิ อิ ....

ขี่ เค็ง แคง ๆ   ....  ที่หลานปั๋งพูด แล้วเอามือเข้าปาก ...

ก็ คือ เค้าหิว แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาอาหาร เราก็เดาซะแบบนานเลย

...   น้องเค้าอยากจะกิน ข้าวกับไข่เค็ม  ... ค่ะ

เป็นไงค่ะ .. งง เลยนะคะ หากคนไม่คุ้นนี่ไปกันใหญ่ ...

ให้พี่แอมป์ สนุก กับภารกิจ ที่ยิ่งใหญ่นะคะ ...

เป็นกำลังใจให้เสมอ ด้วยระลึกค่ะ ..

- - เพิ่งทราบเมื่อกี๊เองค่ะ ว่าที่นครศรีฯ กำลังจะมีรีสอร์ทใหญ่ขึ้น

...  ตรงขนอม ค่ะ .. แต่ยังไม่ทราบละติจูด ลองติจูด ที่แน่นอน :)

แค่นี้ก่อนนะคะ จะมาใหม่ด้วยใจระทึก ค่ะ ...

อิ่มอร่อยอาหารทุกมื้อนะคะ ...

พี่แอมป์ครับ ขอบอกว่า เรื่องนี้ อย่างฮา แม้จะมีมุมมองที่แทรกสอนเรื่องของการใช้ภาษา แต่ทว่า ตลอดทั้งบันทึกตอนนี้ ผมเหมือนนั่งอยู่ในบ้านพี่แอมป์ด้วยเลย ( แม้จะนึกไม่ออกว่าอะไรอยู่ตรงไหน ก็ตาม 5555 )

เวลามีเหตุการณ์แบบนี้อีก บอกได้นะครับ ยินดีไปช่วยสอนด้วยมาก อย่างแรง ....(ต้องอ่านเป็นสำเนียงใต้นะครับพี่) ชอบๆๆครับ

น้องต่อครับ

สวัสดีค่ะ

ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะ

ตอนที่ลูกศิษย์ไปบวชเรียนภาคฤดูร้อน  ครูคิมได้ไปเยี่ยม

เณรน้อย 4-5 รูปรีบวิ่งมาหา  "คุณครูคร๊าบบบ  สวัสดีครับ"

ยกมือไว้กันเป็นแถว

เมื่อขึ้นไปกราบนมัสการหลวงพ่อ..ท่าบอกว่า.."โยมครูเมื่อคืนเณรน้อยของโยมครูพากันเล่นซุปเปอร์แมนกันใหญ่  ปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพง ใช้ผ้าเหลืองเป็นปีกกระโดดลงมา"

หวัดดีด้วยความคิดถึงมากและขอโทษอย่างที่สุดจ๊ะลูกปู

 

ที่ผ่านมาพี่แอมป์ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะยุ่งเป็นยุงตีแมงวันได้ขนาดนื้  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพี่จะมีเวลาเป็นของตัวเองสักที   เพราะหลานน้อยๆของพี่ได้กลับสู่อ้อมอกขอพ่อและแม่ของเขาแล้วโดยสวัสดิภาพ เนื่องจากน้องชายของพี่ได้พบพี่เลี้ยงเด็กที่น่ารักมากและมีความรู้เรื่องการเลี้ยงดูเด็กโดยเฉพาะ   เรา(ปู่ ย่า และป้า)จึงมีความยินดีที่จะส่งหลานกลับคืนสู้อ้อมอกอันอบอุ่นของพ่อและแม่ของเขาดังเดิมจ๊ะ

 

ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทำ วันที่พาหลานไปส่งขึ้นเรือบินเอ๊ยเครื่องบินพร้อมพ่อแม่ของเขานั้น ทั้งปู่ ย่า และป้า ต่างก็มีความปรารถนาที่จะอุ้มหลานให้อิ่มก่อนที่จะไม่ได้อุ้มอีกนาน  แม่พี่แอมป์ออกนอกหน้ามาก วิ่งล้ำหน้าอุ้มลูกเอ๊ยอุ้มหลานหน้าประตูกันเห็นๆ  แถมอุ้มล้ำหน้าไปตั้งหลายที  ส่วนพ่อพี่แอมป์ หลังจากสงวนท่าทีอยู่ได้แป๊บนึงก็เริ่มขออุ้มกันตรงๆ  แบบแมนแมน แต่แม่พี่เป็นวูแม่นขนานแท้  แม่คิดว่า วูแม่น คัมเฟิร์สต์ กว่าพ่อจะได้อุ้มหลานก็รอกันตาละห้อย   : )

 

ที่สนามบินวันนั้นคนเยอะจริงๆจ๊ะลูกปู  พ่อกับแม่ก็ต้องพูดคุยกับคนนั้นคนนี้  น้องชายกับน้องสะใภ้พี่ก็ต้องแนะนำตัวเองกันเป็นระยะๆ  ทันใดนั้นเองหลานพี่ก็ทำท่าตาปรือ หน้าบ่งบอกว่าเริ่มง่วง และกำลังจะเริ่มโยเย..      อาศัยจังหวะอันเป็นมงคลนี้ พี่ก็บอกพ่อด้วยเสียงเรียบๆแต่เอาจริงว่า พ่อขา.. น้องเอิร์ธง่วงแล้ว 

 

ว่าแล้วพี่ก็ช้อนตัวหลานมาอุ้มในทันใด อย่างว่องไวและนุ่มนวล   และเพียงพี่ยืนอุ้มโยกเยกเอ้ย อยู่กลางลานไม่ถึงสองนาที น้องเอิร์ธก็หลับปุ๋ย และขึ้นเครื่องบินโดยไม่ร้องกวนโยเยเลยตลอดการเดินทาง  

 

คืองี้นะจ๊ะลูกปู  คือบอกตรงๆว่าหลังจากที่พ่อกับแม่กับพี่แอมป์กลับจากสนามบินมาถึงบ้าน  และเห็นเปลหลาน เตียงหลาน เบาะหลาน แล้วรู้สึกคิดถึงหลานที่สุดในโลกเลย  เราต่างก็ลงมือเก็บข้าวเก็บของกันอย่างเงียบๆได้สักครึ่งนาที  พี่ก็เปิด CD เพลง ลัลลาบาย ของหลานแก้คิดถึง  แล้วคนแก่สามคนก็เริ่มบ่นถึงหลานกันขนานใหญ่ 

 

... การพูดอะไรที่ออกจากใจกันตรงๆได้นี่ดีเหมือนกันแฮะลูกปู   ได้พูดๆๆๆบ่นๆๆๆๆกันอย่างที่รู้สึกแล้ว ก็รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นตั้งเยอะ     : )    : )    

 

   ขอบคุณลูกปูมากๆจ๊ะที่เข้ามาเฉลยเรื่องหลานตัวน้อยอย่างได้อารมณ์  ทำให้พี่เจ็บใจเอ๊ยชอบใจมากเพราะทายผิดไปคนละทิศ  อิอิ  : )   : )   หลานน้อยๆของลูกปูน่ารักจัง  เวลาฟังเด็กๆเล็กๆ พูดไม่จั๊ด นี่น่ารักที่สุดเลย  ยิ่งเป็นหลานเราเองยิ่งฟังน่ารักไปเสียทุกคำ    ทั้งที่เด็กๆคนอื่นก็พูดผิดๆถืกๆแบบเดียวกันนะเนี่ย    เสียงถอนใจยังฟังสุดแสนจะน่ารักเลยอะ     ความเป็นลุงป้าน้าอานี้ก็ขำๆดีแฮะ  ว่าแล้วพี่ก็นึกถึง คอร์สการแปลภาษาเด็ก ขึ้นมาหน้าตาเฉย  ...ดูซิว่าไปโน่นเลย... 

 

สำหรับรีสอร์ตที่ขนอม  หลังจากเปิดทีวีบ่อยๆ  ตอนนี้พี่เริ่มสับสนกับคำว่า สาธารณะสมบัติ  กับสมบัติสาธารณะ  ไปพอประมาณ  อิอิ   พี่รู้สึกห่วงหาดทรายที่เราเคยได้เดินฟรีจังจ๊ะ  โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีก็จริง  แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น  ธรรมชาติไม่ได้ตั้งเงื่อนไขให้เราเอาเฮินไปแลกทรัพยากรซักกะหน่อย  มนุษย์ไปตู่เอาว่านั่นก็ของตัว  นี่ก็ของตัว ...  

 

... พี่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ขี้ตู่ที่สุดในจักรวาลแล้วละ  : ) 

 

สุดท้ายนี้ขอให้ลูกปูทำงานด้วยใจอิสระอย่างมีความสุขเน้อ  ขอบคุณมากๆอีกทีที่น้องแวะมาเฉลยให้พี่นั่งยิ้มทุกครั้งที่ได้อ่านเลยจ้า  : )

หวัดดีจ๊ะน้องต่อ  ^_^

พี่แอมป์ขออภัยอย่างสูงที่ตอบช้าไปเกือบทศวรรษนะจ๊ะ  อ่านคอมเม้นต์น้องต่อแล้วพี่นั่งยิ้มขำไปกว่าสิบห้าวิ  เพราะน้องต่อได้เคยไปนั่งงามสง่าอยู่ในบ้านพี่ตั้งสองสามหนแล้วถ้าน้องยังนึกไม่ออกว่าอะไรอยู่ตรงไหน  เก๊าะแปลว่าเราแก่พอๆกัน  อิอิ

อย่างไรก็ตาม พี่คิดว่าน้องต่อคงจำรั้วสแตนเลสหน้าบ้านพี่แอมป์ได้นะจ๊ะ  : )   พี่ไม่เคยคิดเลยว่า"รั้วหน้าบ้าน"จะทำให้พี่คิดถึงการทำบุญตักบาตรได้มากถึงเพียงนี้    เรื่องของเรื่องก็คือ ทุกเช้าที่สามเณรน้อยๆเดินบิณฑบาตรและผ่านหน้าบ้านพี่  พ่อกับแม่ก็ตักบาตรทุกวันจนกระทั่งวันหนึ่งแม่เห็นว่ากว่าจะผ่านบ้านเราไปถึงอีกซอย และเดินย้อนกลับมาหลายกิโลเมตร  ท่านจะต้องแบกบาตร ย่าม และถุงอาหารประดามีอันหนักอึ้งไม่ต่ำกว่าห้าหกกิโลกรัมเป็นอย่างน้อยทุกวัน  ยิ่งองค์เล็กๆยิ่งเดินแบบแทบจะเซเพราะมีผู้ตักบาตรตลอดทางแทบไม่เว้นบ้าน 

แม่จึงบอกให้ท่านแขวนถุงต่างๆไว้ที่รั้วบ้านก่อนได้  เมื่อเดินกลับมาแล้วค่อยมาหยิบถุงไป  เพราะบ้านพี่ใกล้วัด  น่าจะสะดวกสำหรับท่าน  เณรน้อยก็ดูจะดีพระทัยเอ๊ยดีใจอยู่อักโข 

นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  ในตอนเช้าที่รั้วหน้าบ้านพี่ ก็จะมีถุงอาหารแขวนเด่นเป็นสง่า ประชาชนที่ผ่านไปมาก็ตะโกนบอกว่ามีคนเอาของมาให้ แม่พี่ซึ่งมักจะยืนรดน้ำต้นไม้อยู่แถวนั้นก็ต้องตอบไปว่า  "..ไม่ใช่ค้า..า..  ของเณรค่า..."   จนเป็นที่เข้าใจกันโดยปริยายว่าที่แขวนอยู่นั้นไม่ใช่ของฝาก(ของที่บ้าน)  แต่เป็นของ(ที่สามเณรนำมา)ฝาก(แขวน)ไว้  พี่เห็นดังนี้ทุกเช้า(ถ้าตื่นทัน) และรู้สึกประทับใจในภาพประจำวันที่เกิดขึ้นทุกวัน 

เพราะภาพที่สามเณรเดินไปบิณฑบาตร ยืนบาตรอย่างสงบสำรวม  และเดินกลับมาหยิบถุงอาหารที่แขวนไว้  พร้อมกับยิ้มให้สมาชิกในบ้านอย่างขอบคุณนั้น  ทำให้พี่รู้สึกและตระหนักถึงการเกื้อกูลกันระหว่างพระสงฆ์ สามเณร และพุทธบริษัทอีกครั้ง  การได้เห็นพระเณรมาหน้าบ้านทุกวัน เป็นความรู้สึกที่ทำให้อุ่นใจและสงบในใจอย่างอธิบายไม่ถูก   หากน้องต่อจะบอกว่านี่คืออาการของคนแก่ พี่ก็จะไม่เถียงเลยแม้แต่คำเดียว

คือว่าโดยทั่วไป   พี่ก็จะไม่ใคร่เถียงกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่แล้วน่ะนะจ๊ะ  อิๆๆๆๆๆ    : )    : )

สวัสดีด้วยความระลึกถึงยิ่งและขออภัยอย่างสูงที่เข้ามาตอบช้าค่ะครูคิม

ดิฉันเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญช่วงแรก   วันนี้พอมีเวลาล็อกอินได้ก็รีบเข้ามาบันทึกนี้เลยค่ะ ดีใจมากๆๆๆเช่นกันค่ะที่ได้พบครูคิมที่นี่  ดิฉันชอบตั้งแต่อ่านที่วิชาการด็อตคอม และที่เว็บไซต์ของครูคิมแล้ว  เรื่องต่างๆที่ครูคิมเล่า เป็นประสบการณ์ตรง และถ่ายทอดตรงๆจากใจ  เชื่อว่าทุกท่านที่ได้แวะไปอ่านจะรู้สึกประทับใจในความเป็นครูที่รักและปรารถนาดีกับเด็กๆด้วยใจจริงค่ะ  

ครูคิมแวะมาเยี่ยม ทำให้ดิฉันรู้สึกระลึกถึง ครูไผ่ และ คุณสร แห่ง วิชาการด็อตคอม มากด้วยค่ะ  ท่านทั้งสองถือเป็น "ครู" ที่ดิฉันประทับใจในภูมิรู้และชื่นชมงานที่ท่านทำมากเช่นกัน 

อยากตอบยาวๆอีกแล้วค่ะแต่ต้องไปลุยงานก่อน  โอกาสหน้าจะแวะไปอ่านบันทึกของครูคิมต่อเพราะอ่านสนุกและได้แง่คิดดีจัง บางบันทึกดิฉันอ่านแล้วยิ้มชอบใจอยู่คนเดียวเพราะครูคิมช่างจับและจำประเด็นเด็ดของเด็กๆมาเล่าให้ฟัง  แบบหาฟังที่ไหนไม่ได้   เพราะเกิดขึ้นได้ครั้งเดียว(และที่เดียว)ในโลกเท่านั้น !!  : ) 

            ดิฉันนั่งยิ้มเมื่ออ่านเรื่องสามเณรน้อยที่ครูคิมเล่าให้ฟังเพราะรู้สึกว่า ถึงอย่างไรเด็กก็คือเด็ก..  : )
            และทึ่งจริงๆ ที่คุณซุปเปอร์แมนเป็นต้นแบบการเหาะด้วยผืนผ้าของเด็กๆมาทุกรุ่น..  !!!!        : )   : )

            .. น่ารักมากๆเลยค่ะ ..    ^_^ 

สวัสดีค่ะอาจารย์

ดีใจค่ะที่ได้เจออีกครั้งหนึ่ง  กับคุณครูต่อก็คุยกันในบล็อคเสมอค่ะ

อาจารย์สบายดีนะคะ เว็ปบ้านครูไผ่แวะไปทุกวันค่ะ

ไปหาความรู้  ฝากเด็ก ๆ

ขอให้อาจารย์มีความสุขและรักษาสุขภาพนะคะ

  • แวะมาบอกว่า คิดถึงค่ะ

สวัสดีอีกครั้งค่ะครูคิม : )

ขอบคุณมากค่ะ และขอให้ครูคิมมีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ และมีความสุขมากๆๆในการทำงานกับลูกศิษย์ตัวน้อยของครูคิมเช่นกันค่ะ   

ดิฉันโชคดีมากค่ะครูคิมที่ได้รู้จักน้องต่อ  ตอนนี้น้องต่อมาช่วยสอนเด็กๆนิเทศศาสตร์ด้วยความเต็มใจ   ดิฉันเองได้ขอย้ายจากนิเทศศาสตร์ไปอยู่คณะครุศาสตร์    หลังจากได้ย้ายคณะแล้วก็คงจะยุ่งผมฟู (เหมือนน้องขจิต  ) ไปอีกสักระยะ  คราวนี้คงได้แวะไปขอคำแนะนำครูคิมอีกหลายเรื่องแน่เลยค่ะ  ^_^

ขอบคุณค่ะอาจารย์ดอกไม้ทะเล

วันนี้เด็ก ๆ เขามีความสุขมาก  เพราะเป็นวันที่เขาดูเหมือนหมดภาระกับการเรียนไป  1  ภาคเรียน

เขาขอร้องอยากจะดูบล็อค  ก็อนุญาตให้พวกเขาดู ดีอกดีใจกันใหญ่  ความจริงก็เป็นสมาชิกบล็อกตั้งนานแล้วนะคะ  แต่ไม่เคยเขียนบล็อค  เพราะไม่กล้า เห็นมีแต่คนเก่ง ๆ

พอดีได้อาจารย์ขจิตช่วยเหลือ น้องต่อและน้องท่านอื่น ๆ ก็ช่วยกันโพสให้กำลังใจ  ตอนนี้ก็พยายาหาเรื่องที่เกิดกับประสบการณ์มาเขียน  ส่วนเรื่องวิชาการนั้นไม่กล้าอย่างยิ่งค่ะ

อุ๊ย..อาจารย์ขาจะขอคำแนะนำเรื่องอะไรหรือคะ  อย่าล้อเล่นนา มีแต่ครูคิมจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ไม่ว่า

สวัสดีค่ะคุณอร Bright Lily  ^_^

ขอบพระคุณด้วยความคิดถึงมากๆๆๆนะคะคุณอร   ดอกไม้สวยจังเลย..   สวยเหมือนคนนำมาฝาก  : )

แอมแปร์ไม่ค่อยได้แวะไปเยี่ยมบันทึกของพี่ๆน้องๆเลย  เพราะอยู่ในช่วงเคลียร์งานสำคัญ  ใจเลยไม่ใคร่นิ่ง กะว่าให้งานเสร็จแล้วจะได้เข้ามาสื่อสารใน G2K อย่างเบิกบานใจ ในโลกการสื่อสารที่น่ารักแห่งนี้ 

แต่เอาจริงๆเข้างานก็ไม่ยักกะเสร็จอย่างที่หวังนะคะคุณอร  เดี๋ยวมีโน่น มีนี่ มีนั่นเข้ามาไม่ขาด     แถมพออายุมากขึ้นก็มีงานนอกบ้านขึ้นตามไปด้วย  บางทีต้องก็โผล่ไปวัดไปวาเสียบ้างตามพ่อกับแม่  การไปร่วมงานกับผู้อื่นบ้างนี้ก็ดีเหมือนกัน  ทำให้สังคมกว้างขึ้นอีกหน่อย  ทั้งที่ธรรมดาแอมแปร์ชอบอยู่(คนเดียว)เงียบๆ  แต่ก็ได้เห็นว่าการเก็บตัวอยู่เงียบๆคนเดียวนานๆนั้น  ทำให้โลกของเราแคบลงอย่างรวดเร็ว  กว่าแอมแปร์จะรู้สึกตัวอีกทีก็แก่จนเป็นคุณป้าเสียแล้ว ^_^

           จึงได้ปลอบตัวเอง(แบบเสียงอ่อยๆ)ว่า รู้ตัวและปรับตัวเสียตอนนี้  ดีกว่าไปรู้ตัวอีกทีตอนเป็นคุณยาย... 
           เพราะขืนไปรู้ตัวตอนนั้น   แอมแปร์ก็คงกะย่องกะแย่งไปไหนกับใครไม่ใคร่ไหวแล้วน่ะค่ะคุณอร   ^_^    ^_^ 

           ...ว่าแล้วก็หมุนสกรอลบาร์ขึ้นไปดูดอกไม้สวยที่คุณอรเอามาฝากซะอีกที  ...ชอบจังเลย...   ขอบคุณมากๆนะคะคุณอร   : ) 

สวัสดีด้วยความเคารพยิ่งค่ะอาจารย์ประจักษ์

ขอบพระคุณมากๆค่ะที่อาจารย์แวะมาเยี่ยม ดิฉันเห็นภาพน่ารักของน้องม่อนมาหลายบันทึก  หลานอาจารย์ท่าทางสดใสร่าเริง น่ารักจังเลยค่ะ  : ) 

ดิฉันก็มีหลานชายตัวน้อยลูกของน้องชาย มีโอกาสได้เลี้ยงเขาไม่กี่เดือน  เหนื่อยแบบมีความสุขมากกันทั้งครอบครัว  ตอนนี้หลานอ
ายุหกเดือนและเพิ่งกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เขาที่กรุงเทพฯ   ดิฉัน(ซึ่งเป็นคุณป้า) และคุณพ่อคุณแม่ดิฉันคิดถึงหลานกันน่าดูเลยค่ะ  : )

ครูคิมคะ  : )

ดิฉันหัวเราะชอบใจประโยคส่งท้ายของครูคิม  คือแรกๆสงสัยว่าเราคงจะนั่งปรึกษากันอย่างสนุกสนาน ตามประสาหัวอกครูบ้านนอกด้วยกัน  จากนั้นเราก็จะเริ่มปรับทุกข์กัน    ดิฉันต่อให้ครูคิมสิบห้านาที แล้วอีกหนึ่งชั่วโมงที่เหลือดิฉันลุยเอง   ดิฉันพูดไม่ใคร่ยาวดอกค่ะ  แต่บ่นทีไรยาวทุกที  อิๆๆๆๆๆ 

ว่าแล้วเราก็มาให้กำลังใจกันที่นี่แหละนะคะครูคิม  ที่นี่มีคนทำงานหลากอาชีพ ที่เข้ามาสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผย จริงใจ และมีวุฒิภาวะ  คือเท่าที่ท่องเว็บบล็อกมา  ดิฉันคิดว่าที่นี่เป็นเว็บบล็อกที่ผู้ร่วมสนทนามีความเป็นมิตร  มีความจริงใจที่จะให้ และร่วมแบ่งปันความรู้ ความคิดอย่างน่ารักมากที่สุดเว็บหนึ่ง

ตอนแรกดิฉันก็ออกจะขัดเขินเหมือนกันแหละค่ะครูคิม  เรื่องวิชาการนี่ดิฉันไม่ถนัดเลย  เขียนทีไรวิงเวียนทุกที  และไม่เคยเขียนอะไรหรูๆรวยๆสำเร็จซักกะที  พอดีพี่โอ๋ อโณ แวะมาให้กำลังใจอย่างน่ารัก  ดิฉันก็เลยลงมือเขียนเล่าเรื่องที่ตัวเองทำแบบบ้านๆอย่างมีความสุข  แล้วก็ได้แวะไปบันทึกของพี่ๆน้องๆเป็นที่สนุกสนาน   แวะไปทีไรก็ไปเขียนต่อจากเขายาวเป็นโยชน์ทุกที  : )

นึกแล้วก็ขำตัวเองชะมัด  เพราะที่คุยกับครูคิมนี่ก็เริ่มจะยาวเป็นโยชน์อีกแล้วอะค่ะ...   อิๆๆๆๆ

ว่าแล้วเราก็มาเขียนอย่าง "เป็นตัวของตัวเอง  เป็นอย่างที่เราเป็น" กันต่อเถอะค่ะครูคิม  ดิฉันอ่านบันทึกครูคิมแล้วรู้สึกสนุกชะมัดเลย  อยากเข้าไปคุยต่อยาวๆ  แต่ติดที่เวลาไม่อำนวย  เสร็จจากงานต่อเนื่องครั้งนี่เมื่อไหร่   ดิฉันจะวิ่งจู๊ดไปอ่านให้ครบทุกบันทึกเลยค่ะ   : )   : )

  • สวัสดีปีใหม่ค่ะน้องแอมป์ขอให้มีแต่ความสุขค่ะ
  • หายไปนานทีเดียว ทุกคนใน G2K คิดถึงนะคะ
  • ธุ  พี่แอมป์ค่ะ..

สวัสดีปีใหม่ค่ะ พี่แอมป์  ^^  ขอให้พี่แอมป์มีความสุขมากๆๆ นะคะ   หายไปนาน   คิดถึงค่ะ   (ลอกข้อความจากท่านพี่จ๊ะP   แต่บวกเพิ่มเป็นหลายๆ เท่าค่ะ) 

 

P      สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่อ็อด

 

ขออภัยที่เข้ามาตอบช้านะคะ   แอมแปร์หายไปพักยาวเพราะงานใหม่กับงานเก่าเป็นงานต่อเนื่องทำยังไงก็ไม่เสร็จซักกะทีค่ะ   ว่าแล้วก็ต้องทะลุ่มทะลุยทำกันไป ช่วงได้เข้ามาอ่านบันทึกก็เลยรีบๆๆๆๆๆๆอ่านอย่างเพลิดเพลิน  แต่ไม่ค่อยได้แสดงความเห็นเพราะเวลาจำกัดเหลือเกิน  เขียนแล้วไม่จบความเลยเอาไว้ค่อยเขียนตอนมีเวลาอีกหน่อย  ตอนนี้ก็ก้มหน้าก้มตาทะลุยงานไปก่อน  พี่อ็อดสบายดีนะคะ  อ่านบันทึกพี่อ็อดทีไรได้ข้อมูลไปเพียบทุกที  พี่ช่างค้นคว้าสรรหามาฝากจริงๆ  เปิดตัวเป็นสารคดีออนไลน์ได้เลยนะคะเนี่ย : )  

คิดถึงพี่เช่นกันและขอบพระคุณมากที่พี่อ็อดแวะมาทักทายค่ะ : )

P   หวัดดีจ้าน้องต้อม : )

           พี่แอมป์ขออภัยมณีที่ตอบช้า          ที่หายหน้าไปพักยาวเพราะงานใหม่
           ต่อเนื่องกันนานช้าพากลุ้มใจ          ทำยังไงก็ไม่เสร็จซักกะที
           แต่ก็ต้องทะลุ่มทะลุยทำกันไป         เข้ามาอ่านบันทึกได้ก็รีบรี่
           แสนเพลิดเพลินเจริญใจในทันที       แต่เวลาที่มีช่างน้อยนัก
           อยากเขียนตอบยาวหน่อยก็ไม่ได้     จำก้มหน้าทำงานไปเพราะงานหนัก 
          หวังว่าต้อมสบายดีนะน้องรัก            พี่จะพักคำตอบไว้เพียงเท่านี้   : )
          ขอให้ต้อมสุขสันต์วันปีใหม่             ขอขอบใจที่ลอกความจากท่านพี่
          พี่ก็ลอกที่ตอบพี่อ็อดมาอีกที           ตอบต้อมเป็นกลอนนี้สะหนุกจิง  อิอิอิอิ

           ขอบคุณที่ต้อมแวะมาทำให้วันที่แสนยุ่งของพี่กลายเป็นวันที่หนุกหนานไปได้  ขอบคุณมากจ้า... ^_^

 

ซินเจียยู่อี่  ซินนี้ฮวดไช้    ครับ

                   

P สวัสดีด้วยความระลึกถึงอย่างสูงเลยค่ะเล่าฮู  : )

 

ขอให้พรอันประเสริฐจงบันดาลให้เล่าฮูพบแต่ความสุขในตรุษจีนนี้ด้วยเช่นกันนะคะ  ระลึกถึงเสมอและขอบพระคุณมากๆอีกครั้งค่ะ  : )

สวัสดีค่ะอาจารย์

  • บันทึกนี้เคยเข้ามาอ่านค่ะ
  • และฝากร่องรอยไว้ด้วย
  • อาจารย์สบายดีนะคะ
  • อยากจะเล่าให้ฟังว่า..อาจารย์แขชนะ เคยไปจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนให้ที่โรงเรียนของครูคิมค่ะ
  • คิดถึงอาจารย์ค่ะ

สวัสดีด้วยความขอบพระคุณที่ครูคิมแวะมาเยี่ยมอีกครั้งค่ะ : )

ครูคิมงานยุ่งไหมคะ  เด็กๆคงใกล้สอบเต็มทีแล้ว  ของดิฉันมีกิจกรรมเยอะ สนุกแทบแย่เลยค่ะ  : ) ดิฉันสบายดีและหวังว่าครูคิมคงสบายดีเช่นกัน 

โรงเรียนของครูคิมเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทีเดียวนะคะ  นี่เป็นผลจากความมุ่งมั่นตั้งใจของคุณครูจริงๆ  เป็นโชคดีของเด็กๆที่สุดเลยค่ะ   ดิฉันได้อ่านเรื่องที่อาจารย์แขชนะไปจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนให้ที่โรงเรียนของครูคิมที่วิชาการด็อตคอม  รู้สึกชื่นชมท่านและประทับใจที่เด็กๆให้ความสนใจจริงๆ  พวกเขาน่ารักและใฝ่รู้อย่างนี้  คุณครูน่าจะสอนอย่างมีความสุขมากนะคะ

ขอบพระคุณมากอีกครั้งที่ครูคิมแวะมาทักทายอยู่เสมอค่ะ : )

บันทึกนี้ น่ารักมาก ๆ ค่ะ

 

อ่านแล้วอยากขึ้นเครื่องบินไปขอดู "บุตรมัจฉา"  จังค่ะ

สวัสดีค่ะคุณหมอเล็ก

ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาเยี่ยมอยู่เนืองๆ   นึกถึงเรื่อง "บุตรมัจฉา"ทีไรพี่แอมป์ขำทุกทีเหมือนกัน  : )  : ) 

ตอนนี้ที่บ้านพี่แอมป์ยังมีสามเณรเนปาล และบังคลาเทศมาเรียนภาษาไทยกับพ่อกับแม่ในตอนบ่ายเกือบทุกวันค่ะ  บางช่วงก็มีจากพม่าบ้าง  ท่านเหล่านี้มาเรียนหนังสือที่วัดใกล้บ้าน  และมาฝึกการอ่านการเขียนที่บ้านพี่แอมป์  ตามรุ่นพี่ของท่าน  พ่อกับแม่ก็ช่วยกันสอน  ตอนเรียนมีพักเบรคฉันน้ำปานะด้วย  ท่านเรียนเสร็จก็ช่วยกันเก็บแก้วเก็บโต๊ะน่ารักดี  บางช่วงที่มีสามเณรองค์เล็กๆท่านก็ซนบ้างตามประสา  พ่อบอกว่าซนตามประสาเด็กเพราะท่านยังเล็กนัก  เห็นแล้วก็นึกเอ็นดูนะคะ  ท่านจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลเหลือเกิน  บางองค์มุ่งมั่นมาก  เมื่อเรียนจบ ก็ได้ทุนการศึกษาเรียนต่อมหาวิทยาลัยดีๆ  บางองค์ก็ต้องค่อยๆปลอบค่อยๆสอนกันไป

สมัยเล็กๆพี่แอมป์เคยอยากมีเพื่อนบ้านเป็นคนต่างประเทศ   อยากพูดภาษาต่างประเทศ  อยากแบบว่าดูเป็นประเทศนอกอินเตอแน้ช-ชัน-แน่ล  
....แม่บอกว่าคราวนี้สมใจนึกบางลำภูแล้วใช่ไหม     เพราะเรามี"ประเทศเพื่อนบ้าน"เต็มบ้านเลย...  อิๆๆๆ

เมื่อไหร่จะเขียนอีกพี่ รออ่านจนแง่กแล้ว อยากรู้ว่าเณรน้อยท่านเป็นไงกันบ้าง ต้องโด้ปยาหรือเปล่าเนี่ยถึงจะเขียน ; P

มาส่งเสียงสนับสนุนน้องซูซาน Little Jazz  ด้วยคนค่ะว่า คิดถึงจังสำนวนหนุกหนานแบบนี้ในบันทึกน่ะค่ะ หายยุ่งหรือยังเอ่ย

หวัดดีจ้าซาน

ดีใจจัง..น้องแวะมา  !!! ...

ตอนแรกพี่คิดว่าชื่อเรื่อง"งานของครอบครัว"นี้ออกจะจืดๆเชยๆและไม่เร้าใจเอาเสียเลยนะจ๊ะซาน  แต่เมื่ออ่านทวนนานๆพี่ก็รู้สึกว่าชื่อนี้ตรงกับความเป็นไปของบ้านเราและตรงกับใจพี่ที่สุดแล้ว  พี่ก็เลยเลือกชื่อนี้ด้วยความเต็มใจ  พอเห็นน้องแวะมาทักทาย(ข้ามปี)อีกหนอย่างนี้  พี่เลยดีใจชะมัด 

หนก่อนที่เล่าเรื่อง "งานของครอบครัว" ได้อย่างยืดยาวเพราะพี่แอมป์ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ"อาจารย์ประจำหลักสูตรภาษาไทยสำหรับสามเณรเนปาล"ตลอดช่วงซัมเมอร์ภาคฤดูร้อนจ๊ะซาน  : ) แต่พอเปิดเทอม พี่ก็วุ่นวายอยู่กับงานที่มหาชลาลัยเลยไม่ได้ช่วยพ่อกับแม่เท่าไหร่   อย่างไรก็ตาม พี่ออกจะตกใจเหมือนกันแฮะเพราะบันทึกล่าสุดของพี่เขียนเมื่อธันวาห้าศูนย์  เผลอแป๊บเดียกุมภาห้าสองซะแล้ว  ไหงนานงี้อ่า..า..    : )   แต่คิดอีกทีก็ขำตัวเองละ  เพราะเขียนคอมเม้นต์ทีไร พี่แทบจะดึงไปเขียนบันทึกใหม่ได้เกือบสามบันทึกทุกที 

ถึงตอนนี้พี่ก็นับรุ่นเณรน้อยที่มาเรียนภาษาไทยที่บ้านไม่ค่อยถูกแล้วจ๊ะซาน  เพราะท่านมากันเรื่อยๆ ทั้งรุ่นเล็กกลางใหญ่  หลังจากกิจการเปิดบ้านสอนภาษา(ไทย)เจริญรุ่งเรืองได้ที่  พ่อพี่ก็ต้องนิมนต์ท่านไปเรียนแบบโอเพ่นแอร์ในโรงรถที่ถูกเลื่อนชั้นสถาปนาเป็นโรงเรียนไปเรียบร้อยแร้ว   : )

สามเณรรุ่นล่าสุดนี้มีสมาชิกถึงเจ็ดองค์จ๊ะ   องค์โตๆจากบังคลาเทศสององค์นั้นทรงพระเรียบร้อยดี แต่องค์เปี๊ยกๆทั้งห้าจากเนปาลนี้ทรงพระซนสุดยอดมาก  อาทิเช่น  ตอนเรียนท่านก็ตะโกนตอบกันเสียงแจ๋วๆดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้านด้วยภาษาเนปาลปนไทย  โชคดีที่บ้านพี่พอมีบริเวณอยู่บ้างไม่เช่นนั้นคงได้เครื่องครัวดิลิเวอรี่เป็นของแถม    ช่วงพักท่านก็วักปลาคาร์พของแม่ขึ้นมาชื่นชมหน้าตาเฉย  หรือไม่อีกทีก็เข็นรถเข็นเล็กๆของพ่อบรื๋นๆไปรอบบ้าน  เปิดประตูรถพี่ดูด้วยความสงสัยใคร่รู้เป็นต้น    เรื่องซนบ้างนี่ที่จริงก็เป็นธรรมดาของวัยเด็กตอนปลาย  แต่ด้วยว่าพ่อกับแม่(อ่า...และ)พี่ก็แก่แล้ว เลยไม่มีแรงจับกระด้งใส่ปู  พ่อเลยต้องนิมนต์ท่านไปตั้งโต๊ะนั่งเรียนกันในโรงรถ  พอดีว่าโรงรถบ้านพี่เป็นเสาโปร่งมีหลังคา บรรยากาศดีน่าคบ   ท่านก็เลยเรียนแบบชมนกชมไม้กันอย่างสบายใจ  มีแมวบ้านพี่เดินประกอบฉากอยู่ไปมา ดูมีชีวิตชีวาดีชะมัด   และล่าสุดท่านบอกพ่ออย่างน่ารักว่า เมื่อตะกี้มอสกิโต้คัมส์  ไอเลยฉีดมอสกิโต้คิลเลอร์ประหารมันกลางโรงรถ(โปร่งๆ)    ลมเก๊าะพัดไบก้อนเข้าในบ้านเต็มๆ  เกือบจะไปพร้อมกันทั้งคนทั้งยุง  อิๆๆๆ

พี่เลยขำๆน่าดูละ  ถึงแม้น้องเอิร์ธหลานชายน้อยๆลูกของน้องชายของพี่จะต้องกลับกรุงเทพฯไปอยู่กับพ่อแม่ของเขา  แต่พ่อกับแม่ยังไม่มีเวลาเหงาเพราะต้องเจอกับสามเณรน้อยๆทุกวันยามบ่าย ถึงแม้วีรกรรมของท่านออกจะเร้าใจอยู่บ้าง   แต่วันไหนท่านไม่มาพ่อกับแม่ก็บ่นคิดถึง   รู้สึกเหมือนเรามีหลานชายหลายๆคนในเวลาเดียวกัน  สนุกไปอีกแบบ : )

ที่สุดของสุดท้ายนี้พี่หัวเราะกิ๊กกับคำว่า "รออ่านจนแง่ก"ของซาน แล้วก็หัวเราะก๊ากต่อกับคำแซวของน้องเพราะพี่กำลังโด๊ปยาจริงๆ เนื่องจากที่ผ่านมางานหนักเอาการจนพี่ต้องหาเวลาพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อรอรับมือกับการสอบปลายภาคและงานรับปริญญาที่จะมาถึงเร็วนี้     อันที่จริงสมัยสาวๆพี่เคยวิ่งปรู๊ดไปปร๊าดมาทำโน่นทำนี่สารพัดแต่ไม่ยักเหนื่อย  มาตอนแก่ๆนี้ยังไม่ทันได้วิ่ง แค่นั่งคิดงานและเดินไปเดินมาอีกเล็กน้อยก็ออกจะหมดแรง ต้องค้นเชี่ยนหมากหายาดมยาลมยาหม่องให้วุ่นวาย   ....เอ... เรื่องยานี่ท่าจะจริงของซานแฮะ  เพราะพอได้โด๊ปยา(ลม)ดมยา(หม่อง)เข้าหน่อย..    
                               ...ป้าเอ๊ยพี่ก็นึกชื่อบันทึกใหม่ออกทันทีเหมือนกัน...    : P         "..งานของยาย.."        อิอิ

สวัสดีค่ะพี่โอ๋

พอพี่โอ๋ถามว่าหายยุ่งหรือยัง  แอมแปร์เก๊าะตอบทันใดว่า..สุดยอด..เลยค่ะพี่โอ๋ : )   : )    : )   

หลังจากที่ได้ย้ายคณะจากนิเทศศาสตร์มาอยู่ครุศาสตร์เอกไทย  งานหนักของแอมแปร์ตอนนี้คืองานในหลักสูตรภาษาไทยค่ะพี่โอ๋  ด้วยเหตุผลคลาสสิกคือเด็กเยอะและครูไม่พอ 

อย่างไรก็ตามแอมแปร์ยังคงสนุกสนานกับการทำงานแบบบ้านๆ และการคิดงานแบบฐานข้อมูลอยู่เสมอ  เห็นวิธีคิดในการทำงาน(ให้ตัวเองยุ่ง)แล้วสนุกชะมัด  ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน ได้เห็น ได้ยิน  ได้ฟัง ได้ทำอะไร แอมแปร์เป็นต้องนึกถึงการสร้างข้อมูลพื้นฐานก่อน   แล้วจดบันทึก (เพราะขี้ลืม)จากนั้นก็พยายามจัดข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่รูปข้อความบ้างตารางบ้าง (ออกแบบสาร)  ในตารางก็เลือกคำในหัวตารางแบบที่ตอบคำถามเราได้ว่ามีอะไร ที่ไหน ในลักษณะอย่างไรบ้าง   ฯลฯ   และจากข้อมูลตารางก็เอามาประกอบการตัดสินใจ  ตารางก็มิได้หรูๆรวยๆอะไรเลยนะคะ  ใช้เวิร์ดธรรมดา 

เวลาทำงาน แอมแปร์สนุกที่จะทำอย่างนี้  คือจากที่ทุกคนพูดๆๆๆๆกัน แอมแปร์ต้องจับมันลงกระดาษ ไม่งั้นจำไม่ได้  แล้วก็ออกแบบข้อมูลให้นำไปใช้สื่อสาร ทำความเข้าใจ  และใช้งานได้ (แบบบ้านๆ) แบบมีหลักฐานชัดแจ้ง  แล้วก็เคยคาดหวังให้ทีมงานคิดและทำแบบนี้ด้วย  เราจะได้ไม่ต้องจดและทำเอกสารเป็นหลักเป็นฐานเป็นล่ำเป็นสันอยู่คนเดียว 

ปรากฏว่าได้ผลค่ะพี่โอ๋  ยิ่งนานไป คนที่สนุกเรื่องเดียวกับแอมแปร์ยิ่งมีน้อยลง เท่าที่พบคือลงมือทำงานหน้างานตามความเคยชิน เสร็จแล้วก็จบกัน  ไม่มีบันทึก  ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพูดคุยทบทวนงาน ไม่มีไตร่ตรองสะท้อนย้อนคิด  และยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขกายสบายใจดี  แต่เวลาทำงานร่วมกันอาจเหนื่อยถึงขั้นหืดขึ้นคอ   แอมแปร์เลยตั้งใจฝึกเด็กๆให้หัดผลิตข้อมูลเบื้องต้น เพื่อไม่ให้คนข้างหลังเหนื่อยเหมือนเขา แต่บางทีก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะฝึกเขาอย่างไร  แค่บอกให้จดยังจดไม่ใคร่ได้  และบอกไม่ได้ว่าที่ฝึกไปนั้นได้ผลรึปล่าว ยิ่งนานไปก็ยิ่งห่วงเพราะไปกังวลล่วงหน้าว่าเด็กเขาจะจัดการความรู้(เพื่อตัวเองและผู้อื่น)ไม่เป็น  มีใครหลายคนบอกว่าเด็กๆเดี๋ยวนี้คิดไม่ใคร่ได้และทำงานไม่เป็น  บอกให้ทำก็ยังทำไม่ได้ แล้วยิ่งห่วงหนัก  เพราะที่เห็นมากับตาเจอมากับตัว  เด็กๆจำนวนมากที่แอมแปร์สอนก็เป็นอย่างนี้จริงๆ 

เพราะอย่างนี้แหละค่ะพี่โอ๋  แอมแปร์จึงต้องให้เวลากับการฝึกคุณสมบัติพื้นฐานแก่เด็กทั้งประเภทเดี่ยวตัวตัว  และประเภททีม  เสร็จหนึ่งวันก็หมดแรงหอบแฮ่กๆๆๆ  หัวถึงหมอนก็นอนหลับไป  แม้ว่าอารมณ์สุนทรีย์ยังมีเต็มเปี่ยม  แต่แรงน่ะหมดตั้งแต่ยังไม่สตาร์ทรถออกจากมหาวิทยาลัย   การทำงานแบบแลกหนึ่งต่อหนึ่งนี้ทำให้เราหมดแรงเอาง่ายๆในแต่ละวัน 

แต่เป็นเพราะคนในครอบครัว เขาฝึกเรา  สอนเรา  เตือนเรา ทำให้เรามองเห็น เข้าใจ และประคองชีวิตอยู่ได้  และไม่เคย"ทิ้ง"เรา    แอมแปร์จึงมุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตาฝึกเด็กทุกคน และฝึกเป็นคนๆไป ไม่ว่าเด็กๆจะรำคาญประมาณไหน  ก็ยังตั้งใจมั่นว่าจะไม่ทิ้งเขาไว้ข้างหลังเลยแม้แต่คนเดียว   เผื่อว่าวันหน้า เด็กๆไปแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเอง  เขาจะได้ไม่"ทิ้ง"ครอบครัวของเขา  ...และแอมแปร์ก็จะได้ปลอบใจตัวเองว่าเรายังทำ"งานของครอบครัว"ได้...

 

                                                       ..อ่า..       ..แม้ว่าเราจะยังไม่ได้แต่งฮานน่ะค่ะพี่โอ๋..   อิๆๆๆๆ

เขียนตอบยาวแต่สามารถจบโยงเข้าบันทึกได้! นับถือค่ะ : P

แซวเล่นพี่แอมป์ แต่ที่จะพูดจริงไม่มีเล่นคือ มันชื่นชมที่พี่แอมป์เป็นครูที่

"จะไม่ทิ้งเขาไว้ข้างหลังเลยแม้แต่คนเดียว"

เป็นแบบอย่างของมัทเลยค่ะ!

สุดยอดจริงๆค่ะ น้องแอมแปร์ อ่านแล้วเข้าใจด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง ทำต่อไปนะคะ เอาใจช่วยให้มีความสุข(แบบแสนเหน็ดเหนื่อย) กับการสร้างคนไปเรื่อยๆนะคะ พี่โอ๋เชื่อว่า ลูกศิษย์อ.แอมแปร์ต้องได้อะไรดีๆไปสร้างคนอื่นๆต่อไปได้แน่นอน ซัก 1 ใน 10 ใน 100 ก็คุ้มนะคะ แต่ยังไงๆก็ยังอยากอ่านสำนวนที่เป็นเอกลักษณ์ของน้องแอมแปร์อยู่บ้างนะคะ โดยเฉพาะ เรื่อง "โรงเรียนสามเณรนานาชาติ" ที่บ้านน้องแอมแปร์นี่แหละค่ะ อ่านแล้วมีความสุข และรู้สึกว่าคนเขียนก็มีความสุขในการเล่าอีกด้วย ขอบคุณนะคะ

ส่งเร็วไปหน่อย ว่าจะเขียนว่าเข้าใจความเหนื่อยที่น้องแอมแปร์บรรยายเลยค่ะ พี่โอ๋ก็เริ่มเป็นแล้ว เพราะกายไม่ยอมตามใจ ต้องพักมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งๆที่คิดถึงญาติมิตรทั้งหลายใน GotoKnow แต่ก็ไม่ได้ค่อยแวะไปเยี่ยมเยียนใครเลย

555 ตอบแบบนี้ขาดทุนนะพี่ ถามแค่ประโยคเดียวเอง แต่ชอบใจอ่ะ เลยยืมคำไปใช้หน่อยนึง ^ ^

เย้.. มัทมา..  !!

อิๆๆๆ  ขำมัทอะ  พี่ป่าวจับแพะมาชนแกะน้า..  แค่เอามาแปะต่อๆกันเองอะ  : P

น้องเจดิ้นเยอะยังจ๊ะ  มัทเดินเหนื่อยมากป่าว ตอนนี้คงงานยุ่งเอาการเลยเนอะ  ขอให้มัทมีเวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวเยอะๆนะจ๊ะ  ของพี่แอมป์เวลาอยู่กับบ้าน อยู่กับทุกคนในครอบครัวนี่พี่มีความสุขจัง   สงสัยเป็นคนติดบ้านแฮะ  เพื่อนบ่นว่าจะชวนไปไหนทีต้องหลอกเอ๊ยต้องอ้างว่า "ไปทำงานด้วยนะเนี่ย" พี่ถึงจะไป  อิอิอิ    

อันที่จริง "งาน"ของครอบครัว บางครั้งไม่ได้หมายถึงการลงมือทำงาน  แต่หมายถึงการใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างมีคุณภาพ  เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความรัก และความเข้าใจเข้าใจในกันและกัน  ซึ่งพี่สัมผัสได้จากครอบครัวโดยของมัทเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ ด้วยความรู้สึกที่ดีชะมัด  จำได้ว่ามัทเคยบอกว่าแม้ว่าเมื่อลูกๆโตขึ้นจะไม่ค่อยได้อยู่กันพร้อมหน้าบ่อยนัก แต่ก็ยังอบอุ่นเหมือนอยู่ใกล้กันเสมอ  ครอบครัวของมัทเป็นตัวแบบของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว น่ารักชะมัดเลยจ๊ะ


พี่มองชีวิตครอบครัวอันหลากหลายของเด็กๆที่พี่สอนอยู่ตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นงานใหญ่ของครูที่จะทำความเข้าใจ และออกแบบการสื่อสารให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะเด็กๆแต่ละคน ในกาละอันเหมาะสมเลยจ๊ะ  เพราะในขณะที่เรา(คือพี่)ยื่นพร่ำนำเสนอความรู้อันสวยหรูอยู่หน้าชั้นนั้น   พี่เข้าไม่ถึง หรือไม่ได้คิดที่จะเข้าถึงตัวตนของมนุษย์แต่ละคน แต่บางทีก็เผลอมองเขาเป็นภาพรวมของเครื่องรับความรู้  ปลายทางที่เราคาดหวังคือจบคาบแล้ว"เครื่อง"นั้นรับความรู้ไปได้เท่าไหร่ 

ทั้งที่ ณ เวลานั้น ...หัวใจเล็กๆบางดวงอาจกำลังร้องไห้...   ณ  เวลานั้น  เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากความรัก ความเข้าใจและการให้โอกาส..ให้โอกาสเขาได้โศกเศร้า  ปวดร้าว ทุกข์ระทม  ให้เขาได้รู้สึกอย่างที่เขารู้สึก  และใครสักคนที่จะ"เข้าใจ"อย่างที่เขารู้สึก  ถ้าเรา(คือครู) เพียงแค่"แปลความและตีความ"จากสีหน้า ว่าการที่เด็กนั่งหน้างอในห้องเรียน แปลว่ามีปัญหากับผู้สอนหยั่งเดี๊ยนแล้ว : )  ห้องเรียนก็คงไม่ต่างอะไรกับโรงงานที่ไร้หัวใจ   ที่ส่งคนไปตามสายพานของความรู้สำเร็จรูป อันมีปลายทางคนละทิศกับความจริงของชีวิตตลอดไป  พี่ก็หมั่นถามตัวเองว่าทำไมเรา(คือพี่)ต้องพรากหัวใจและความเป็นมนุษย์ไปจากเขาด้วย

 มนุษย์ที่ไร้หัวใจ..และพร่องในความเป็นมนุษย์  คงยากที่จะสร้างครอบครัวที่ดี  ...และยากที่จะทำ"งานของครอบครัว" ได้ดีอย่างแท้จริงได้ 

มนุษย์ที่เราผลิตออกไปเป็น"นัก"นั้น  ในชีวิตจริง  เขาอาจจะไม่ได้เป็น "นัก" แบบที่เราวางเป้าหมายการผลิตไว้  แต่เขาจะต้องรับผิดชอบบทบาทใดบทบาทหนึ่ง ของสมาชิกในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน  ไม่มีใครหนีความรับผิดชอบชุดนี้พ้น

ทำไมครูอย่างเราต้องยอมจำนนให้การศึกษาในระบบ ลดทอนจิตใจของ"มนุษย์"ดีๆ   ให้กลายเป็นเพียง "คน"ที่ไม่เข้าใจคุณค่าของ "งานของครอบครัว" ไปได้นะ  การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง  และศิษย์กับครู ก็เป็นแก่นของความเป็นครอบครัวในโรงเรียนนี่นา (พี่เคยถามตัวเองอย่างนั้นนะจ๊ะ)

พี่จึงพยายามเตือนตัวเอง ว่าก่อนลงมือสอนความรู้สำเร็จรูป(ที่พี่ไปอ่านเอาจากของคนอื่นอีกที)นั้น

หนึ่ง  พี่ตั้งใจว่าจะต้อง"สื่อสาร"กับเขาอย่างที่เราสื่อสารกับคนในครอบครัวก่อน เช่น  เข้าห้องเรียนปั๊บอย่าจ้วงๆๆๆๆสอนเอาเป็นเอาตาย  ถามเขาสักหน่อยถ้าเป็นคาบเช้า ว่า"ทานอาหารเช้ามาหรือยังจ๊ะ"  "ช่วงนี้ฝนตก..มีใครเป็นหวัดมั่งเอ่ย"  เล่าอะไรดีๆแบบที่ชวนให้มีความหวังในชีวิตให้เขาฟังสักนิด (ก่อนที่จะจ้วงๆๆๆๆสอนสุดชีวิตต่อไป) เป็นต้น

สอง  พี่ต้องฝึกตัวเองให้มองเห็นและเข้าใจทุกข์สุขของเขา มองเห็นใจเขาใจเรา  มองอย่างที่เป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชีวิตเรา   และฝึกเขาให้รักเพื่อนมนุษย์ โดยเราแสดงให้เขาเห็นถึงความรักที่เรามีต่อเขาก่อน  เขาอาจจะค่อยๆซึมซับและได้คิดในเวลาต่อๆไป เช่น  ก่อนสอน  ลองขึ้นต้นเล่าเรื่องอะไรดีๆ  พูดให้ข้อคิดเรื่องชีวิต กับสาวน้อยหน้าเศร้าที่กำลังมีปัญหาในครอบครัว  ..ด้วยถ้อยคำปลอบประโลมใจอย่างนุ่มนวล  ให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกับคำทักทายยามเช้าที่ดูเป็นกลางๆ 

...นั่นอาจช่วยให้สาวน้อยที่มานั่งร้องไห้กับเราเมื่อวาน และนั่งหน้าเศร้าในวันนี้  จะสัมผัสได้ว่าผู้อื่นก็ รู้ เข้าใจ และใส่ใจใน"อีกมิติหนึ่ง"ของชีวิตเขาด้วยใจจริง  มิตินี้ไม่ปรากฏในทรานสคริปต์  แต่ปรากฏในชีวิตจิตใจและตัวตนที่สัมพันธ์กันของครูกับศิษย์  ในฐานะเพื่อมนุษย์ที่รักและปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริง

และ  สาม  ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด  พี่ก็อยากฝึกให้เขาละเอียดอ่อน (เข้าใจจิตใจมนุษย์ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา จริงใจ สื่อสารด้วยความเป็นมิตรแท้ สื่อสารเพื่อให้ รู้จัก  เข้าใจ และรักทุกสรรพสิ่ง)  และเข้มแข็งพอที่จะสร้างความรักให้เกิดขึ้นที่นั่น (มีพรหมวิหาร 4  รู้จักรักผู้อื่นด้วยใจที่สมดุล  ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง มีหลักธรรมประจำใจที่จะทำให้เข้าใจและไม่ตกเป็นทาสของความรัก  ไม่ว่าจะเป็นความรักในรูปแบบใด)   

พี่คิดว่าเราทำให้  Education,   Human Communication และ Family Communication เป็นเรื่องเดียวกันได้   ถ้าเราเข้าใจหัวใจของการสื่อสาร เพื่อ ความ เป็น ครอบครัว  เราจะเข้าใจการสื่อสารของมนุษย์ได้โดยไม่ยากเย็น  เราต้องพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ ที่มีจิตใจที่พัฒนาแล้วและพร้อมที่จะพัฒนาต่อไป ไม่ใช่ใส่โปรแกรม(ในระบบการศึกษา)ทำให้มนุษย์กลายเป็นหุ่นยนต์ไร้หัวใจ 

ว่าแล้วพอเข้าสอน...พี่ก็สั่งเปิดสมุดปุ๊บ  ปิ้งแผ่นใสปั๊บ   แล้วก็พูดเนื้อหาวิชาเป็นลำดับไปเนื่องจากท่องมาแล้วเป็นอย่างดี  แบบว่าเป็นอัตโนมัติทั้งวันและวันที่  ...ด้วยอัตราปิ้ง 120 แผ่นต่อนาที    ยิ่งใกล้สอบจะมีอัตราเร่งปิ้งเป็นสองเท่า   (พูดแล้วอายแฮะแต่ห้องเรียนโรงเรียนพี่ยังมีที่ต้องใช้แผ่นใสอยู่เลย) 

 อ่า...   อย่างอื่นไว้พูดกันทีหลัง   ไม่งั้นเดี๋ยวครูสอนไม่ทัน ... เพราะข้อสอบครูออกรอไว้แล้ว...   

 ...แหม.. ข้างบนอุตส่าห์พูดซะดูดี..   อิๆๆๆ

พูดเล่นนะจ๊ะมัท  : P    พี่เป็นครูที่แบบว่าไม่ชอบเปิดหนังสือสอน และน้อยครั้งที่จะปิ้งความรู้ให้เด็กอ่าน  โดยมากพี่มักจะฝึกให้ทำงาน ให้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและเผชิญเหตุการณ์จริง และสิ่งที่ตั้งใจฝึกมากๆคือการทำงานด้วยความรู้สึกรักผู้อื่น  และคิดถึงคนข้างหลังเสมอ  และทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่ใช่อุดมการณ์สูงส่งอะไรเลยจ๊ะมัท 

...คือว่าพี่มีความสุขที่จะทำงานและอยู่ร่วมกับคนแบบไหน  พี่ก็อยากฝึกเด็กให้เป็นคนแบบนั้น..  เอาแบบบ้านๆอย่างนี้เลย  

ลูกศิษย์หนุ่มที่จบไปแล้วและแต่งงานมานานพอประมาณแล้วคนหนึ่ง บอกว่าเขาเข้าใจที่พี่สอน  แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ไม่ตั้งต้นเริ่มทำ "งานของครอบครัว" ที่เป็นลิขสิทธิ์ของตนเองบ้าง  : )  พี่ตอบเขาอย่างมั่นใจว่าเราสามารถเลือกประเภทของลิขสิทธิ์ที่ตรงกับจริตของเราได้  พี่ไม่ถนัดแบบ สงวนลิขสิทธิ์   เพราะมีตัวแปรหลายชั้นและปัจจัยอันซับซ้อนมากมาย เกินกำลังสติปัญญาอันน้อยนิดของพี่  
พี่จึงเลือกแบบ  ปลอดลิขสิทธิ์  เพราะมันไม่ค่อยซับซ้อน  มีตัวแปรชั้นเดียว และมีปัจจัยอยู่ในวิสัยที่ปัจเจกชนอย่างเราพอควบคุมได้ 

ซึ่ง ณ วันนี้ก็เหมาะแก่ชีวิตอิสระของป้า  และวันหน้าก็เหมาะแก่ชีวิตที่(อาจ)เห็นสัจธรรมของยาย   : ) 

...พอฟังพี่พูดจบ  ลูกศิษย์พี่ถอนใจเฮือกๆสองทีเลยจ๊ะมัท... คาดว่าเป็นเพราะเขาเห็นสัจธรรมไปแล้ว        อิๆๆๆๆๆๆ    : )   : ) 

สวัสดีด้วยความคิดถึงมากเช่นเคยค่ะพี่โอ๋ 

ของแอมแปร์มีความยุ่งหัวฟู แต่ดีใจผมตั้ง(แบบไฟโด้ดิโด้) : ) ทุกทีที่พี่โอ๋แวะมาเยี่ยม

คือตามประสาปุถุชน  แอมแปร์ก็อยากบ่นๆๆๆๆๆเรื่องงานนะคะ  แต่หลังจากที่ได้ใคร่ครวญแล้วก็ได้คำตอบให้ตัวเอง(เพราะชอบถามเองตอบเอง)อีกครั้งว่า เมื่อเปลี่ยนใครไม่ได้ก็จงปรับที่ตัวเรา  แอมแปร์ก็เลยคิดว่าไม่บ่นดีกว่า แต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้  ทั้งนี้เพราะประโยคที่ให้กำลังใจอันมีค่ายิ่งจากพี่โอ๋ ที่บอกว่าลูกศิษย์ "ต้องได้อะไรดีๆไปสร้างคนอื่นๆต่อไปได้แน่นอน"  ทำให้แอมแปร์ได้คิดว่า   เราน่าจะเรียนรู้ที่จะ "มีความสุข(แบบแสนเหน็ดเหนื่อย) กับการสร้างคน"  ต่อไปโดยไม่ต้องโวยวายตีโพยตีพายอันใด 
         ....อย่างมากก็แค่บ่นกระปอดกระแปดไปนิดๆหน่อยๆเท่านั้น... 
คือจะว่าไปแล้ว  งานของแอมแปร์ดูจะเบาเป็นนุ่นไปเลย เมื่อเทียบกับงานของคนเป็นแม่ 

                      

 

ว่าแล้วก็ขอชื่นชมคนเป็นแม่ทุกคนด้วยใจจริงนะคะพี่โอ๋  เพราะกว่าจะมีความสุขในการเลี้ยงลูกแบบสบายๆได้ คนเป็นแม่ต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส   แอมแปร์เห็น "งานของแม่"  แล้วทึ่งจริงๆ 

มัทก็กำลังจะได้ทำงานที่น่ารักที่สุดในโลกนี้ในไม่ช้า  และแอมแปร์ไม่เคยคิดอิจฉาน้องเลย  แค่ตาร้อนผ่าวๆนิดหน่อยเท่านั้น  ^_*

เอ่อ.. และหลังจากอ่านคอมเม้นต์ที่สองของพี่โอ๋  แอมแปร์ก็สะดุ้งเฮือก !!   

                               เพราะที่พี่โอ๋เขียนว่า 
                 เข้าใจความเหนื่อยที่น้องแอมแปร์บรรยายเลยค่ะ
                                 แอมแปร์อ่านเป็น     
                 เข้าใจความเหนื่อยที่น้องแอมแปร์เป็นยายเลยค่ะ  

                                 โอ้ ...  อ่านไปได้..  : )              

ว่าแล้วก็นั่งหัวเราะความแก่ของตัวเองอยู่พักนึงค่ะพี่โอ๋  แค่ผมหงอกบอกอายุยังไม่พอ  นี่ดูทีรึ...ตายังมาไปเสียก่อนยายอีกด้วย : )

เนี่ยแหละ...  แม่บอกแล้ว.ว...ว่าให้ใส่แว่นอ่าน  ..อยากไม่เชื่อดีนัก..   อิๆๆๆๆๆๆๆ

หวัดดีจ้าซาน

อ่า.. ช่วงนี้โปรโมชั่น เพราะเป็นโลว์ซีซั่น (ครือพี่ไม่ได้โผล่มาบันทึกนานข้ามปี) ใครแวะมาคุยด้วยให้เราดีใจ  เราจะตอบแหลกแจกแถมเป็นแพ็กเกจ  ถามหนึ่งตอบร้อย ถามร้อยตอบพัน  อิๆๆๆๆ  ...  สำหรับคำ : )   พี่แอมป์ยินดียกให้ควีๆ  ไม่ต้องยืมเลยจ้า  

 ซานมีมุมมองเรื่อง"คนทำงาน" ที่พี่ชอบใจชะมัดเลย    พี่อ่านอนุทินน้องเมื่อสมัยนานมาแล้ว (เขียนงี้จะได้ดูว่าวัยใกล้เคียงกัน  อิอิ)ประสบการณ์การทำงานแบบมืออาชีพของน้องทำให้พี่ได้แนวคิดแหล่มๆไปฝึกเด็กตรึม  ซานพูดตรงๆและทำให้เข้าใจชัดเจนดี พี่ชอบ    เรื่องที่พี่ชอบใจที่สุด คือเรื่องเจ็น'แก๊ป เนี่ยแหละ ปัญหาแบบ "คิดเองไม่ได้ ทำงานไม่เป็น และมองไม่เห็นว่าความรับผิดชอบของตัวคืออะไร"  เอ่อ..บางทีมอสกิโต้คิลเลอร์ก็อาจเอาไม่อยู่  'เป็คนี้อาจต้องใช้ เทอร์ไมต์ฯ แบบปูพรมเลยอ่ะ    : ) 

อย่างไรก็ดี  พี่ยังรู้สึกมีความหวัง(ไปเรื่อยๆ)อยู่เสมอว่าถ้าช่วยกันฝึก  ก็อาจมีบางคนพอไปรอด แม้จะไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่าจะไปตลอดหรือไม่  แต่คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะฝึกคน ต้องไม่ยอมแพ้   

เหมือนแม่ที่ป้อนข้าวลูกทุกวัน และฝึกลูกทุกวัน  จนวันหนึ่งลูกทำได้เอง  ช่วยตนเองได้ ช่วยคนอื่นได้ ไม่เป็นภาระแก่สังคม ซึ่งนี่คือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของคนที่เป็นพ่อแม่ 

แหละนี่..คือ  "งานของครอบครัว"  อย่างแท้จริง  : ) 

...แบบว่ามามุกนี้ทุกเม้นต์เลยอ่า...   อิๆๆๆๆๆๆ 

หวัดดีจ๊ะมัท

พี่เขินน่าดูเลยอ่า  ตอบทีไรยาวไปห้ากิโลแม้วทุกที  อยากพูดสั้นๆเข้าประเด็นได้แบบมัทกับซานจัง  แต่เวลานึกออกแล้วก็อยากบ่นเอ๊ยอยากบอกให้หมดอะ

ว่าแล้วก็นึกขำขึ้นมาอีกแฮะ  ถ้าพี่มีลูก..พี่คงบ่นจนลูกบ่นว่าทำไมแม่ขี้บ่นขนาดนี้  : )   และดีใจแทนน้องเจละ  เพราะลูกแม่มัทจะได้ฟังอะไรสั้นๆ  ชัด กระชับ  เข้าประเด็น  ไม่เสียเวลาไปเตะบอล  : ) 

คือของพี่ถ้าลูกขออนุญาตไปเตะบอล   พี่คงถามก่อนว่าเตะกับใคร เตะที่ไหน  จะกลับเมื่อไหร่   กินไรยัง    เอ๊ะๆเดี๋ยวก่อน  เอาโทสับไปด้วยเผื่อแม่โทร.ตาม  แล้วจะกินอะไรก่อนหน่อยไหมนั่นน่ะ  ดูซิลูก เพิ่งมาถึงจะไปเล่นและ  การบ้านการช่องไม่ยอมทำ  เอ้า..ไปก็ไปแต่อย่าให้ค่ำนัก 

..อ้าวเอ๊ย..นี่มันค่ำแล้วนี่นาลูก  ...

...งั้นอย่าไปเลย...!

...คาดว่าลูกพี่คงขอยื่นใบแดงทันที..  อิๆๆๆๆๆ

..พี่จะรอวันเห็นหน้าน้องเจพร้อมพี่ป้าน้าอาในนี้เน้อ     : )    : )     

น้องแอมแปร์เขียนอ่านสนุกจริงๆค่ะ นี่ว่าจะเสนอให้เป็นบล็อกเกอร์สุดคะนึงคนแรกของระบบใหม่ แต่ว่าต้องไปเปลี่ยนเกณฑ์ของเขานี่สิ ลำบากจัง เขาน่าจะมีรางวัลอะไรแปลกๆบ้างนะคะ ของน้องแอมแปร์นี่พี่โอ๋จะเลือกให้เป็นคนที่ตอบความเห็นได้เข้าท่าเข้าทีมีสาระและความสนุกสนานที่สุดเลย

ว่าแต่ว่าภาพกลอน "เห็นเลยแหละ"นี่เป็นฝีมือน้องแอมแปร์เมื่ออายุเท่าไหร่คะ และฝีมือแก้ไขวิจารณ์นี่ของคุณแม่จริงๆใช่ไหมคะ สุดยอดจริงๆทั้งคุณแม่คุณลูกเลยค่ะ อยากไปเจอตัวเป็นๆครอบครัวนี้จริงๆเลย อ่านไปยิ้มไป คราวนี้เห็นบันทึกนี้มาโผล่ในบันทึกที่ได้รับความคิดเห็นล่าสุดที่ฉันร่วมให้ความคิดเห็น เมื่อไหร่ต้องแวะเข้ามาเก็บรอยยิ้มก่อนอื่นเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ

เอ้า เชียร์กันเองใหญ่เลย 555 แบบว่าเขียนยาวเป็นเหมือนกัน แต่เขียนสั้นแล้วได้ใจความเพียงพอที่อยากบอกก็เลยเลือกแบบหลังแทนเจ้าค่า ; P

สวัสดีค่ะพี่โอ๋ : ) 

ไม่ทราบทำไมแอมแปร์ตอบพี่โอ๋ทีไรเป็นต้องยาวแบบหอบแฮ่กๆทุกทีเลย ...  : )    หนนี้แอมแปร์เลยพยายามจะตอบสั้นๆแบบได้ใจซานเอ๊ยได้ใจความ ว่าขอบพระคุณมากๆเลยค่ะพี่โอ๋  ที่ให้กำลังใจแอมแปร์อย่างน่ารักสุดยอดมาก  ตั้งแต่วันแรกมาจนวันนี้
และแอมแปร์ก็เต็มใจที่จะสื่อสารกับพี่น้องๆทุกท่านที่เข้ามาร่วมสนทนากันอย่างสบายใจ  แบบว่ามีความสุขตามอัตภาพดี 

อย่างไรก็ตาม  แอมแปร์นั่งหัวเราะเอิ๊กๆอย่างถูกใจที่สุดในโลก  เพราะชอบชื่อรางวัลของพี่โอ๋มาก   เข้าท่าจิงๆ      รางวัลชื่อ  "อะไรแปลกๆ"  ของพี่โอ๋นี้ต้องรับกับหน้าแอมแปร์อย่างแน่นอน     อ่า.. แต่คนที่ต้องคิดกติกาแปลกๆให้เข้ากับชื่อรางวัลคงเครียดน่าดู   อิๆๆๆๆๆๆๆ     : )  : )   : )

ภาพกลอน "เห็นเลยแหละ" นี่แอมแปร์เขียนไว้ตั้งแต่สมัยสาวๆตอนสอนเด็กนิเทศศาสตร์ใหม่ๆค่ะพี่โอ๋    ตอนเขียนนั้นนึกถึง "งานของแม่"จริงๆ และเมื่อต้องสอนการเขียนสร้างสรรค์  จึงลองเขียนนำเสนอให้เด็กๆดูว่า งานเขียนนั้นอยู่ที่เราคิดและสร้าง,สร้างสรรค์,รังสรรค์(=ออกแบบ) 
   
คำว่า "แม่" คำเดียว เราสามารถสร้างสรรค์ได้ตั้งหลายรูปแบบ 

แอมแปร์อยากบอกเด็กๆ (โดยที่เราไม่ต้องพูด) ว่า   อย่าติดกรอบ จนไม่กล้าตอบโจทย์   จงตอบโจทย์  "ด้วยคำตอบที่เป็นตัวของตัวเอง"   ....ว่าแล้วก็เลยต้องเขียนให้เด็กๆดู...

งานนี้แอมแปร์เขียนเองและตรวจเองค่ะพี่โอ๋   การนำเสนอเช่นนี้มีจุดประสงค์ซ้อนจุดประสงค์อีกที   คือ
     หนึ่ง  โฟกัสที่รูปแบบและเนื้อหาของชิ้นงาน (มองแบบตีความชั้นที่หนึ่ง-ตีความจากรูปแบบการเขียนนำเสนอ)  โดยใช้รูปแบบการตรวจงานเขียน  ให้ผู้อ่านรู้สึกเสมือนกำลังอ่านครูตรวจงานเขียนของเด็ก    โดยอยากให้ "ผู้อ่าน" เห็นวิธีคิดแบบติดกรอบของครู(ครูตรวจงาน)  ตัดกับภาพอยากเดินออกจากกรอบของเด็ก (เด็กเขียนกลอน)        
    สอง  โฟกัสที่การออกแบบการสื่อสารของผู้เขียน  คือแอมแปร์  (มองแบบตีความชั้นที่สอง-ตีความจุดมุ่งหมายของผู้เขียน)  มองลึกเข้าไปอีกหน่อย ใช้กลวิธี"เอากรอบมาเล่นให้เด็กดู"   คือนำเสนอให้ "ผู้อ่าน" เห็นว่าครู(คือแอมแปร์)  ไม่จำเป็นต้องเขียนติดกรอบเสมอไป  ถ้าครูจะเขียนกลอนเรื่องแม่ ครูไม่จำเป็นต้องเขียนกลอนสุภาพสี่บทตามกรอบบังคับ ครูอยากนำเสนอสองบทบาทในหนึ่งชิ้นงาน   คือแต่งกลอนด้วย ตรวจกลอนด้วย
         
 ในงานเขียนชิ้นนี้  
           วิธีแต่งกลอน  ครูต้องการแสดงให้เห็นวิธีคิดของเด็ก  ที่เขานำเสนอตัวตนอย่างเป็นตัวของตัวเอง  (สื่อสารด้วยคำ ภาพ การออกแบบต่างๆที่ไม่ติดกรอบการเขียนกลอนส่งครูในชั้นเรียน)
           วิธีตรวจกลอน ครูต้องการแสดงให้เห็นวิธีคิดของครู  ที่มีหลักการตรวจตามขนบครูสอนภาษาไทย (สื่อสารด้วยการชี้ถูกชี้ผิดตามเกณฑ์มาตรฐาน ครูตรวจตามเกณฑ์  แต่สิ่งที่อาจถูกลดทอนไปคือความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ  ในการสื่อสารของเด็ก   ...ซึ่งน่าเสียดายชะมัดเลยค่ะพี่โอ๋... ) 
           
           จู่ๆแอมแปร์นึกถึง Happening Arts แล้วสนุกน่าดู แต่กลัวเขาเชิญให้ย้ายวิกไปอยู่คณะศิลปกรรม เลยยั้งๆไว้ 

จุดประสงค์สำคัญของงานเขียนที่นำเสนอเด็กๆในลักษณะนี้   คืออยากให้เด็กกล้าเป็นตัวของตัวเอง  และสร้างงานที่เป็นตัวเองจริงๆ  โดยไม่ต้องลอกเลียนแบบใคร

แอมแปร์คิดว่าถ้าเขาได้ฝึกคิด ฝึกใช้ชีวิตที่ไม่ยึดติด เป็นอิสระ และเป็นตัวของตัวเอง แบบคนที่"รู้คิดและใช้ชีวิตเป็น"   ในที่สุด  เขาจะมีความสุขได้ในแบบที่เขาเป็น    และเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้เท่าๆกับที่เคารพความเป็นตัวตนของตัวเอง  ....แอมแปร์อยากสร้างคนให้ได้แบบที่ฝันนี้จังเลย ...

เรื่อง"หาตัวเองให้เจอ  เป็นตัวของตัวเอง และเป็นแบบที่ตัวเองเป็น" นี่  แอมแปร์ก็ใช้เวลาแทบทั้งชีวิตในการเรียนรู้เหมือนกันค่ะพี่โอ๋
ครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มสอนครั้งแรกในชั่วโมงการเขียน  เพื่อโยงเข้าสู่เรื่องการผลิตชิ้นงานศิลปะที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ลอกเลียนแบบกัน  แอมแปร์บอกนักศึกษาว่าการผลิตของแบบอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมหาศาล โดยไม่สนใจความต้องการของผู้บริโภค จะอยู่ไม่ได้  และจะเปลี่ยนไปเป็นการผลิตตามสั่งแบบจำเพาะเจาะจงตามความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่งน่าจะเข้ากับโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งเข้าใจเรื่องความจำกัดของทรัพยากร  ผู้ผลิตจะกลับไปเน้นที่การประหยัดต้นทุน ประหยัดทรัพยากรมากกว่าที่เคยเป็นมา  แล้วก็ยกตัวอย่างการผลิตเสื้อผ้าและเครื่องประดับ  

เด็กหัวกะทิของห้องคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า "ผมรู้นะว่าอาจารย์อ่านมาจากหนังสืออะไร  หนังสือคลื่นลูกที่สามใช่ไหมครับ" ....เด็กคนนี้อ่านหนังสือเยอะ เรียนเก่ง และเป็นเด็กแถวหน้าของนิเทศศาสตร์รุ่นแรกที่แอมแปร์สอน   แอมแปร์ยิ้มและบอกเด็กว่าเล่มที่คุณพูดถึงครูเคยได้ยินหลายคนพูดถึง แต่ครูยังไม่เคยอ่านเลย 

  ..ตอนนั้นดูสีหน้าของเขา  คล้ายๆกับจะรู้สึกว่าไม่เชื่อหรอก  อาจารย์ต้องเอามาจากหนังสือเล่มนั้นแหงๆ   และแอมแปร์ก็เคารพความรู้สึกของเขา..  ไม่ได้พูดแย้งหรือหักล้างใดๆ
 
ตกเย็นแอมแปร์ก็หาซื้อหนังสือ คลื่นลูกที่สาม ของทอฟฟ์เลอร์ มาอ่านด้วยความประทับใจ  แล้วก็เข้าใจว่าเหตุใดเด็กจึงรู้สึกว่าเราต้องเอามาจากเล่มนี้แน่    เพราะโครงสร้างถ้อยคำและการอธิบายในประเด็นเล็กๆประเด็นนั้น คล้ายกับในหนังสือเล่มนี้เลย

สองสามปีต่อมา  แอมแปร์ได้พบกับลูกศิษย์คนนั้น และบอกเขาอย่างรื่นเริงอีกครั้งว่าที่พูดไปทั้งหมดในห้องเรียนวันนั้น ไม่ได้นำมาจากหนังสือ แต่ "ครูคิดเอง" : )  แล้วก็ขอบคุณเขาที่ทำให้เรามีความมั่นใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง  ซึ่งมีค่าที่สุดในชีวิตการเป็นครู  ว่าแล้วแอมแปร์ก็ได้เพื่อนซี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน  ดีชะมัด 

บทเรียนครั้งนั้นเป็นปัจจัยหนึ่ง(ในหลายๆปัจจัยที่ลงตัวกันอย่างประจวบเหมาะ)ทำให้แอมแปร์ "กล้า" ที่จะเป็นตัวเอง และสื่อสารกับเด็กอย่างเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงค่ะพี่โอ๋  หลังจากที่เคยบ่นกับตัวเองในใจว่าคนเรียนไม่เก่งอย่างเรา จะสอนเด็กได้หรือ   แอมแปร์ได้เห็นความจริงอีกครั้งว่า  เรื่องบางเรื่องเราสามารถคิดได้ด้วยตัวเอง   ทุกคนสามารถคิดอะไรต่อมิอะไรออกได้  ด้วยขั้นตอนการประมวลผลแล้วลงข้อสรุปธรรมดา  เราสามารถเรียนรู้จากสรรพสิ่งๆต่างๆรอบตัว แล้วก็ลงข้อสรุปเป็นที่สนุกสนาน  สนุกอย่างเงียบๆไม่ต้องไปโอ้อวดใคร

แต่หากจำเป็นต้องนำเสนอต่อสาธารณะชน  เราต้องรับผิดชอบ  ต้องบอกตามความเป็นจริงว่าอันไหนคิดเอง อันไหนเอาของเพื่อนมา เช่นนี้แล้วเราก็จะนำเสนอเรื่องราวต่างๆต่อไปได้ด้วยความสบายอารมณ์ดีตลอดชีวิต 

 ว่าแล้วแอมแปร์ก็ภูมิใจเสนอพี่โอ๋ซะยืดยาวเช่นเคย และมั่นใจว่าพี่โอ๋ชินแล้ว  : )    : )    และขอบพระคุณมากที่สุดอีกครั้งสำหรับกำลังใจที่พี่โอ๋นำมาฝากนะคะ  แอมแปร์จะได้เลิกกังวลเวลาจะตอบอะไรใครยาวๆ วงเล็บ ในบันทึกของตัวเอง  เพราะการเขียนเล่าเรื่องของตัวเองนั้นง่ายที่สุดแล้วในบรรดาการเขียนทั้งมวล

ขอบพระคุณมากที่พี่โอ๋แวะมาเยี่ยมเยียนกันอยู่เนืองๆนะคะ  แอมแปร์คิดว่าการมีกัลยาณมิตรที่เราสื่อสารได้อย่างเปิดเผย จริงใจ ตรงไปตรงมา และบริสุทธิ์ใจ เสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันนี้

 ..เป็นรางวัลที่มีค่าที่สุดต่อชีวิตเราเลยค่ะ..

                  : )   : )   : )  : ) 

หวัดดีจ๊ะซาน

เชียร์กันแบบเห็นตัวเป็นๆไปเลยน้อง   จริงใจดี  อิๆๆๆๆๆๆ   พี่พูดจริงๆอะ  พี่ชอบที่น้องตอบตามที่น้องเห็นและรู้สึกจริงๆ  แบบแมนๆ  สบายใจดี 

สไตล์การสื่อสารนี่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนจริงๆเนอะ  งานวิจัยเรื่อง "วิเคราะห์ลักษณะการสื่อสารของบล็อกเกอร์โกทูโนว์" ออกมาเมื่อไหร่คงสนุกน่าดูคิดว่าทีมงานก็คงดำเนินการอยู่แล้ว  เจ้ามะปรางผมจะหยิกสลวยก็งานนี้แหละ  (ยุ่งหัวฟู)  : )  : )   : )  : ) 

งานใหม่ของพี่ตอนนี้ก็กำลังปรับตัวกับการสื่อสารในองค์กรแบบ คอนเซอร์เวตีฟ สนุกชะมัด เพราะต่างเจ็น แถม computer literacy ก็ยังห่างกันแบบไม่เห็นฝุ่นด้วย แปลว่ากับเจ็นนึงเราสามารถรันงานและแชร์อินฟอร์เมชั่นออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเห็นตัว    แต่อีกเจ็นนึงเราต้องสื่อสารแบบมุขปาฐะที่เห็นตัวเป็นๆอย่างเดียว ในขณะที่เรายังมีงานอื่นรออยู่อีกแปดร้อยเจ็ดสิบห้างาน  แรกๆพี่ก็หัวฟูไปเหมือนกัน  ส่วนพ่อกับแม่ก็หูชาเพราะพี่บ่นๆๆๆๆๆๆๆๆ  คือมันไม่รู้จะระบายออกทางไหนจริงๆอะ

เมื่อไม่กี่วัน(หลังจากบ่นไปแล้วหลายวัน) พ่อก็บอกพี่แอมป์ตรงๆว่าเอาเวลาที่บ่นนี่ไปทำอย่างอื่นดีไหม  การปรับตัวเพื่อเรียนรู้จากภูมิปัญญาที่สั่งสมก่อนนั้น..จำเป็นมาก  และน่าจะดีกว่าการไม่ยอมปรับตัวและปล่อยให้โอกาสการเรียนรู้นั้นผ่านเลยไป   เหมือนกับเราเป็นต้นไม้เล็กที่อยู่ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่  เรามีโอกาสได้เรียนรู้จากผู้ที่อยู่มาก่อน น่าจะโชคดีกว่าการโตพรวดพราดโดยที่รากยังไม่แข็งแรง  อีกหน่อยก็จะเฉา ตอนนี้ขอให้เรียนรู้และเพียรพัฒนาตนเองไป เมื่อถึงวันที่เราเฒ่าชะแรก็จะได้เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้เช่นกัน

พี่ฟังแล้วก็ลมดีขึ้นมาทันทีเลยจ๊ะซาน  พี่เข้าใจอย่างยิ่งว่า เราอาจเลือกและปรับเทคโนโลยีให้ถูกใจเราได้  แต่การปรับตัวกับคน"คน"ไม่ง่ายอย่างที่"คลิก"    แบบว่ารู้ทั้งรู้  แต่บางทีเราก็อยากเป็นตัวของเราเอง..อย่างที่เราเป็น แบบที่ไม่ต้องคอยตามใจใครๆมั่งอะ  นึกแล้วพี่ก็ขำตัวเองละ  พอแก่ๆแล้วนี่พี่ก็ชักจะดื้อขึ้นมาหน่อยๆเหมือนกัน

อนึ่ง ที่เล่าให้น้องฟังทั้งหมดข้างต้นนี้ไม่ถือว่าเป็นการบ่น  แต่เรียกว่าเล่าสู่กันฟังอย่างพี่อย่างน้อง

 ...ตามประสาคนใน"ครอบครัวเดียวกัน"น่ะนะจ๊ะ...   

                                  : )   : )   ; ) 

 

ฮ่อๆๆ เป็นผู้ฟังที่ดี นี่ตอบยาวแล้วนะพี่ ตั้งสามฮ่อแน่ะ 555 เรื่องระหว่าง Gen นี่มีให้ปวดกะโหลกเสมอค่ะ แต่ขำก็มีนะพี่ แบบแม่หนูไง ตอนที่บอกแม่ว่าคอมติดไวรัส แม่บอกว่าแล้วจะติดคนมั้ย อย่าไปใกล้นะ มองหน้าแม่แล้วจะว่าแกมุกก็ไม่ใช่ ตาใสซื่อปิ๊งๆ

ปรับคนอื่นน่ะยากค่ะพี่ ปวดหัวด้วย ถ้าเราพอจะปรับตัวเองได้ไม่ยากเย็นก็เลือกปรับตัวเองง่ายกว่า ไม่ต้องพูดจนปากจะฉีกแล้ว feedback กลับมาก็ศูนย์เปอร์เซ็นต์ คืออยู่กับคนแบบไหนก็สื่อสารแบบเขาไป พูดกันรู้เรื่องงานก็เดิน ถ้าชอบสไตล์โลวเทคเราก็โลวด้วยได้ ยังสามารถสื่อสารผ่านการพูดจาพร้อมยกมือไม้ประกอบท่าทางเข้าจังหวะ จะวาดรูปอธิบายแถมก็ยังไหว แต่กลุ่มไหนอยากไฮเทคก็เราก็ไฮกับเขาไปให้สุดโต่ง สั่งงานทางเมล ตรวจข้อมูลผ่าน PDA เซ็นรับงานด้วย E-signature อัพโหลดไฟล์ผ่าน FTP เอาให้ตายกันไปข้างนึง สรุปว่าได้ทั้งนั้นค่ะพี่ ขอให้งานเดินเป็นพอ แต่มีสองอย่างที่ขอร้องว่าไม่ไหวจริงๆ คืออย่าต้องให้เราส่งแฟกซ์กับถ่ายเอกสารแล้วกัน เพราะทำไม่เป็น ^ ^ (สองอย่างหลังนี่ที่ออฟฟิศหนูสั่งด้วยระบบเสียงค่ะ ไฮเทค สั่งว่า "ส่งแฟ็กซ์ให้พี่หน่อย หรือถ่ายเอกสารให้ที" เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย 555 ไฮเทคมั้ยพี่)

สงสัยเราจะคุยกันได้เรื่อยๆเลยนะคะ ชอบความคิดหลายๆอย่างของน้องแอมแปร์มากๆเลย ดีใจที่น้องแอมแปร์รักที่จะทำหน้าที่นี้และรักความตั้งใจของน้องแอมแปร์มากๆค่ะ ดีใจแทนเด็กๆอีกมากมาย เวลาลูกชมครูคนไหน พี่โอ๋ก็จะรู้สึกขอบคุณคุณครูท่านเหล่านั้นทุกครั้งไป เพราะต้นแบบที่เด็กเอามาชื่นชมนั้น เขาไม่ได้รับมาแต่เรื่องที่ครูสอนหรอกนะคะ เขารับมาหมดเลยที่ครูเป็น ครูทำ และพี่โอ๋เห็นว่าครูโชคดีกว่าพ่อแม่ตรงที่ แค่สร้างความประทับใจให้เด็กได้ในเวลา 1 เทอมก็ได้ปลูกฝังอะไรดีๆในเด็กแล้วในขณะที่พ่อแม่ต้องทำกันทั้งชีวิตของลูกเลยนะคะ มีอะไรหลายๆอย่างที่พี่โอ๋สอนลูกด้วยการกระทำและต้องใช้เวลาหลายปีกว่าลูกๆจะซึมและทำตามบ้าง และเห็นจริงๆเลยว่า การสอนวิธีไหนๆก็ไม่ดีเท่ากับการที่เราทำให้เขาเห็นแสดงให้เขาดูค่ะ

วิธีการสอนของน้องแอมแปร์นี่สุดยอดค่ะ พี่โอ๋ชอบจริงๆ ทำต่อไปนะคะ การที่ได้เป็นคนต้นแบบสำหรับคนอื่นๆนี่เป็นรางวัลชีวิตที่ไม่ใช่ใครๆจะมีโอกาสทำและทำได้กันทุกคนหรอกนะคะ น้องแอมแปร์โชคดีที่ทำได้อย่างมีความสุขเสียด้วย

P  หวัดดีจ้าซาน

โอ้... ตั้งสามฮ่อ ถูกใจพระราชาจริงๆ  น้องตอบโดนใจแบบว่าโชะเด๊ะเจ๊ะเป้งมาก  พี่จะทำใจให้ได้แบบน้องว่า  ชีวิตจะได้เป็นสุกเอ๊ยเป็นสุขซะที    อยากได้..จั๊ดให่  เอาให้จุติกันไปข้างนึง  อิๆๆๆๆ

อะฮ่า....ระบบสั่งด้วยเสียงออฟฟิศน้องเท่มากอ่า   ไฮสุดยอดเลยซาน  รู้เลยว่าใคร'วุโส ที่สุดในออฟฟิศ  ปิดกันไม่มิดเก๊าะคราวนี้แหละ  อิๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุณน้องมากเน้อ

  : )   : )  : ) 

P   สวัสดีค่ะพี่โอ๋ : )

แอมแปร์ตรวจข้อสอบและทำเกรดเสร็จเมื่อไหร่ จะไป'เม้นต์ในบันทึกถึงลูกของพี่โอ๋อย่างยาวเลยค่ะ  เพราะพี่โอ๋เขียนดีจริงๆ  และสามหนุ่มของพี่โอ๋ก็น่ารักเหลือเกิน 

พี่โอ๋เขียนถ่ายทอดจากใจได้ดีจนแอมแปร์อยากแต่งงานมีครอบครัวขึ้นมาจริงๆเลยอะ   เอ่อ..แต่ไม่เป็นไรค่ะพี่โอ๋  อันเนื่องมาจากเรื่องนี้เป็นโครงการระยะยาว  แอมแปร์รอเฟสเฟสสามก็ได้ : ) 

ขอบพระคุณที่พี่โอ๋แวะมาคุยเรื่อยๆนะคะ  แอมแปร์ก็ได้เห็นอีกครั้งว่าหากพ่อแม่เป็นตัวแบบที่ดีของลูกแล้วไซร้  งานของครูก็จะเติมเต็มให้แก่เด็กได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องหนักมือจนเกินไป และไม่ต้องหนักใจจนเกินควร  เพราะลูกได้ก่อร่างสร้างรูปและฝังรูปรอยที่ดีมาแล้ว  ครูจะได้ตั้งใจเจียรนัยจนสุดฝีมือ   และจะได้ชื่นใจทันตาเห็นให้หายเหนื่อยในพริบตาสักที 

แอมแปร์เชื่อว่าคุณครูของสามหนุ่มคงรู้สึกชื่นใจทันตาเห็น  ดังเช่นที่ว่านี้ไปแล้วนะคะพี่โอ๋   : )   : )  

 

พี่แอมป์ยิ้มขำคุณหมอเล็กละ  เพราะแวะมายิ้มให้ตั้งหนึ่งแผล็บ... น่ารักชะมัด  : ) 

...การได้สนทนา และแวะมาทักทายกันอย่างพี่อย่างน้องนี้ ทำให้รู้สึกรื่นเริงกระเทิงใจดี
...ความรู้สึกแบบ"ครอบครัว"  ทำให้เรายิ้มจากใจ พูดจากใจ สื่อสารจากใจถึงใจได้ ...และทำให้เรามีความสุขจัง..

                                      ขอบคุณมากนะคะ... คุณหมอเล็ก  : )

ปล.ขอโทษอย่างที่สุดจริงๆที่ไม่ได้แวะมาตอบในเวลาอันสั้นนะคะ  พี่แอมป์จะยุ่งหัวฟูเป็นช่วงยาวจนกว่าจะทำเกรดเสร็จ  และจะว่างอยู่ราวสิบถึงสิบสามชั่วโมงจนถึงหกนาฬิกาของวันรุ่งขึ้น  จากนั้นงาน(ก็)เข้าต่อเนื่องอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกเทอม กุ้มใจจิงๆ 

เกษียณเมื่อไหร่จะไปแต่งงานซะให้เข็ด  อิๆๆๆๆๆ : )

เกษียณเมื่อไหร่จะไปแต่งงานซะให้เข็ด  อิๆๆๆๆๆ : )
***             ***              ***

จริง ๆ แล้วเรื่องแต่งงานนี่ไม่ต้องรอเกษียณนะคะ

แว่ว ๆ ว่าสำหรับสาขาวิชาชีพขาดแคลน(น้องก็คนหนึ่ง..แหมน่าภูมิใจหรือลำบากใจดี?) เขาจะขยายให้อีก10ปีแน่ะค่ะ

อ้อ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งหมด..ก็ฉ้ายนะคะ 

มันจะนานเกินรอ อิ อิ แซวนะคะ

แต่อย่าแต่งอย่าเติ่งเลยเนี่ย ดีที่สุดค่ะ ฝันที่เราฝันไว้จะดูสวยหรูนิรันดร์
แต่งแล้ว..จะรู้ว่า..ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงแบบจำต้องยอม มีจริงในโลก
(ทั้งเราและเขา...อ้าว)

วันนี้มาแปลก ไม่ใช่อะไรดอกค่ะ ชีวิตคู่ ว่ายุ่ง แล้วยังมีชีวิตคี่ให้ยุ่งดับเบิ้ลอีกในบางพักน่ะค่ะ บ่ มีอันหยังใหญ่โต

ลูกชายยังบอกว่า "แม่ แม่ แม่ ดีนะ การที่เราขัดแย้งกันบ้างเป็นการฝึกการอยู่ร่วมกันระหว่างหรือท่ามกลางความแตกต่าง เป็นบททดสอบที่ดี"

 

วันก่อนที่แวะมายิ้มหนึ่งแผลบ ก็เพราะน้องคิดขึ้นมาได้คล้าย ๆ แบบนี้แหละค่ะ

แบบที่พี่แอมป์เข้าใจเขียนได้ดีเชียวค่ะ...

ความรู้สึกแบบ"ครอบครัว"  ทำให้เรายิ้มจากใจ พูดจากใจ สื่อสารจากใจถึงใจได้ ...และทำให้เรามีความสุขจัง..

 

สวัสดีค่ะคุณหมอเล็ก

พี่แอมป์ชอบที่ลูกภูพูดจังเลย  ทึ่งอีกแล้ว 
ช่างคิดได้ลึกซึ้งเกินวัยจริงๆ  : )   : )   : )   

งั้นตกลงว่าตอนนี้พี่แอมป์เลือกแบบ "ฝันสวยหรู ดูนิรันดร์"  ไปก่อนละกันนะคะ 

สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะพี่แอมป์

...

เมื่อเช้าฟังเพลง when you say nothing at all คิดถึงพี่แอมป์ที่สุดเลย

พี่แอมป์สบายดีนะคะ ... สงกรานต์เป็นไงบ้างคะ เจ้าน้องหลานตัวน้อย เป็นไงบ้างคะ คงทำให้พี่แอมป์ หายเหงา และสร้างสีสันได้มากมายเลยนะคะ

ช่วงนี้ยุ่งๆ กับการงานและภาระ กิจ ใหม่ๆ ค่ะ :) แบบยังไม่ลงตัวสักทีค่ะ  .. ปีนี้เป็นปีแรกที่ปูไม่ได้เดินทางไปไหน ก็ใช้เวลาอยู่กับคนที่บ้านตลอด 3 วันค่ะ ได้หยุดพักน้อยที่สุดค่ะ แต่ก็เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งนะคะ :)

ยังระลึกถึงพี่ดอกไม้ทะเล พี่สาวคนดีในดวงใจเสมอค่ะ

 

เเหะ เพิ่งเเวะเข้ามาอ่านหน้า นี้ ฮาจิงๆๆๆ ชอบบุตรมัจฉาเป็นที่สุดดดดด

งานเยอะ พักผ่อนเเยะนะงับ

^

^

^

ข้อความข้างบนของพริมเองเด้ออออ~~

สวัสดีค่ะ

แวะมาเยี่ยมชม

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาแบ่งปันนะคะ

จารย์ คิดถึงอ่ะ ดูแลสุขภาพด้วยน่ะค่ะ เป็นห่วงอ่ะ

สวัสดีครับ

แวะมาเยี่ยม มาเรียนรู้ ครับ

เรื่อง"หาตัวเองให้เจอ  เป็นตัวของตัวเอง และเป็นแบบที่ตัวเองเป็น" นี่  แอมแปร์ก็ใช้เวลาแทบทั้งชีวิตในการเรียนรู้เหมือนกันค่ะพี่โอ๋...

<3<3<3
คิดถึงพี่แอมป์มาก ๆ ๆ ๆ ๆ

วันนี้เพิ่งจะพูดคุยกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ในเรื่องที่มีแก่นคล้าย ๆ กันนี้

 

พูดไปพูดมา บางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเราเอง ยังสอบตก ปฎิบัติข้อนี้ไม่ผ่าน

เราอยากเป็นตัวของเราเอง

อยากทำสิ่งที่ถนัด

แต่เราโตแล้ว เราต้องทำสิ่งที่คนโต ๆ กว่าเรา ขอร้องให้เราทำ...

ในเมื่อท่านมอบความไว้วางใจให้ เราจะปฎิเสธอย่างไรได้ เฮ้อ

 

ตอนนี้ น้อง ๆ และเพื่อนร่วมงานมองว่าน้องเป็น Miss(Mrs) Yes...

เนื่องเพราะเราเคยเป็นเหมือนคนโต ๆ ในที่ทำงานเดิมมาสิคะ ถึงพอเข้าใจ

 

แวะมากวน ก่อนเข้านอน อยากอ่านเรื่อง และคำตอบ(ที่ยาวกว่าคำถาม คคห ผู้มาเยี่ยมเสมอ)

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

<3<3<3

  • หายไปนานมากๆๆ
  • พี่สบายดีไหมครับ

Ico48
ลูกปูจ๋า ขออภัยที่สื่อสารช้าและขอบคุณมากๆสำหรับความคิดถึง ที่มีให้กันเสมอนะจ๊ะ
ทำงานให้มีความสุขนะจ๊ะลูกปู อุดมการณ์ของน้องงดงามเสมอ Even when you say nothing at all นะจ๊ะ
Love you,sis
พี่แอมป์จ๊ะ

น้องพริมจ๋า อาแอมป์ขอโทษจริงๆนะลูก ที่พักคอมเม้นต์ไว้ข้ามปี จนลูกขี่เรือบินข้ามไปกว่าห้าสิบชาติ แต่ก็หนุกดีใช่ป่าว น้องพริมเก่งกว่าอามากมายนักนะลูก อาเพิ่งขี่เอ๊ยเพิ่งผ่านมาห้าหกชาติเอง อิอิ ขอบคุณที่แวะมาทักอาแอมป์ที่นี่นะจ๊ะ อาห่างไปนานเพราะงานเยอะ และตอนนี้งานหนักมากแต่อาตั้งใจว่าจะกลับมาบ่นอย่างสนุกสนานต่อไป เรื่องพูดคนเดียวนี่อาถนัด ^_^ กลับมาแล้วก็ตั้งใจเรียนนะลูก ถึงการบ้านเมืองไทยจะน่าเบื่อหน่อย แต่ดีกว่าต้องไปไหนแบบคอยกังวลเอกสารแสดงตัวตน ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าเมืองไทยของเราหรอกลูก
รักและคิดถึงลูกมากจ๊ะน้องพริม
อาแอมป์จ๊ะ

คุณต้นเฟิร์นคะ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมเช่นกันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^_^

น้องรัชจ๊ะ เก่งจังที่ตามมาเจอครูที่นี่ และดีใจที่ได้เจอกันที่โน่น ว่างๆเราไปสนทนากันที่นั่นมังนะ อิอิ

เรียน รศ. เพชรากร หาญพานิชย์ ที่นับถือ

ขอบพระคุณยิ่งค่ะ ที่อาจารย์ให้เกียรติแวะมาและต้องขออภัยอย่างสูงที่ตอบช้ามากๆ ดิฉันตั้งใจว่าจะพยายามเข้า G2K ให้เป็นกิจวัตร เพราะที่นี่ให้โอกาสดิฉันได้พัฒนาตนเองในหลายๆด้าน หากทำประโยชน์อะไรให้แก่สังคมที่น่ารักนี้ได้บ้าง ดิฉันก็จะยินดียิ่งค่ะ

หวัดดีด้วยความคิดถึงมากอีกทีจ๊ะคุณหมอเล็ก พี่แอมป์สนุกกับวิธีเม้นต์แบบว่าสั้นๆแต่ "แมน"ดีของน้องทุกครั้ง ^_^ พี่คิดว่าเรื่องงานนี่เป็นศิลปะที่สนุกสนานแทบแย่เลยอะ โดยเฉพาะเมื่อเราต้องทำความเข้าใจ และให้เกียรติผู้อื่นทั้งวิธีคิดและวิธีทำ ซึ่งส่งผลใดๆต่อชีวิตเราบ้างไม่มากก็น้อย แต่มีส่วนน้อยเท่านั้น..ที่กระทบไม่มาก

(..นอกนั้นแล้วก็มักจะมาก..อิอิ) เอ่อ... เอายาดมแก้เวียนหัวก่อนไหมจ๊ะน้อง

^_^ พี่ได้ข้อสรุปแบบชัดแหล่มจากประสบกรรมตรงของตัวเองจ๊ะ

"ในหลายๆครั้ง ความเกรงใจไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ความชัดเจน จริงใจ และตรงไปตรงมาเท่านั้น

ที่ช่วยให้เราคงความเป็นตัวของตัวเองอยู่ได้

ในเวลาที่เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว

ที่จะให้เกียรติทั้งวิธีคิดและวิธีทำ...ของผู้อื่น"

พีได้คำตอบของชีวิตอย่างนี้แหละจ๊ะ และวันนี้พี่ก็ต้องกลายเป็นกำนันแบบไม่เจตนา ต้องพยายามพิจารณาว่าเราจะจัดลำดับคนอย่างไร ตามความสามารถที่เขามี ตามมุมมองที่เราเห็น และตามแบบที่เขาอยากเป็นด้วย ทักษะเดาใจให้ถูกใจกันนี่ ยากชะมัดเลย พี่เลยถนัดแบบแมนๆ คือบอกกันมาเลยว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ต้อง"ไม่ผิดหน้าที่ และไม่หนีความรับผิดชอบ"อะจ๊ะ เจอทีมที่เข้าใจกันเมื่อไหร่ก็ถือเป็นกุศลของชีวิต พี่ภาวนาขอให้เจอทุกวินาทีเลยจ๊ะ

คิดถึงน้องเน้อ เจอกันเมื่อไหร่พี่จะพาไปเลี้ยงติ่มซำ แถมส้มตำเจ้าอร่อยสุดยอดด้วย น้องชอบทานอะไร ออเดอร์ล่วงหน้าข้ามปีได้เลย พี่จะรอวันนั้นนะจ๊ะคุณหมอเล็ก ^_^

สวัสดีด้วยความคิดถึงมากค่ะน้องขจิต พี่แอมป์ขออภัยที่ไม่ได้เข้ามาตอบเป็นเวลานาน(มาก) แต่น้องก็ยังยิ้มให้พี่อย่างน่ารักเสมอมา เพราะไม่ได้เปลี่ยนโปรไฟล์ อิอิ พี่มีเรื่องอยากเล่ายาวไปห้ากิโล แต่เพื่อปรับ look เปลี่ยน image ให้ดูดีมี style สมกับเป็นคุณป้ายุคใหม่ พี่ก็จะรายงานเพียงสั้นๆตามข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ดังต่อไปนี้ ๑.พี่ยังไม่ได้แต่งงาน ๒.สืบเนื่องจากข้อหนึ่ง จึงทำให้พี่ไม่มีข้อมูลที่จะโพสต์ยาวๆ อิๆๆๆๆๆๆๆ คิดถึงน้องมากๆนะจ๊ะ พี่อยากเล่ายาวๆๆๆๆๆจริงๆนะ แต่ไม่อยากให้เป็นการบ่น พี่จะตั้งใจเล่าทุกครั้งที่คุยกับน้อง ดังนั้นพี่จึงเตรียมเรียบเรียงเรื่องที่อยากเล่าน้องโดยเฉพาะ อย่างตั้งใจ ได้เวลาเหมาะเจาะเมื่อไหร่ พี่จะมาเทศน์เอ๊ยมาเล่าแบบยาวสิบกิโลเลยจ๊ะ (เพิ่มจากตะกี้อีกเท่าตัว ดูอลังการดี อิอิ) ขอให้มีความสุขในการทำงาน และสนุกสนานกับสิ่งดีๆในชีวิตทุกประการนะจ๊ะน้องขจิต ^_^

  • ดีใจพี่แอมมา
  • เย้ๆๆ
  • ลองให้นักศึกษาพี่ใช้
  • http://www.classstart.org/
  • นะครับ
  • ขอบคุณครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท