คืนหนึ่งนานมาแล้ว.....ท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล มีเสียงเครื่องบินค่อย ๆ ดังกระหึ่มขึ้น ต่อมาก็มีเสียงที่เรียกกันว่า ไซเร็น ดังตามมา มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในห้องแคบ ๆ ในห้องแถวที่อยู่ในชนบทแห่งหนึ่ง.........มีเสียงจากหญิงหนึ่ง บอกให้ช่วยหรี่ไฟตะเกียงน้ำมันหมูลง พร้อมกับกระซิบให้อย่าส่งเสียงหรือทำเสียงดัง เพราะเป็นสิ่งที่ได้รับการบอกกล่าวให้ปฏิบัติตนในช่วงสภาวะการณ์เช่นนี้......นั่นคือช่วงเวลาที่ผมเกิดมาสู่โลกนี้ เป็นช่วงที่เรียกกันว่าข้าวยากหมากแพง อาหารหายากและมีราคาแพง รวมทั้งสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตต่าง ๆ ก็ล้วนหายากและมีราคาแพง ดังนั้นนอกเหนือจากนมแม่แล้ว สิ่งที่ผมได้ดื่มกินเป็นอาหารก็คือสิ่งที่เรียกว่า น้ำข้าว คือน้ำที่ได้จากการหุ้งข้าว โดยใช้เตาถ่านด้วยหม้อดินแล้วรินน้ำข้าวข้น ๆ ออกมาเมื่อข้าวสุกเพื่อให้ได้ข้าวสวยเม็ดงามในหม้อดิน ที่จะตั้งต่อไปบนเตาที่มีไฟอ่อน ๆ ต่อไปอีกช่วงสั้น ๆ เพื่อให้ข้าวสวยในหม้อเสด็จน้ำ ก่อนที่จะตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่ถ้วยเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร.......อาหารเสริมอีกอย่างที่แม่เล่าให้ฟังก็คือ กล้วยน้ำหว้าสุก ๆ นำมาค่อย ๆ ปลอกเปลือกออกครึ่งหนึ่ง แล้วขูดส่วนที่เป็นเนื้อกล้วยด้วยช้อน ป้อนให้ผมได้กินเป็นประจำ......ถึงตอนนี้ทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำไมผมจึงไม่ค่อยชอบกินกล้วยน้ำหว้าในปัจจุบัน ในขณะที่หลาย ๆ คนชอบชื่นมาก ๆ กินกันได้ครั้งละหลาย ๆ ลูก แต่สำหรับผมลูกเดียวก็แทบกินไม่หมดครับ.........คงจะพอเดาได้นะครับว่าผมเกิดมาดูโลกนี้ช่วงไหน ? ช่วงข้าวยากหมากแพง เลยทำให้ตัวผมนี้ไม่โตเท่าพี่ ๆ ที่เกิดในช่วงที่ข้าวง่ายหมากถูกนะครับ....อิอิ
ที่จริงครอบครัวของผมเป็นคนอยู่ในเมืองใหญ่ คืออยู่อำเภอเมือง ของเมืองหญิงกล้า นามว่าย่าโม แต่ต้องย้ายออกไปอยู่อำเภอรอบนอก ในช่วงเกิดความไม่สงบขึ้นในโลกและในประเทศไทย ทำให้ผมโชคร้ายหรือว่าโชคดีก็แล้วแต่จะคิด ที่ได้ไปเกิดในชนบทแทนการเกิดในเมืองเหมือนพี่ ๆ ชีวิตในวัยเยาว์ของผมก็เลยค่อนข้างลำบากครับ คุณแม่ (มะ) และ คุณพ่อ (เตี่ย) ต้องทำงานหนักแบบปากกัดตีนถีบ เพื่อเลี้ยงลูก ๆ ถึง 4 คน แม่เล่าฟังว่า ช่วงนั้นต้องรับจ้างมวนบุหรี่ ซึ่งต้องทำทีละมวน ใช้เวลาเกือบทั้งวัน มือทั้งสองไม่ว่างต้องทำงาน จึงต้องเอาเชือกเปลที่ผมนอน ผูกไว้กับเท้า แล้วใช้เท้าไกวเปลแทนการใช้มือ....เรียกว่าทำงานและเลี้ยงดูลูกไปพร้อม ๆ กัน.....ได้ฟังแล้วผมยิ่งรักคุณแม่เพิ่มขึ้นอีกมาก ใครที่ยังไม่เคยได้ฟังคุณแม่เล่าเรื่องช่วงที่เลี้ยงดูเราตอนเรายังเล็ก ๆ อยู่ เป็นอย่างไร ? ลองให้คุณแม่เล่าให้ฟังดูนะครับ.....แล้วจะได้รู้ว่า ท่านทำอะไรมาบ้างเพื่อเรา....อย่าปล่อยให้ท่านคิดถึงเราอยู่นะครับ
ผมได้เข้าเรียนชั้นประถมหนึ่ง ในโรงเรียนประจำอำเภอในสมัยนั้น เมื่ออายุได้ 8 ปี ไม่ได้เรียนชั้นอนุบาลเหมือนเด็กสมัยนี้ โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้าน (ที่จริงเป็นห้องแถวที่เป็นร้านขายของชำของครอบครัวและเป็นที่อยู่อาศัยรวมกัน) ประมาณ 2 กิโลเมตร เห็นจะได้ ตอนเช้าก็เดินไปโรงเรียนกับเพื่อนและพี่ ๆ ช่วงพักกลางวัน เตี่ยจะขี่จักรยาน หิ้วปิ่นโตเอาอาหารกลางวันไปส่งทุกวัน แล้วก็นั่งดูเรากินอาหารกลางวันกันจนเสร็จจึงเอาปิ่นโตกลับบ้าน ตอนนั้นเป็นเด็กอยู่ ก็ไม่คิดอะไร แต่มาถึงตอนนี้นึกถึงแล้ว ต้องบอกว่า เตี่ย ใส่ใจและดูแลเราอย่างดีมาก เรื่องอาหารการกิน เรื่องอาหารการกินต่าง ๆ ของครอบครัวเรา เตี่ยจัดซื้อจัดหาชนิดอย่างดีเยี่ยมทั้งสิ้น เพื่อลูก ๆ และครอบครัว ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้พวกเรามีผลการเรียนดีกันทุกคน สอบได้ไม่เคยได้ที่มีตัวเลขสองตัว ส่วนใหญ่ก็จะได้ที่ 1 หรือ ที่ 2 ของชั้นหรือของโรงเรียน ประเด็นนี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผมได้เรียนต่อในชั้นมัธยมต้น มัธยมปลายต่อมา เตี่ยเอาใจใส่และดูแลลูก ๆ อย่างทุ่มเทจริง ๆ การได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยนั้น คุณครูที่โรงเรียนหลายคนต้องมาคุยโน้มน้าวกับเตี่ยว่าผมมีโอกาสที่จะสอบเข้าเรียนหมอได้สูงเพราะเรียนเก่ง เตี่ยจึงยอมให้ผมเรียนต่อ เพราะพี่ ๆ ต้องช่วยการค้าขายของครอบครัวหลังการเรียนจบชั้นมัธยมกันตามค่านิยมของชาวจีนทั่วไปในสมัยนั้น...ต้องขอขอบพระคุณ คุณครู เป็นอย่างยิ่งครับ ที่ทำให้ผมมีวันนี้
ปีแรกที่จบ มัธยม 8 หรือ ในตอนนั้นเรียกว่าชั้นเตรียมอุดม ก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือ ชั้นอุดมศึกษาได้ที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาเทคนิคการแพทย์ ด้วยความเป็นเด็กบ้านนอกตอนเลือกคิดว่าเป็นการเข้าเรียนแพทย์ พอเข้าไปเรียนจริง ๆ จึงทราบว่าไม่ใช่.....ปีต่อมาจึงสอบเข้าใหม่...ครั้งนี้แน่ใจว่าจะได้ไปเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เพิ่งเปิดเป็นปีแรก.....แต่ในที่สุดฟ้าก็ไม่เป็นใจ...ไม่ได้เรียนแพทย์ตามที่เตี่ยและแม่มุ่งหวัง....เป็นอะไรที่เสียใจมาก ๆ ครั้งหนึ่งที่ทำให้เตี่ยและแม่ผิดหวัง.....ชีวิตพลิกผันได้เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยหลังจากจบปริญญาตรี ได้ทุนไปศึกษาต่อขั้นปริญญาโทและเอก กลับมาแทนคุณสถาบันกว่า 25 ปี ก่อนตัดสินใจกลับมาทำประโยชน์ให้บ้านเกิดอีกกว่า 10 ปี....ชีวิตกว่า 35 ปี ทำงานในห้องปฏิบัติการเป็นส่วนใหญ่ ได้สัมผัสกับชุมชนน้อยมากจนในช่วง 2 ปีสุดท้าย ในมหาวิทยาลัยนอกระบบราชการแห่งแรกของประเทศไทยที่บ้านเกิด จึงได้มีโอกาสออกไปสัมผัสกับชุมชน อย่างจริงจัง ภายใต้โครงการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นที่มาซึ่งการเปิดหู เปิดตา เปิดใจ และการมองภาพที่แตกต่างจาก แนวคิดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ตามแนวคิดของตะวันตกที่เคยเรียนรู้และคุ้นเคยมาในอดีต......จึงเป็นแรงจูงใจที่พาตัวเองมาสู่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองตักสิลา ที่พอจะได้ทราบภูมิหลังมาว่า มีความเชื่อมโยงกับชุมชนอย่างดีมานาน.....และ นำพาชีวิตสู่ Gotoknow....UKM….KM ธรรมชาติ.....สู่เฮฮาศาสตร์....ในเวลาต่อมา.....
o เจ้าเป็นไผ
o จุดยืนเจ้าอยู่ตรงไหน
o เจ้ากำลังจะไปไหน
o เจ้าต้องการอะไร
o เจ้าจะทำอะไร
o บอกหน่อยได้ไหม
o ทำไมถึงต้องเฮฮา
.....ผมเองก็ยังไม่รู้.....กำลังเรียนรู้.....ทำวันนี้ให้ดีที่สุด......สุขใจที่ได้ทำเป็นพอ.....อิอิ
ชอบอ่านและฟังประวัติศาสตร์ค่ะอาจารย์ มองเห็นภาพยุคข้าวยากหมากแพงเลยค่ะ
แต่งงๆ ว่า อ.ขจิต ดีใจทำไมที่อาจารย์เกิดก่อนเที่ยงคืน และรู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์เกิดก่อนเที่ยงคืน...เครื่องบินมีเวลาระบุหรอค่ะว่าให้ทิ้งระเบิดก่อนเที่ยงคืน
อาจารย์คะ...
อ่านแล้วประทับใจมากเลยค่ะ....นึกถึงภาพเตี่ยนั่งรอลูกๆ กินข้าวกลางวัน...เป็นภาพความรักที่ยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ...
อาจารย์เขียนภาคต่ออีกนะคะ....สำนวนการเขียนของอาจารย์น่าเอาเป็นแบบอย่างมากค่ะ....ราบรื่น และอ่อนโยนในเรื่องราว...
คารวะค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.Panda
ขอบคุณนะคะสำหรับบันทึกดี ๆ อย่างงี้ อ่านแล้วมีความสุขมากเลยค่ะ
แวะมารับการบ้านนะคะ
ไม่ได้แวะมาอ่านตั้งนานงานยุ่งๆ
วันนี้ฤกษงามยามดี
มีเวลาแวะมาอ่านตามเมล์เชื้อเชิญ
จากจ้าวจักวาลลลล ฮ๊าๆๆ
หนุกหนาคร๊าบบ พี่น้อง ^o^
ผมก็ชอบอ่าน อ่านแล้วได้ความรู้สึก ได้สำนึกดีดีครับ