คืนผวาที่น้ำมวบ (2)


มาทราบทีหลังว่า หลังร้านเป็นสุสานเก่า มิน่าล่ะ ไม่มีใครนอนที่ร้านตอนกลางคืน
(ต่อ)

เวลาที่ดึกขึ้นทุกที แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงเส้นทางดีๆ หรือจะถามทางใครได้อีก ทำให้พวกเราเครียดมากขึ้น ความจริงเลยเวลาอาหารเย็นไปหลายชั่วโมง แต่ไม่มีใครหิว แม้กระทั่งเรียกหาน้ำ และความจริงแล้วถ้ามีใครกระหายน้ำก็คงจะลำบาก เพราะน้ำหมดตั้งแต่หัวค่ำแล้ว จะว่ายังพอมีโชคก็ได้ เพราะอากาศในช่วงนั้นค่อนข้างหนาว กระจกรถเย็นเฉียบ แต่มีอาการอื่นตามมา นั่นคือ เหนื่อย ล้า ปวดตา และเวียนหัว ไม่ได้เวียนหัวเพราะรถเวียนไปมา แต่เวียนหัวเพราะต้องคอยดูเส้นทางนั่นเอง

ผ่านไปประมาณ 30-40 กิโล ก็เห็นไฟค่อยสว่างขึ้น และเส้นทางดีขึ้น สักพักเป็นทางลาดยาง ยุทธเร่งเท้าเต็มที่ พวกเขาค่อยโล่งใจ หลังติดเก้าอี้พร้อมๆ กัน บริเวณนั้นรู้สึกว่าจะเป็นบ้านสาลี่ มีบ้านเรือนไม่กี่หลัง ดูเหมือนจะเป็นอาคารราชการอะไรบางอย่าง มีผู้คนอยู่สี่ห้าคนที่เห็นอยู่แถวนั้น พวกเราคิดในใจว่า คนแถวนั้นคงคิดว่าไอ้นี่หลงมาจากไหนวะเนี่ย

ใครสักคนลงไปถามว่าไปเวียงสาทางไหน เขาชี้ไปทางข้างหน้า เราก็ไปตามทางที่ชี้ เส้นทางตอนนี้ยังคงวกซ้ายเวียนขวาเหมือนเดิม แต่เป็นลาดยางบ้าง โรยกรวดบ้าง เห็นเสาไฟฟ้าปักเรียงรายตามถนนไป แต่ไปได้ไม่เกิน 3 กิโลสภาพถนนก็แย่เหมือนเดิม พวกเราอ่อนแรงอีกครั้ง แต่ไม่แย่มากนัก เพราะอย่างน้อยก็ชินกับทางที่ผ่านมาแล้วตั้งครึ่งทาง กับหลักกิโลก็ยังบอกตัวเลขลดลงเรื่อยๆ ยังไงเสียก็ต้องไปถึงหลักกิโลที่ 0 จนได้ เราคิดอย่างนั้น

อย่างน้อยที่สุดข้างถนนก็มีเสาไฟฟ้า คงไม่กันดารจนเกินไปนัก พวกเขานั่งรถไปต่ออีกประมาณ 10 กว่ากิโล (แต่ละกิโลนี่มันนานเหลือเกิน บางช่วงใช้ความเร็วได้เพียง 10-20 กม/ชม เท่านั้น 1 กิโล จึงใช้เวลาหลายนาที) ก็เจอป้ายบอกโครงการซ่อมถนน อ่านไม่ครบ แต่ทราบว่าเป็นจุดเริ่มโครงการ ช่วงนั้นถนนกว้างมาก มีกองดินลูกรังเป็นภูเขาย่อมๆ มีรถบรรทุก และรถตัก ที่ใช้สร้างทางสองสามคัน พวกเราถือโอกาสลงไปปัสสาวะ และยืดเส้นยืดสาย อากาศเย็นเฉียบ แล้วรีบเข้าไปหมกตัวในรถต่อ

บอลกับพี่ป้อมชำเลืองดูโทรศัพท์ แต่ไม่มีผล เพราะไม่มีเครื่องหมายสัญญาณสักขีดเดียว ขึ้นเขาลงเขาหลายสิบครั้ง และมีไม่ไผ่ทาสีแดงขาวปักไว้ข้างทางเป็นช่วงๆ เรามองตามไป รู้สึกว่าลึกทีเดียว ถ้าพลาดก็มีหวัง … ครู่ใหญ่ๆ แสงสว่างรำไรก็เริ่มปรากฏไกลลิบๆ อยู่ทางด้านซ้ายต่ำลงไป รถของเรากำลังขึ้นเขา ด้านขวาเป็นป่าบนเขา มีทางเล็กๆ เข้าหมู่บ้าน เรามุ่งหน้าไปตามทางใหญ่ แล้วเจอหมู่บ้านริมทาง ค่อยยังชั่ว เราบอกให้ยุทธหยุดแวะถาม

บ้านหลังแรกเปิดไฟสว่าง เราเดินเข้าไปใต้ถุนบ้าน ห้องชั้นล่างเปิดประตูทิ้งไว้ มีรองเท้าวางหน้าบ้าน แต่ตะโกนเรียกเข้าไป "สวัสดีครับ" "มีใครอยู่ไหมครับ" ก็ไม่มีเสียงตอบ เรารีบถอยกลับมาที่รถ พี่ป้อมเดินไปที่บ้านอีกหลัง ลึกเข้าไปอีก แต่สว่างเหมือนกัน ไม่มีใครตอบรับ

สักครู่มีมอเตอร์ไซค์ผ่านมาคันหนึ่ง มีคนนั่งมา 2 คน ยุทธโบกให้จอด เขาไม่ได้จอดหน้ารถ แต่เลี้ยวอ้อมมาท้ายรถตู้ เราเข้าไปถามว่า เวียงสา ไปทางไหน คนหนึ่งลงจากรถ เดินเข้ามาใกล้มากในวิสัยที่คนแปลกหน้าจะไม่อยู่ใกล้กันขนาดนั้น เขาทวนเสียงเป็นภาษาเหนือว่า ไปเวียงสาเหรอ อีกคนก็เดินเข้ามาใกล้ สองคนดวงตาแดงก่ำ เรานึกในใจว่าคนหรือผีวะเนี่ย เราเห็นท่าไม่ดี รีบเดินไปที่ประตูรถ ปิ่นกับบอลคอยสังเกตอยู่แล้วรีบเปิดประตูรับทันที

ตอนนี้ชักเป็นห่วงพี่ป้อม พี่ป้อมคงไม่ได้สังเกตความผิดปกตินี้ สักครู่เจอคนที่โผล่จากหน้าต่างบอกทางให้ บอกให้พี่ป้อมรีบขึ้นรถ แล้วบึ่งออกจากหมู่บ้านพิลึกแห่งนี้ทันที

ห่างออกไปไม่ไกล เป็นทางเลี้ยวซ้ายลงเนิน เริ่มเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีเส้นทางหลายสาย โชคดีที่มีตู้โทรศัพท์ (และมาคิดภายหลังว่าโชคดีซ้ำสอง ที่ตู้โทรศัพท์นี้ใช้ได้) รีบโทรไปหาเจ้าภาพ บอกว่าตอนนี้อยู่ที่บ้านน้ำมวบ เขาบอกว่าทำไมถึงไปทางนั้น ชาวบ้านคอยที่ร้านเป็นห่วงมาก จากนั้นก็หาทางออกจากหมู่บ้านไปยังเวียงสา

ในเมื่อไม่มีป้ายบอก ก็ต้องดุ่มเดา ขับตรงไปข้างหน้า มีบ้านเรือนกระจัดกระจาย วนอยู่สองรอบไม่เจอทางออก แวะบ้านหลังหนึ่ง ท่าทางจะเมาแอ๋กัน ถามว่า เวียงสาไปทางไหนครับ พวกเขาฟังครู่หนึ่งแล้วร้องว่า โฮ้ย ไปเวียงสาเหรอ เสียงหัวเราะเขาน่าผวามาก เราอยากจะออกไปให้พ้นจากที่นี่เร็วๆ แต่เขาก็บอกทางให้ เราตรงไปแล้วแวะที่บ้านข้างหน้า คนบ้านเดิมตามมาบอกทางอีก ปรากฏว่าแถวนั้นมีแต่คนเมาทุกบ้าน ออกจากแถบนั้น ผ่านบ้านอีกแถวหนึ่ง เห็นนั่งเล่นไพ่กันอยู่ พวกเขาไม่สนใจ แวะถามอีกครั้ง เขาบอกทางได้รู้เรื่องมากขึ้น ก็รีบบึ่งตาม ออกจากหมู่บ้านนึกว่าเส้นทางจะดีขึ้น ยังเป็นถนนลูกรังเหมือนเดิม แถมข้างทางยังมีกองดินขนาดเนินเขาย่อมๆ อีก พอมีสัญญาณโทรศัพท์ ดีใจกันยกใหญ่ รีบโทรไปที่ร้าน บอกว่าออกจากน้ำมวบแล้ว บอกว่าให้ขับมาเรื่อยๆ จะผ่านสะพาน เลยมาอีก….

ในที่สุดก็ถึงที่หมาย ในตลาดอำเภอเวียงสา ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ร้านรวงต่างๆ ปิดกันหมด มีแต่ไฟข้างถนนเป็นระยะๆ ผ่านไปหน้าร้านน้า ประตูเหล็กเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เราขับไปจอดหน้าร้านพอดี มีคนเดินออกมา เจ้าภาพที่เรานัดไว้นั่นเอง พวกเรายกมือไหว้แล้วหาที่นั่งกันเพราะทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งเวียนหัว สารพัด ประดังเข้ามา พี่ป้อมเห็นม้าหินอ่อนก็ลงไปนอนแผ่หรา เป็นอันสิ้นสุดการผจญภัยที่ชาวคณะไม่มีวันลืม ส่วนเจ้าภาพก็แสนใจดี ไปซื้อข้าวต้มมาให้คนละถุง แถมยังให้นอนฟรีๆ ที่ร้านตามลำพัง ทั้งๆ ที่เพิ่มเคยรู้จัก เพิ่มเห็นหน้า (แถมยังเห็นไม่ค่อยชัด เพราะมาเจอตอนกลางคืน)

การเดินทางมาเวียงสาคราวนี้ ทำให้ทุกคนจำชื่อน้ำมวบได้ขึ้นใจ ทั้งๆ ที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แทบไม่มีชื่อในแผนที่ กลับถึงกรุงเทพฯ ผมรีบวิ่งไปกรมแผนที่ทหาร หาซื้อแผนที่ระวาง 1: 50,000 ดูกันให้ละเอียดว่าที่พลัดไปเมื่อคืนผวานั้นมันอยู่ตรงไหน เห็นเส้นทางแล้วอยากจะเป็นลมอีกรอบ เพราะเป็นเส้นทางอ้อมเขาไปมาไม่รู้กี่ตลบ นึกในใจว่า ซ่อมทางเสร็จเมื่อไหร่จะไปอีกครั้ง… (จบ)

ป.ล. มาทราบทีหลังว่า หลังร้านเป็นสุสานเก่า มิน่าล่ะ ไม่มีใครนอนที่ร้านตอนกลางคืน

หมายเลขบันทึก: 136104เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2007 08:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 10:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

สวัสดีค่ะคุณ ธวัชชัย

  • ตามมาอ่านค่ะ ...เลยรู้ว่าเคยเจอชะตากรรมคล้าย ๆ กัน ...น่าจะเป็นทางเส้นนี้แหล่ะ เมื่อหลายปีก่อน ...จะไปเที่ยวดอยภูคา ที่น่าน
  • ไปตามแผนที่ทางหลวง..แต่พึ่งมารู้ทีหลังว่าไม่มีใครเค้าใช้กัน ..
  • โชคที่ที่หลงเข้าไปแต่เช้า ...น้ำมันเต็มถัง...ออกมาได้ก็ค่ำแล้ว...เลยรอดปลอดภัย ...แต่เหนื่อยใจจะขาด...

                                               Coffee_mania

สวัสดีครับ คุณ coffee_mania เที่ยวหลังได้ไปแวะเมืองแพร่ พี่ๆ เขาก็เล่าเหมือนกัน ว่าไปหลงเส้นนั้น ป่านนี้ไม่ทราบว่าเขาทำทางเสร็จหรือยังนะครับ
(อ้า ชอบกาแฟด้วย ผมไม่ติดกาแฟ แต่ว่าดื่มทุกวัน อุๆ)

สวัสดีค่ะ

เหมือนกันเลย  คะ ...ทุกวันนี้ดื่มวันละ หลาย ๆถ้วย..คะ...แต่ก็ไม่ติดเหมื้อนกัน ..เอิ้ก ๆๆ...

แวะเอากาแฟมาคารวะ ค่ะ

          Coffee+in+love+mini

                                 Coffee_mania

  • ตื่นเต้นมากๆๆ
  • รูปใหญ่ไป
  • ลองลงรูปเล็กกว่านี้นะครับ
  • ควร ย่อให้เหลือ 125x165 pix
  • รื่องนี้สอนว่าอย่าเดินทางตอนกลางคืน
  • จะพบนางพยาบาลน่ากลัวแบบข้างบน
  • อิอิอิ
  • เอาการตกแต่งบันทึกมาฝาก
  • เข้าไปดูที่
  • สอบถาม ธวัชชัย
  • ขอบคุณครับ
  • แล้วจะรีบตามมาดูครับผม
  • ตามมาลุ้นคะ..เฮ้อโล่งอก
  • อิอิ..โชคดีที่เจอนางพยาบาล..กับกาแฟแสนอร่อย
  • แถมได้คำแนะนำ จากหนุ่มใจดีอีก
  • มีของฝากเช่นกันคะ
  •  คู่มือการใช้งานฉบับวันที่ 25 กย. 2550 (PDF
  • ทางลัดสำหรับการอ่านบันทึกใน Gotoknow.org คือ GotoKnow Monitor
  • คำถามคำตอบ (FAQs) แก้ปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานเบื้องต้น ด้วยตนเอง
  • แถมถามกลับเพลงทานตะวันที่นำไปฝากเป็นผลงานใครคะ..พอจะหาฟังได้ที่ไหนคะ
มาติดตามอ่านต่อจากตอนที่ หนึ่ง ครับ...เขียนต่อนะครับ

ขอบคุณมากนะครับ ที่ติดตามอ่าน ผมเขียนไว้นานแล้ว แต่ว่าไม่ได้เผยแพร่ที่ไหน เอามาให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ อ่านก็แล้วกัน แล้วก็ขอบคุณทุกท่านที่นำของมาฝาก ปรับสไตล์ สีสัน ไปบ้างแล้ว ตามที่อาจารย์ขจิต แนะนำ

ที่คุณ naree suwan นำมาฝาก ก็จะตามไปอ่านเหมือนกันครับ เพลงดอกทานตะวัน เป็นเพลงประกอบละคร สมัยช่อง 4 บางขุนพรหม โน่น คุณนันทวัน เมฆใหญ่ ร้องเอาไว้ เพราะมาก ส่วนทำนองดูเหมือนจะเอามาจากทำนองญี่ปุ่น คนร้องทอดเสียงคำแรกของแต่ละวรรค น่าฟังมาก ผมมีไฟล์อยู่ แต่ยังไม่ทราบจะแปะไว้ที่ไหน ถ้ามีช่องทางแล้วจะแวะมาบอกครับ

คุณ จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ครับ ขอบคุณเช่นกัน ตอนสอง ผมแปะไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกเกรงว่าจะยาวไป เลยทำเป็นสองตอน พอแปะแล้ว ดูไม่ยาวเท่าไหร่ เสียดาย ไม่มีภาพประกอบ

อ้อ ขอบคุณกาแฟถ้วยใหญ่ด้วยครับ จากคุณข้าวแฝ่มาเนีย ;)
(ขอตอบรวมๆ ตรงนี้ เพราะยังตอบเป็นรายบุคคลไม่เป็นครับ)

  • เยี่ยมจริงๆๆ
  • ขอบคุณมากครับ
  • ขอบคุณพี่P
  • ที่ตามมาช่วยเหลือ
  • ขอบคณน้องเอกที่ตามมาเชียร์P
  • ขอบคุณกาแฟจากคุณกุ้งP
  • ที่ทำให้บ้านไม่ไฟไหม้
  • อิอิอิๆๆ

  • ตามมาเยี่ยมเยียนค่ะ
  • ฝีมือแบบนี้   น่าติดตามอ่านจริงๆค่ะ
  • แต่ด้วยภาระงานที่มาก อ่านจะแวะเวียนมาได้เป็นพักๆค่ะ

คุณ P ครับ มีเพลง ดอกนกยูงด้วยนะครับ ไว้ค่อยเอาไปฝาก ขอบคุณอาจารย์ P ครับที่แวะเข้ามาเยี่ยม ช่วงนี้ไฟแรง เขียนถี่สักหน่อยครับ

สิทธิกร เขียวทิพย์ (ต้อง)

ดีครับ

ตอนนี้นำมวบทางดีแล้วครับถ้าจะมาเที่ยวอีกยินดีต้อนรับนะครับ

ผมเป็นคนในพื้นที่น้ำมวบเองครับ

อ่านแล้วทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆของบ้านน้ำมวบซึ่งตอนนั้งเจ้าของกระทู้อาจจะไปโดยไม่ได้ตั้งใจ(พลัดหลง)ถนนหนทางก็กันดานแถมยังเป็นเวลามืดค่ำเป็นไครก็หวั่นไหวทั้งกลัวผีกลัวโจรผู้ร้ายเพราะทางมันเปลี่ยว แต่อยากบอกว่าสถิติโจรปล้นจี้ชิงทรัพย์ในเขตน้ำมวบนั้นไม่เคยปรากฏในข่าวเลยเพราะมันไม่มีจริงๆผมเป็นคนในพื้นที่มาตั้งแต่เกิด ตอนนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้เจ้าของกระทู้แวะกลับไปเยี่ยมเยือนใหม่อีกครั้งรับรองความรู้สึกหวาดผวาแบบเดิมจะไม่มีอีกแน่นอนครับ

สวัสดีครับ คุณสิทธิกร เขียวทิพย์ (ต้อง) และคุณชลธี

ผมเขียนเรื่องนี้เมื่อปี 2550 แต่ผมไปที่นั่น เมื่อราว พ.ศ. 2544

ถึงตอนนี้ก็เกือบ 10 ปีแล้ว สภาพคงจะเปลี่ยนไปมาก

จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นไม่ค่อยจะเห็นสภาพแวดล้อมเท่าไหร่ครับ เพราะไปตอนกลางคืน

ความจริงตอนนั้นไม่ได้กลัวคนนะครับ กลัวอย่างอื่นมากกว่า อิๆๆ

อีกเที่ยว ผมเดินทางไปแวะทุ่งโฮ้ง พี่ๆ บอกเหมือนกันว่าเคยหลงไปทางนั้น แต่ไปตอนกลางวัน

ไม่ลำบากเหมือนผม

มีเจ้าของพื้นที่บางท่าน มาอ่านบทความนี้แล้วไม่ชอบใจก็มี หาว่าผมกล่าวร้าย

อันที่จริง ผมแค่เล่าความรู้สึกในตอนนั้นนะครับ

ต้องขอบขอบคุณ คุณสิทธิกร เขียวทิพย์ (ต้อง) และคุณชลธี ที่เข้าใจ

มีโอกาสจะแวะไปอีกแน่นอนครับ ;)

ยังมีทริปที่น่าตกใจอีกสองเที่ยว

คือ จากท่าสองยาง ขึ้นไปแม่สะเรียง (กลางคืนอีกเหมือนกัน)

เส้นทางแย่มาก หลังฝนตกหนัก มีต้นไม้ขวางทางด้วย

ระหว่างทางมี ตชด เป็นระยะๆ

อีกเส้นหนึ่ง จากแม่แจ่ม ไปเมืองปอน

เจ้าถิ่นบอกเองว่า คราวหลังอย่ามาทางนี้

(เส้นนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่)

แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี

สนุกดีครับ

เที่ยวแบบนี้แหล่ะถึงจะมันมันทำให้ตื่นเต้นดีมีอะไรให้ลุ้นตลอด

ในฐานะที่เป็นคนในพื้นที่ ตอน ปี 44 ตอนนั้นเรียนอยู่ ปี 2 ได้ ก็ถือว่ายังไม่นานนะคะ 10 ปีเอง พื้นที่ เช่น ป่าไม่ ภูเขา ช่วงที่มีบ้านคนก็จะมีการบุกรุกเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำกิน แต่ยังมีส่วนที่ยังไม่เปลี่ยก็จะเป็น ส่วนที่คุณเจอถนนลูกรังก่อนที่จะเจอที่พักของตำรวจตระเวรชายแดนนะคะ น่าจะมาดูบรรยากาศตอนกลางวันบ้างนะคะ ความอุดมสมบูรณืของป่ายังมีอยู่ค่า

สวัสดีครับ คุณคนในพื้นที่

ถ้ามีโอกาส ผมอยากกลับไปอีกครั้งครับ

ธรรมชาติยังสดชื่น มีต้นไม้ ลำธาร น่าแวะพักผ่อนมากครับ


ปี 54 ผมมาทำงานที่น่านแล้วนิ ผมคนเชียงใหม่ เดินทางมาทำงานที่น่านเมื่อปี 52 จำได้ว่าบรรยากาศมาครั้งแรก แปลกๆชอบกล เหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว  เส้นทางบ้านน้ำมวบที่ผู้เขียนไปนั้น มีเส้นทางที่ข้ามพรหมแดนไปยังประเทศลาว ณ แขวงไซยะบุรีได้ ปี 54 นั่นเองที่ผมบึ่งมอเตอร์ไซต์ไปสำรวจ  มีการสร้างเส้นทาง เชื่อมระหว่างอุตรดิต ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่าอย่าไป เหตุผลคือรถบรรทุกนั้นเยอะมาก  แต่ผมก็ไป ไปคนเดียว ค่ำไหนนอนนั่น มีเต้น มีหม้อสนาม ถุงนอนพร้อม  จะบอกกล่าวให้ว่า  จริงๆแล้วคนน่าน (ยุคก่อนๆ) จะกินเหล้ากันทุกเย็น ยิ่งผู้ชายแล้ว ตกเย็นกินกันหน้าบ้าน  สำเนียงภาษาคนน่าน จะเป็นเหนือแบบที่คนเชียงใหม่ลำพูนยังฟังไม่ค่อยออก แต่จริงๆแล้วใจดีมากๆ มันเหมือนคล้ายเป็นวัฒนธรรมเค้าแล้วว่า ต้องกินเหล้าทุกเย็น  เหล้าต้ม(เถื่อน) ที่นี่อร่อยมาก และสมัยก่อน ทุกหมู่บ้านจะต้องมีคนต้ม ทางอ.เวียงสา  อ.นาน้อย อ.นาหมื่น ผู้คนจะนิสัยเหมือนๆคนเหนือ แบบทางแพร่ หรือทางอ.ลับแลซะมากกว่า  แต่คุณลองเดินทางขึ้นเหนือ  อ.ปัว อ.เชียงกลางทุ่งช้าง จะออกไปทางไทลื้อ สิบสองปันนา ภาษาเค้าคล้าย ภาษายองในจ.ลำพูน หรือไทยใหญ่ ในแม่ฮ่องสอนหรือเชียงใหม่ ส่วนออกไปทางอ.บ่อเกลือ หรืออ.เฉลิมพระเกียรติ  อ.สันติสุข จะออกไปในแนวเหมือนชาวลาวแขวงไซยะบุรี จะเป็นคนหุ่นดี ผิวเหลือง   สมัยก่อนผมขอบอกเลยว่า ผมก็ไม่ไว้ใจคนในจังหวัดน่าน เวลาเดินทาง  แต่มาอยู่ 4-5 ปี คนน่าน หากคุณเดินทางนั้นปลอดภัยมากกว่าอยู่เชียงใหม่ หรือแม่ฮ่องสอน  ยกเว้นเส้นทางที่หากพลาดก็เก็บศพได้เลย   แม้ว่าในอดีตจะเป็นพื้นที่สีแดง เป็นเขตของ ผกค. แต่ทุกวันนี้ไม่น่ากลัวเลย  ที่น่ากลัวคือคนที่มาจากที่อื่นนั่นแหละ ที่จะทำอะไรไป

ไปมาเมื่อวาน27มิ.ย2564หลอนได้ใจถนนบางช่วงเหมือนเมืองร้างในหนังฝูงวัวยึดทางหมดแล้วไหล่ทางโค้งพังอันตรายครั้งหนี่งในชีวิต

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท