นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอกสาขาวิจัยและพัฒนาการเกษตรรุ่นนี้มีด้วยกันทั้งหมด 17 คน รายวิชาที่เราดูแลชื่อว่า “ทัศนมิติทางด้านวิจัยและพัฒนาระบบเกษตร” โดยมีสิ่งสำคัญที่นิสิตต้องเรียนรู้ในรายวิชาคือ ระบบสังคมเกษตร ฐานคิดชีวิต กระบวนทัศน์การพัฒนา เกษตรกรรมยั่งยืน เศรษฐกิจพอเพียง การจัดการความรู้ การวิจัยเพื่อท้องถิ่น และ จิตสำนึกสาธารณะ
นอกจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในห้องเรียนโดยคณาจารย์ของคณะและวิทยากรพิเศษแล้ว การลงพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะเรื่องราวที่เป็นความรู้ “ฝังลึก” ของผู้คนในชุมชนนั้นเป็นสิ่งที่มี “คุณค่า” ที่ไม่สามารถหาได้จากตำราวิชาการที่มีอยู่ทั่วไป
แม้นว่าความรู้เชิงทฤษฎีจะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการศึกษา หากแต่ในความเป็นจริง... คงต้องยอมรับว่า ณ วันนี้ สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่มีการเรียนการสอนที่ “ตามไม่ทัน” ความเป็นจริงของสังคม การลงพื้นที่เพื่อ “เรียนรู้” จากประสบการณ์จริงของผู้คน จะทำให้ลูกศิษย์ของเราได้ “เห็น” และได้ “รู้” ในสิ่งที่นักวิจัยและนักพัฒนาทุกคน “ควรรู้” และ “ต้องรู้”
การสร้าง “ฐานคิด” ที่มั่นคงจากการได้รับรู้และเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต... ชุมชนชนบท... ชุมชนเกษตร...ที่ผูกพันและเชื่อมโยงกับมิติอื่นและภาคส่วนอื่นในสังคมอย่างเป็นระบบนั้น จะทำให้ลูกศิษย์เราสามารถตั้ง “โจทย์” การวิจัยและพัฒนาที่ “ใช่” และที่ “ชัด” การแสวงหาความรู้เพื่อตอบโจทย์โดยผ่านเส้นทางของหัวใจนักปราชญ์คือ “สุ จิ ปุ ลิ” จะเป็นกระบวนการในการพัฒนา “คน” เพื่อให้เขาเหล่านั้นเป็น “กลไก” ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม... เพื่อขับเคลื่อนสังคมสู่ความพอเพียง ความดี และความงาม
โรงเรียนชาวนาของมูลนิธิข้าวขวัญที่สุพรรณบุรีและเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งของมหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุทรสงครามเป็นแหล่งเรียนรู้ที่นอกจากจะทำให้ลูกศิษย์ของเราเกิดการ “เปลี่ยนแปลง” ในส่วนของ “ตัวความรู้” แล้ว ยังได้สร้าง “แรงบันดาลใจ” ให้พวกเขาได้เห็นโลกและชีวิตในมุมมองที่ต่างไปจากที่เคยเป็น…
ที่สำคัญคือการปลูกฝัง "สำนึก" และ "วิถี" แห่งจิตอาสา ที่นับวันจะเสื่อมสลายหายสูญ...ท่ามกลางสังคมแห่งความอยาก สังคมแห่งความเพลิน สังคมแห่งการแข่งขัน...จะมีสักกี่คนหนอ...ที่จะสามารถมีวิถีชีวิตที่ทวนกระแส ยืนหยัดและท้าทายคลื่นลมแห่งปรารถนาที่ถาโถม...
หากมีลูกศิษย์เราแม้เพียงคนเดียวที่รับรู้และเข้าใจ...เลือกที่จะก้าวเดินสู่เส้นทางและวิถีแห่งจิตอาสา... เส้นทางที่ต้องการทั้ง "ปัญญา" ความ "กล้าหาญ" และความ "อดทน" เราก็คงรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขมากเหลือเกินแล้ว
เสียงเพลงที่เราเคยคุ้นดังแว่วขึ้นอีกครั้งในใจ...
หากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน
ติดปีกบินไปให้ไกล...ไกลแสนไกล
จะขอ...เป็นนกพิราบขาว
ที่ชี้นำชาวประชาสู่เสรี
หากฉันเกิดเป็นเมฆบนนภา
จะนำพาความร่มเย็น...เพื่อท้องนา
หากฉันเกิดเป็นเม็ดทราย
จักถมกายเป็นทาง...เพื่อมวลชน
ชีวา.. ยอมพลีให้... ดวงใจ... ผู้ทุกข์ทน
ขอพลีตน...ไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง....
สวัสดีครับ อ.ตุ้ม
สวัสดีครับอาจารย์
"ไม่มีใครแก่เกินเรียน"
ผมเห็นด้วยครับ แค่เพียงคนเดียวได้ก็ดีมากแล้ว
เพิ่มเติมหน่อยครับ
เนื้อเพลง "ชีวายอมพลีให้ มวลชล ผู้ทุกข์ทน ขอพลีตนไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง " หรือเปล่าครับ
"ไม่มีใครแก่เกินเรียน" แม้จะมี "ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก" หากเพียงเขาไม่ทำตัว...เป็นอย่าง "น้ำที่เต็มแก้ว" และเชื่อใน"การเรียนรู้ตลอดชีวิต"
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับอาจารย์
รู้สึกดีใจมากครับที่ทราบว่าอาจารย์พานิสิตลงพื้นที่ไปสัมผัสกับชุมชน ได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนพื้นฐานของความเป็นจริง งานวิจัยจึงจะมีคุณค่า
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนในประเด็น สุ จิ ปุ ลิ เพิ่มเติมในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่งนะครับ ที่ผ่านมาผมเองก็เคยได้ยินคำนี้ ฟัง คิด ถาม เขียน แต่ถ้าหลักสูตรการเรียนการสอนได้บูรณาการเรื่องสุนทรียสนทนา ให้นิสิตมีโอกาสได้ฝึกการฟังเชิงลึกมากขึ้น ได้คิดอย่างมีตรรกะมากขึ้น และคิดนอกกรอบมากขึ้น ผมมองว่าผู้วิจัยจะมีโจทย์ในการทำวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างสรรค์งานวิจัยที่มีคุณค่าออกสู่สังคมได้แน่นอน
ขอบคุณครับ
คิดถึงนะคะ นึกเหมือนกันว่าคงงานยุ่งและลงพื้นที่ชุมชน จริงๆด้วย
ชื่นชม ยินดีที่บ้านเมืองเรามีผู้สอนที่มีหัวใจเป็น"ครู" อย่างเช่นอาจารย์ ยิ่งตระหนักว่าอาจารย์ที่ดูแลนศ.ป.โท-เอก ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีใครลงแรง ใส่ใจอย่างนี้ ยิ่งชื่นชม และขอให้กำลังใจมากๆเลยค่ะ
อาจารย์ได้เป็นตัวอย่างของการ"สร้างแรงบันดาลใจ"ให้ลูกศิษย์อย่างดีที่สุด
ไม่ได้พบคุณเดชาและทีมงาน นานแล้ว หวังว่าทุกคนคงสุขสบายดีนะคะ
สวัสดีค่ะครูนง
ขอบคุณสำหรับถ้อยคำที่เป็นกำลังใจนะคะ เพราะบางทีตัวเองก็รู้สึกล้า ๆ เหมือนกันกับหลายสิ่งหลายอย่างของความเป็น "อุดมศึกษา" ในวันนี้ของบ้านเรา
เวลาเปลี่ยน...สังคมเปลี่ยน...ตอนที่พวกเราเป็นนิสิต จิตวิญญาณแห่งการรับใช้สังคมของพวกเรามีอยู่เต็มหัวใจ...มาถึงวันนี้ ครูนงช่วยคิดให้หน่อยซิคะว่าเราจะทำอย่างไรกันได้บ้าง...เพื่อที่ตำนานแห่ง "พิราบขาว" จะกลับคืนมาเป็นวรรณกรรมในดวงใจของเยาวชน...
คุณสุมิตรชัยคะ เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะที่ว่า "ไม่มีใครแก่เกินเรียน" มนุษย์เราทุกคนแม้มีศักยภาพ...แต่เราก็ยังคงต้องการ "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" แม้เมื่อชีวิตแตกดับและอุบัติขึ้นใหม่...เราก็คงต้องเรียนรู้ต่อไปและต่อไป...จนกว่าพลังงานจลล์ในตัวเราจะเปลี่ยนสภาพเป็นพลังงานศักย์อย่างถาวร...ณ จุดนั้นคงไม่มีเรื่องราวใดให้เราต้องเรียนรู้อีกแล้ว
จากประสบการณ์ คิดว่าการเป็น "น้ำที่ไม่เต็มแก้ว" เป็นเรื่องยากมากสำหรับแวดวงอาจารย์ค่ะ อาจเป็นเพราะอาจารย์มักคุ้นชินกับสถานภาพของความเป็น "ผู้รู้" คงต้องช่วยกันหากุศโลบายบางประการมาสร้างการเปลี่ยนแปลงค่ะ
ดีใจเช่นกันนะคะที่ได้ทราบข่าวคราวและขอบคุณมาก ๆ เลยครับผมสำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะดี ๆ ของคุณข้ามสีทันดร
ก็พยายามใช้หลายกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมในเรื่องของ "สุนทรียสนทนา" อยู่ค่ะ เพราะหัวใจของกระบวนการการเรียนรู้ในการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นอยู่ที่ "Care&Share&Learn" ซึ่งจำเป็นต้องฝึกเรื่องของ "Deep Listening" เรื่องของ "สุขสนทนา" เรื่องของความคิดเชิงระบบ เรื่องของการเรียนรู้ผ่านการ "ปฏิบัติจริง" เรื่องของการพัฒนาศักยภาพจากภายใน ฯลฯ ซึ่งระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ไม่ได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะนี้เท่าใดนักค่ะ จึงไม่น่าแปลกที่พวกเรา (หลังจบมหาวิทยาลัยแล้ว) เวลาที่ทำงานกับชุมชนมักยึดถือใบปริญญาว่าเป็นการแสดงถึงความเป็น "ผู้รู้" จึงมักเล่นบทบาทของ "ผู้ถ่ายทอด" มากกว่าการเป็นผู้ "แลกเปลี่ยนเรียนรู้"
หากมีโอกาสวันใด ขอเชิญมาช่วยถ่ายทอด "วิทยายุทธ" ให้น้อง ๆ ที่กำแพงแสนหน่อยนะคะ ช่วยมาทำให้เกิดกลุ่มคน "คิดนอกกรอบ" (หรือที่ใคร ๆ เรียกกันว่ากลุ่มผีบ้า) ให้มากขึ้นอีกหน่อย ...ทุกวันนี้"โจทย์วิจัย" ที่เป็นวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่มักลอกกันมาเป็นทอด ๆ จากงานของรุ่นพี่(ที่ขึ้นหิ้ง) หรือไม่ก็เป็นงานวิจัยของอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งนักศึกษาไม่ต้องเสียเวลาคิดโจทย์...
คิดถึงพี่สาวที่แสนสวยและแสนดีเช่นกันค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ยุวนุชมากค่ะสำหรับ "กำลังใจ" ซึ่งแม้ว่าตัวเองจะเป็นคนลุยงาน หากแต่ในบางครั้ง... บางเวลา...ก็อ่อนล้าได้เหมือนกัน...
พี่เดชาและทีมงานทุกคนที่ข้าวขวัญสบายกันดีค่ะ พรุ่งนี้ตุ้มก็จะไปช่วยจัดกิจกรรมให้เครือข่ายชาวนาที่ข้าวขวัญค่ะ แล้วจะส่งผ่านความระลึกถึงของอาจารย์ให้กับพี่เดชาและทุกคนนะคะ
แล้วเราจะมี "เวลา" ได้เจอกันบ้างไหมหนอ...
A bientot นะคะ
ใช่แล้ว...หายไปนานเป็นเดือนค่ะ จนใครบางคนเปลี่ยนโฉมจนเราจำแทบไม่ได้แน่ะค่ะ...
ขอบคุณหนู Petite Jazz มากกกกค่ะที่คิดถึงและส่ง "เสื้อตัวสวย" จากเชียงใหม่มาให้ ขอสารภาพว่ายังไม่ได้ลองใส่เลยค่ะ..คิดว่าคงพอดีค่ะ ได้ใส่วันไหนแล้วจะถ่ายภาพส่งมาให้ดูนะคะ (อะไรจะปานนั้น)
หนุ่มขจิตไม่เห็นเล่าอะไรให้ฟังเลย....ว่าไงเอ่ย...
เราทุกคน "ทำได้" ถ้าเรา "ได้ทำ" ค่ะ
อาจารย์ขจิตต้องตั้งใจเรียนให้จบกลับมาสอนที่กำแพงแสนโดยเร็วซิคะ จะได้มาช่วยพี่เคลื่อนงานต่อ กลัวแต่ว่าจะมีภารกิจอื่นทำให้กลับเมืองไทยล่าช้าเกินกำหนดละไม่ว่า...(ขอแซวหน่อยค่ะ)
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับ "เสื้อตัวสวย" ของฝากจากเชียงใหม่นะคะ น้อง Little Jazz เป็นคนส่ง post มาให้ที่กำแพงแสน...ได้รับหลายอาทิตย์แล้วค่ะ ว่าแต่ว่าอาจารย์ขจิตโจบาเอ...เป็นไงหรือคะ ถอดรหัสไม่ออกค่ะ...ช่วยบอกที
อยากให้กำลังใจพี่ๆน้องๆที่มาเรียนรู้กับพวกเราชาวมหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุทรสงคราม
ยีนดีต้อนรับทุกท่านครับ
สวัสดีค่ะ
ตามlinkอาจารย์ยุวนุชมาค่ะ
อ่านแล้วประทับใจกับผู้ที่มีหัวใจเป็นครูที่แท้จริง หายากมากๆค่ะ เดี๋ยวนี้อะไรก็เป็นธุรกิจไปหมดค่ะ บางทีทำให้คนเป็นครูอาจารย์ท้อเหมือนกัน
ดิฉันมีเพื่อนอยู่ในวงการนี้มากเหมือนกัน จึงคุยกันบ่อยค่ะ ให้กำลังใจค่ะ