สวัสดีค่ะคุณเม้ง
บันทึกนี้นั่งอ่านอยู่นาน เพราะคำว่า " ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ " ทำให้คิดไปถึง " ความแตกต่างหลากหลาย " ต่างๆบนโลกกลมๆใบนี้ ตั้งแต่พันธุ์พืช สัตว์ คน ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา วัฒนธรรม ประเพณี ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญา ฯลฯ
สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นทุนทางธรรมชาติ ทุนทางสังคม และทุนทางปัญญาของแต่ละพื้นที่..ที่มีความแตกต่างหลากหลาย แต่ดูเหมือนเรากำลังจะพยายามทำให้ความหลากหลายนี้กลายเป็น " รูปแบบเดียว " ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
เรากำลัง “ใกล้เกลือกินด่าง ” กันแล้วมั้งคะ เพราะไม่ค่อยเห็นความสำคัญในเรื่องความหลากหลายเท่าใดนัก เรามีพืช สัตว์ พลังงานทดแทน์หลากหลายชนิด แต่เราไม่ค่อยศึกษากันอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้พื้นฐานสำหรับการพัฒนาต่อยอดได้
ที่ผ่านมา่เรากลับมุ่งเน้นไปที่ “เด็ดยอด” ของการใช้ประโยชน์มากกว่าน่ะค่ะ..ทำให้ไม่ค่อยพบกับประโยชน์ที่แท้จริงม ากนัก
เราไม่ค่อยอดทนกับกระบวนการเรียนรู้ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการสร้างฐานรากหรือ “เสาเข็ม” ที่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่เรามีทุนทางปัญญา (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) กระจายอยู่ในทุกชุมชน ทุกท้องถิ่น ไม่ต้องการเรียนรู้นอกกรอบหรือนอกห้องเรียน นักศึกษารุ่นใหม่ส่วนใหญก็่เป็นพวกต้องการเรียนอะไรที่ง่าย จบเร็ว และไปทำงานหาเงิน ส่วน " การเรียนรู้ " ู้ถือว่าเป็นเรื่องรอง.. โดยลืมไปว่าการศึกษาที่สมบูรณ์นั้น เกิดจากประสบการณ์ทางสังคม คนเราควรเรียนรู้ซึ้งกันและกันและเรียนรู้จากธรรมชาติที่เรามี เพราะ ไม่มีบทเรียนใดที่สำคัญไปกว่าบทเรียนที่เราได้รับจากสภาพความเป็นจริงของชีวิต..ในสังคมของเรานั้น เราให้ความสำคัญกับการศึกษา ค้นคว้าคำว่า " ไม่มี " น้อยมากๆ ทั้งๆที่การศึกษาว่าทำไมสิ่งนั้นๆถึง " ไม่มี " .. สำคัญพอๆกับการศึกษาว่า ทำไมถึง " มี " เลยล่ะค่ะ..
ในโลกยุคใหม่นี้วิธีคิดของสังคมไทยต้องผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับเทคโนโลยีพื้นบ้าน โดยเฉพาะองค์ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งนับวันจะล้มหายตายจากไป ประเทศไทยถึงจะอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง
ถ้าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า..
เรายังอยู่ในระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพียงด้านเดียวโดยไม่ยึดฐานการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดดุลยภาพของการพัฒนาทั้ง 2 ด้านแล้ว.. ก็จะเกิดการแก่งแย่งทรัพยากรน้ำและดินกันอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น ( กว่าที่ผ่านมา ) จนเกิดความขัดแย้งทางสังคม และตกเป็นเหยื่อทางการเมืองได้ง่าย ( กว่านี้ )
เราคงต้องปรับกระบวนทัศน์และจัดทัพให้ดีแล้วล่ะค่ะี เพราะเรากำลังสู้กับกระแสโลกาภิวัตน์และบริโภคนิยม
แต่เราไม่ค่อยคิดสร้างคนดีๆจำนวนมากๆเผื่อไว้สำหรับการคัดเลือก เป็นไปได้นะคะว่าเราลืมเรื่อง “การคัดเลือกตามธรรมชาติ ” ไปน่ะค่ะ เราลืมไปว่าสิ่งมีชีวิตใดๆจะเกิดการกลายพันธุ์ได้ทั้งสิ้น..เราจึงลงทุนเพื่อ " สร้างและสืบสานสิ่งดีๆ คนดีๆไว้น้อยเหลือเกิน "
ถ้าเราดูการลงทุนเพื่อการศึกษาในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งปัจจุบัน ตัวเลขก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก คือ เราลงทุนเพื่อคนกลุ่มน้อยมากเหลือเกิน แต่ลงทุนเพื่อการศึกษาของคนกลุ่มใหญ่ไม่มากนัก..
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ที่ทำให้ความคิดเบิร์ดเตลิดเปิดเปิงไปในหลายๆเรื่องราวได้อย่างที่รู้สึกว่า " ทุกสิ่งมีความสัมพันธ์กัน " น่ะค่ะ
ไม่ใช่เพ้อฝันหรอกครับ นี่คือจริงเสียยิ่งกว่า Reality very much
หาก อ.เม้งไม่ได้ยินความคิดแนวนี้มาก่อน ซึ่งเกิดจากวิเคราะห์สังเคราะห์ออกมาเอง ก็นับว่าตรงเผงกับแนวคิดปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสานและอาจจะทุกภาค
แนวคิดเรื่องออมต้นไม้ ออมดิน ออมน้ำ เป็นปรัชญาหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ มูลนิธิ รพ.อุบลรัตน์ โดยคุณหมอ อภิสิทธิ ธำรงวรางกูล ร่วมกับเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านอีสานอีกมากมาย
ผมไปที่บ้านของคุณคำเดื่อง ภาษี เกษตรกรยุคบุกเบิกเกษตรกรรมธรรมชาติในดินแดนที่ราบสูง คุณลุงพูดว่า ปลูกต้นไม้ไว้ดีกว่าฝากเงินไว้กับธนาคาร เพราะความเสี่ยงในธนาคารมีสูงกว่าความเสียงจากธรรมชาติ ต้นไม้ไม่มีวันลดค่า มีแต่เพิ่มค่า
ถ้า a+b = c + a ดังนั้น b = c ฉันใด
อ.เม้ง ก็คือ ปราชญ์ชาวบ้าน ฉันนั้น
555 ออกแนวคณิตศาสตร์เอาใจ อ.เม้งหน่อย
สวัสดีค่ะ
กำลังจะก่อตั้งธนาคารเลือดในร่างกายค่ะ เป็นการชักชวนชาวบ้าน ทำความดีถวายในหลวง มาเป็นธนาคารเลือด ช่วยเก็บเลือดไว้ใช้ยามขาดแคลน ช่วยด้านสาธารณสุขค่ะ
แล้วผมขอไปเป็นพนักงานแผนกปล่อยกู้ธนาคารแห่งความรัก ของคุณ naree suwan ครับ
ภูมิปัญญาผมก็มีเพียงแค่นี้ แต่ชอบความเห็นคุณเบิร์ดและคุณสุมิตรชัย ครับสวัสดีครับทุกท่าน
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับคุณนารี
สวัสดีครับ
ได้มุมมองอีกแบบดีครับ ชอบครับ
สวัสดีครับคุณมิตร
สวัสดีครับคุณตันติราพันธ์
สวัสดีครับพี่แท็ฟส์
สวัสดีครับท่านอาจารย์
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
“การคัดเลือกตามธรรมชาิติิ” เหรอคะ
ขอลากของอีตาดาร์วินมาก่อนนะคะก่อนที่จะโยงไปเรื่องอื่น ตามทฤษฎีเค้าว่าไว้ว่า.. “การคัดเลือกตามธรรมชาติหมายถึงการรักษาลักษณะที่เหมาะสมเอาไว้และลักษณะที่ไม่เหมาะสม จะถูกกำจัดออกไป” การคัดเลือกดังกล่าวมักจะเน้นถึงการคัดเลือกระหว่างสมาชิกชนิดเดียวกันที่มีความสามารถในการเจริญเติบโต และการอยู่รอดต่างกัน ..การคัดเลือกตามธรรมชาติ จึงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เพราะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในทุกระดับของสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่ระดับโมเลกุล ระดับยีน ระดับโครโมโซม ระดับแกมีท จนถึงระดับสังคมของสิ่งมีชีวิต...การคัดเลือกมักจะควบคู่ไปกับการปรับตัวเสมอ เพราะสิ่งมีชีวิตจะต้องมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของแต่ละแห่งอาจจะเป็นการปรับตัว โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา หรือพฤติกรรมก็ได้น่ะค่่ะ้ เมื่อผ่านการปรับตัวแล้วอาจจะได้สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างดี สามารถผลิตลูกหลานได้เป็นจำนวนมากเป็นต้น ( ใบ และดอก อิ อิ )
เมื่อพืชและสัตว์เริ่มจะกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ๆ กระจายตัวออกเป็นกลุ่มย่อยๆ จำนวนมาก เพราะต้องมีการปรับตัวตามการคัดเลือกตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การคัดเลือกตามธรรมชาติมีส่วนสำคัญต่อการกลายพันธุ์ภายในกลุ่มสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็เป็นขั้นตอนการวิวัฒนาการนั่นเองค่ะ
ถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึงการเมืองไทยในตอนนี้นะคะ ทั้งผสม ทั้งกลายพันธุ์กันยุ่งไปหมด จนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆที่หน้าตาพิลึกกึกกือขึ้นทุกทีๆ เลยล่ะค่ะ ^ ^ ..แต่ เอ..็หรืออาจจะถือว่าเป็นีการปรับตัวและกลายพันัธุ์จน " เหมาะสม " กับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ได้นะคะ !เอาใหม่ค่ะกลับมาใหม่..การตอบสนองต่างๆ ภายใต้เหตุและผล ดังกล่าวมาข้างบนนี้ก็อาจก่อให้เกิดการสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วได้เช่นเดียวกันนะคะ เพราะพืชหรือสัตว์ที่กลายพันธุ์ไปในทิศทางที่ไม่เหมาะกับสิ่งแวดล้อม หรือไม่สามารถแข่งขันกับพืชหรือสัตว์รุ่นใหม่ๆได้ เก๊าะจะหายสาบสูญไปตามกาลเวลา.. เพราะฉะนั้นหรือจะฉะนี้ก็ได้ค่ะ ภายใต้สิ่งแวดล้อมแย่ๆที่เรามีอยู่..สิ่งมีชีวิตแบบไหนล่ะคะที่จะสามารถ " อยู่รอด " ได้ ?
ยิ่งกว่านั้น..นอกจากการสร้างรูปแบบทางวิวัฒนาการแล้ว การปรับตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็มีแนวโน้มที่จะทิ้งให้สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ต่างๆไว้เบื้องหลังอีกด้วยนะคะ..เพราะงั้นพวกไดโนเสา ไดโนฝา ไดโนกระดานทั้งหลาย ก็อาจเป็นเช่นเดียวกับฟอสซิล และเป็นหลักฐานที่ี่สามารถอธิบายถึงช่องว่างขนาดใหญ่ ของรอยต่อทางวิวัฒนาการ ในอนาคตก็ได้ค่ะ อิ อิ อิ
เมื่อสิ่งมีชีวิตต่างๆล้วนมีวิวัฒนาการมาเช่นนี้แล้ว รูปแบบ รูปร่าง รูปทรงองค์เอวที่เราเห็นๆกันอยู่ก็อาจไม่ใช่หน้าตาขั้นสุดท้ายของวิวัฒนาการี้หรอกนะคะ เพราะเบิร์ดมองว่าวิวัฒนาการ ( ในทุกด้านไม่เว้นแม้แต่การเมือง.. หรือจะเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ด้วยก็ไม่น่าจะผิดอะไรนะคะ เพราะจะลากให้เข้ากับบริบทน่ะค่ะ อิ อิ อิ )ไม่ได้เป็นการทำให้สิ่งมีชีวิตซับซ้อนขึ้น หากแต่เป็นการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปต่างหาก ( และใครปรับตัวไม่ได้ก็หายไปจากสังคม )
ท่านผู็นำที่ต้องลี้ภัยการเมืองในขณะนี้ก็น่าจะ็เป็นเช่นเดียวกันนะคะ เพราะท่านไม่ได้สร้างสังคมไทย แต่เราๆท่านๆและสังคมไทยต่างหากที่ " สร้าง " ท่านขึ้นมา...และดูเหมือนว่าจะพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับ " สิ่งแวดล้อม " ที่ท่านสร้างขึ้นต่อมาซะด้วยสิคะ
เห็นมะล่า..ว่าจะไม่แล้วเชียว ว่าจะไม่แล้วเชียว เริ่มต้นด้วยการคัดเลือกตามธรรมชาติอยู่แท้ๆ..
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
Natural Election..อิ อิ อิ
ลักษณะการเลือกตั้งของเรามีท่านผู้รู้มากมายเคยบรรเลงไว้ค่ะ เบิร์ดก็เลยหยิบๆมาต่อๆกันดู
ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองไทย และเป็นตัวกำหนดการเลือกตั้งแบบไทยๆค่ะ.. คือเชื่อแบบไหนก็มักจะเลือกแบบนั้น ! ใครศักดิ์สิทธิ์จริงในสังคม หากมองปัจจุบัน ผลประโยชน์ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ค่ะ สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นประโยชน์คนก็เลือกสิ่งนั้น
ทิศทางทางการเมืองเชิงวัฒนธรรมแบบไทยๆจึงแบ่งคนออกได้ สามกลุ่ม ได้แก่
1 .กลุ่มที่รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มีความตื่นตัวทางการเมือง เดินไปตามกระแส สื่อว่าอย่างไรมักเชื่ออย่างนั้นและมักเป็นกลุ่มที่ชี้ขาดในการเลือกตั้งซะด้วยสิคะ
2. กลุ่มที่พอสนใจ อยู่ในกระแส แต่มักไม่ไปเลือกตั้ง ฉลาด ไม่เดือดร้อนกับการที่ใครจะมาเป็นผู้แทนของตน
3. กลุ่มที่แสวงหาอำนาจหรือนักการเมือง ซึ่งไม่ค่อยสนใจ
คนกลุ่มที่ 2 แต่มักสนใจคนกลุ่มแรกที่อยู่กับความศัก ดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อในชุมชนซึ่งสืบทอดกันมา..
การเมืองในปัจจุบันของไทยจึงมีลักษณะว่า
1. เป็นการเมืองที่ไม่ยอมให้มีพื้นที่ของภาคประชาชนอย่างแท้จริง มีแต่พื้นที่ของนักการเมือง กิจกรรมทางการเมืองหรือแม้กระทั่งกิจกรรมอื่นๆ ในสังคมจึงต้องอาศัยประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วม จึงจะประสบความสำเร็จ ม็อบทั้งหลายถึงกล่าวอ้างกันหนักหนาว่ายืนอยู่ข้างประชาชนไงคะ
2. มีการแบ่งฝ่ายชัดเจน ในภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน จะเห็นได้ชัดที่สุด เลยล่ะค่ะ
3. การเมืองปัจจุบันละเลยสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อ ในการเขียน การออกเสียง ทำให้เราถูกสื่อที่ " ซื้อได้ " ชักจูงไปโดยการนำเสนอภาพซ้ำๆในด้านเดียว
4. ระบบราชการที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ทั้ง ที่ความจริงน่าจะเป็นผู้ให้บริการประชาชนมากกว่า
5. ประชาชนเชื่อ ตามที่นักการเมืองพูด ทำให้หลงทิศทางประชาธิปไตยที่แสดงออกมาปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยตามรูปแบบ ไม่ใช่เนื้อหาเลยล่ะค่ะ
สวัสดีครับคุณเบิร์ด