ท้ายสุดเอาภาพมาฝากกันนะครับ ว่าแต่ละตัวนี่โลโก้เป็นอย่างไรครับ เผื่อจะได้เข้าใจกันทันทีที่เห็นนะครับ
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
1. naree suwan
สวัสดีครับคุณนารี
สวัสดีครับคุณราณี
สวัสดีครับป้าแดง
สวัสดีค่ะน้องเม้ง
บทความ "ลิก-ขะ-ซ้าย" ของเม้งถูกใจพี่แอมป์นักหนา หลังจากอ่านอยู่สามรอบ และหัวเราะขำความช่างคิดของเม้งอยู่พักนึงแล้วก็คิดว่าต้องเข้ามาบ่นต่อสั้นๆอีกสักสามกิโล(แม้ว) ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับแหงๆ
พี่แอมป์จะบ่นเอ๊ยคุยกับเม้งในประเด็น "การอ้างเอาว่าเป็นเจ้าของความรู้" นะคะ คำว่าความรู้ในที่นี้ พี่แอมป์หมายรวมถึงความรู้และผลงานต่างๆอันเกิดจากสติปัญญาและความรู้ของมนุษย์ด้วย
โดยปกติแล้ว "ความรู้" อันเกิดจากการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเรียนรู้อะไรก็ตาม เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น(โดยกลไกบางอย่างในสมอง) และส่วนมาก... มนุษย์จะตั้งชื่อไว้
"(ความรู้สึกว่าเรามี)ความรู้" กับ "ความรู้สึกเป็นเจ้าของ" คงอยู่ใกล้กันมากนะคะ ความรู้สึกเป็นเจ้าของจะเกิดขึ้นเมื่อเรา(รู้สึกว่าเรา)"สร้าง" และจะยิ่งรู้สึกทวีคูณ เมื่อเราได้"ตั้งชื่อ " ความรู้ที่เรา(คิดว่าเรา)สร้าง
ธรรมชาตินั้นคงดำเนินไปอย่างที่มันเป็น แต่เมื่อมนุษย์ไป "รู้" เข้า ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์(อีก)ที่จะต้องเข้าไปจัดระบบ จัดระเบียบความรู้ (แล้วก็ตั้งชื่อ) จะได้เอาไปใช้ง่ายๆ
ในการเอาไปใช้นั้น ด้วยว่าความรู้แต่เริ่มแรก คงเป็นความรู้พื้นฐานเพื่อการเอาชีวิตรอด ซึ่งต่างก็ต้องสร้างเอาเอง ดังนั้นแรกๆ แม้จะตั้งชื่อความรู้แล้ว ก็คงไม่รู้จะปิดกั้นความรู้ไปทำไม เพราะการใช้ประโยชน์จากความรู้นั้นมีชั้นเดียว คือเพื่อให้มีชีวิตรอด เป็นประโยชน์ตรงๆ
จากนั้นเมื่อวิถีชีวิตซับซ้อนขึ้น หลายคนสร้างหลายคนถ่ายทอด ส่งไม้ต่อมือกันมานาน ก็เกิดผู้รู้ (ผู้มีความรู้ชุดต่างๆอยู่ในหัว) เกิดการบันทึก และเกิดผู้ถือความรู้นั้นไว้ ผู้ใดมีความรู้ และ"ถือ"ความรู้อันถูกบันทึกไว้ ก็ย่อมรู้สึกเป็นเจ้าของ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ ก็ทำให้รู้สึกอยากกั้นอาณาเขต และจำกัดการเข้าถึง เพื่อให้ความรู้สึกเป็นเจ้าของนั้นคงอยู่ (ไม่ว่าตนจะได้สร้างความรู้ทั้งหมดนั้นมาด้วยตนเองหรือไม่) ลึกๆแล้วคือ เพื่อให้ความรู้สึก "เหนือกว่า" ยังคงอยู่ และลึกที่สุดคือ เพื่อให้อัตตา....ยังคงอยู่ (from "it's my idea" to "it's mine" ดึง in ออกมา ก็จะเห็น me )
แปลว่ามนุษย์กำลังใช้ประโยชน์ชั้นที่สองของความรู้ เปลี่ยนจาก"ใช้ความรู้เป็นเครื่องมือ" เพื่อให้มีชีวิตรอด เป็น "ใช้ความรู้เป็นเครื่องประดับ" หรือ"ใช้เพื่อความรู้ เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่างตอบแทนจากความรู้นั้น" อีกที
นึกถึงคำคมนี้แล้วพี่ก็ออกจะขำๆอยู่
Originality is the art of concealing your source.
ความเป็นต้นแบบ คือศิลปะในการซ่อนเร้นแหล่งข้อมูลของท่านเข้าไว้
พี่แอมป์เริ่มนึกสนุกกับวิธีคิด เรื่อง It's my idea. เกี่ยวกับ"ความรู้"ในระบบการศึกษา เมื่อสมัยทำธีสิสและต้องหาหัวข้อ และทุกคนต้องมี "หัวข้อของฉัน" และนึกสนุกโดยตลอดจนเสร็จสิ้นกระบวนการ เพราะได้รู้สึกตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายว่า "เราไปเอาของเขามาตั้งเยอะ"
แล้วก็ถามตัวเองอย่างสนุกสนานว่าความรู้สึกขัดแย้ง ระหว่าง การไปเอาของเขามา กับ "การประกาศในตอนท้ายว่าทั้งหมดนั้นคือผลงานของเรา" ที่เรากำลัง "รู้สึก" อยู่นั้น 1. มันเรียกว่าอะไร 2. เราควรรู้สึกแบบนั้นไหม 3. ความรู้สึกแบบนั้น"ผิด" ไหม (ถ้าผิด ผิดเพราะอะไร ถ้าไม่ผิด ไม่ผิดเพราะอะไร จงอธิบายโดยละเอียด 10 คะแนน) อิอิ 4. แท้ๆแล้วเราควรรู้สึกอย่างไร? เราควรวางท่าทีอย่างไรต่อการได้มาซึ่งความรู้โดยวิธีนี้? และ 5. เราควรถือครองเอาว่าความรู้นี้เป็น "ความรู้ของเรา" และ "เอาประโยชน์จากการถือครองนี้แต่เพียงผู้เดียว" หรือไม่? : )
คุณวินทร์ เลียววารินทร์ กล่าวไว้ในหนังสือ รอยเท้าเล็กๆของเราเอง(2545) เรื่อง ไม้ผลัด ว่า "ความสำเร็จมิได้เป็นผลงานของคนๆเดียว แต่เป็นผลพวงของการทำงานของคนหลายรุ่น หรือบางครั้งหลายร้อยชั่วคน"
พี่แอมป์นึกสนุกเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากความรู้จะไม่ได้เกิดขึ้นแบบโดดๆแล้ว ความรู้ยังมีหลายประเภท ถ้าแบ่งตามแนวการจัดการความรู้ (ซึ่งชัดดี) ดังที่คัดมาจากวิกิพีเดีย (รายการอ้างอิงอยู่ในลิ้งก์) ก็จะได้ว่าดังนี้
"ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้แฝงเร้น (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้
ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน"
พี่แอมป์ชอบใจตรงนี้มากเลย การ"แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน" อยากต่ออีกนิดว่า "ด้วยความบริสุทธิ์ใจ"
พี่แอมป์คิดเอาเองว่า หลักคิด(ลึกๆ)ของ "การจดว่าอะไรๆ(หรือความรู้อะไรๆ)เป็นของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว" นั้น คือการบอกว่า "ไม่ให้เปล่า" และจะให้ก็ต่อเมื่อมีประโยชน์ต่างตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกัน (อันมีมาในรูปแบบที่หลากหลาย)
ผู้เอาประโยชน์จากความเป็นเจ้าของ และผู้ได้ประโยชน์ ก็จะเฉพาะเจาะจงลงไปอีก มิใช่การเผื่อแผ่ไปยัง"ใครก็ได้" ดังนั้นที่คิดจะเกื้อกูลกันนั้นก็อย่าพึงหวัง (แปลว่าถ้าไม่มีตังค์เก๊าะอด)
ดังนั้นที่เม้งบ่นเอ๊ยบอกว่า "ความรู้ควรจะมีการให้อย่างอิสระ" [คิดจะให้] พี่แอมป์ก็คงต้องต่อให้อีกนิดว่า "ตราบเท่าที่เรายังไม่ต้องการประโยชน์ต่างตอบแทน" [คิดจะเอา ] ( คำว่า"เรา"ในที่นี้เป็นคำกลางๆนะคะ )พี่นึกเชื่อมมาถึงตรงนี้แล้วเลยชอบใจชะมัด ธรรมชาติที่ได้สั่งสมอะไรมายาวนาน (ให้อย่างอิสระ) แล้วเราก็มาจับจองเป็นเจ้าของและใช้สอยกันอย่างสนุกสนาน (เอามาใช้เฉพาะตัว) ก็เลยเกิด "การเรียกร้องทางลิขสิทธิ์ของธรรมชาติ" และ "การลงโทษทางการละเมิดสิทธิ์ทางธรรมชาติ"...อย่างที่เม้งว่า....เห็นภาพชัดแจ๋วเลย : )
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่เม้งทำใจได้ (แปลว่าชิน อิอิ)กับการบ่นยาวๆๆ แบบไปถึงไหนก็ไม่รู้ของพี่แอมป์ เพื่อไม่ให้ยาวไปกว่านี้ พี่เลยขออนุญาตแปะลิ้งก์นี้ไว้ เผื่อว่าจะให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมได้บ้างเล็กๆน้อยๆ และขออนุญาตเรียนท่านผู้แวะมาอ่านว่าทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงมุมมอง และมิได้มีเจตนาจะอคติกับความรู้ในระบบแต่อย่างใด
และขอบคุณน้องเม้งมากๆๆอีกครั้งนะคะ (......ที่ทำใจได้เวลาพี่แอมป์เข้ามาบ่นยาวๆๆๆอ่ะค่ะ) : )
สวัสดีครับพี่สาวที่น่ารัก
สวัสดีครับพี่แอมป์และทุกท่าน
ทุกวันนี้แนวโน้มที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นcopyrightไปหมดทำให้เกิดความรู็สึกต่อต้านอย่างเห็นได้ชัดในหมู่ประชาชน ซึ่งก็แน่นอนว่าน่าจะชอบอะไรที่ไม่มีcopyrightมากกว่า ผมก็ไม่ชอบหรอกcopyright
แต่สำหรับบางอาชีพ อย่าง ศิลปิน นักเขียน นักดนตรี ถ้าไม่มีลิชสิทธิเลยนี่ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
พวก creativecommons นี่เป็นาทางออกที่ดีแล้วล่ะ
สำหรับการการบังคับใช้การจดทะเบียนพืช/หรือยาอย่างIntensiveนี่ดูจะเกินเหตุนะครับเพราะทำให้คนเดือดร้อนกันชัดเจน
ทุกวันนี้แนวโน้มที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นcopyrightไปหมดทำให้เกิดความรู็สึกต่อต้านอย่างเห็นได้ชัดในหมู่ประชาชน ซึ่งก็แน่นอนว่าน่าจะชอบอะไรที่ไม่มีcopyrightมากกว่า ผมก็ไม่ชอบหรอกcopyright
แต่สำหรับบางอาชีพ อย่าง ศิลปิน นักเขียน นักดนตรี ถ้าไม่มีลิชสิทธิเลยนี่ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
พวก creativecommons นี่เป็นาทางออกที่ดีแล้วล่ะ
สำหรับการการบังคับใช้การจดทะเบียนพืช/หรือยาอย่างIntensiveนี่ดูจะเกินเหตุนะครับเพราะทำให้คนเดือดร้อนกันชัดเจน
สวัสดีครับคุณนักฝัน