ก็ทำตัวเองทั้งนั้น...


สิ่งเหล่านี้ก็พอรู้ แต่ไม่ใส่ใจ เพราะยังไม่เจ็บไม่ปวด ตอนนี้รู้เลยว่าอดีตส่งผลต่อปัจจุบันแล้ว...


               โอย...ปวดหลังจัง!...
ประโยคนี้ดิฉันมักได้ยินคนรอบข้างบ่นอยู่เสมอ ฟังแล้วไม่รู้สึกเท่ากับคราวนี้โดนเข้ากับตัวเอง สัปดาห์ที่ผ่านมาดิฉันรู้สึกปวดอยู่ในหลัง แถว ๆ กระเบนเหน็บ และรู้สึกว่าแถบด้านขวาจะรู้สึกปวดมากกว่า แถมปวดร้าวลงไปที่ขาขวาด้วย

               ที่จริงแล้วจะรู้สึกปวดอยู่ก่อนหน้านี้ แต่พอได้อาศัยการนวดแผนไทยที่โรงพยาบาลเปิดให้บริการอยู่ขณะนี้ ก็จะคลายลง สักพักก็จะกลับมาปวดอีก ล่าสุดก็ยังไปใช้บริการนวดแผนไทยที่ว่าอยู่

               ซึ่งปกติดิฉันไม่เคยเลือกหมอ ได้คิวของหมอคนไหนก็คนนั้น แต่หลังจากวันนั้นดิฉันคิดว่าต่อไปคงต้องระบุหน่อยแล้ว เนื่องจากครั้งนั้นโชคไม่ดี ไปพบกับหมอใหม่ที่มือหนัก นวดแบบไม่เบามือแม้ดิฉันจะบอกแล้วว่าขอเบาลงสักหน่อย แถมบอกดิฉันว่า
ทนหน่อยนะคะ
แล้วก็นวดต่อแบบนวดไป มองนาฬิกาไป กลัวจะนวดเกินเวลาหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แทนที่ดิฉันจะรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับนวดกับหมอคนอื่นๆ ที่เคยนวดกันอยู่ คุณหมอคนนี้กลับทำให้ดิฉันเครียดมากเลย

                 ตีสองครึ่งของคืนนั้น ดิฉันตื่นขึ้นมาเพราะเจ็บระบมไปทั้งแผ่นหลังและก้นทั้งสองข้าง ไม่เป็นอันหลับอันนอน... เข็ดซะ
!!


               พักนี้ดิฉันร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยอยู่ไม่ได้หยุด จนกระทั่งมาถึงอาการปวดหลัง ทำงานไปก็โอดไป จนหัวหน้าลำดวนของดิฉันท่านเห็นอาการแล้วจึงชักชวนไปให้พบหมอนวดคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นหมอผู้ชาย ที่จริงหัวหน้าชวนดิฉันนานแล้วบอกว่าท่านเองก็เคยมีอาการปวดหลัง ไปรักษากับหมอคนนี้แล้วหาย อยากให้ดิฉันลองไปพบดู หมอคนนี้เขารักษาคนไข้จากศาสตร์ที่เรียนมา
3 อย่าง คือ วิทยาศาสตร์การกีฬา นวดแผนไทย และการกดจุด

               ซึ่งดิฉันก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ที่จะไปรักษา ด้วยเหตุผลสองประการที่ไม่ได้บอกกับหัวหน้า แต่จะเปิดเผยในครั้งนี้ คือ หนึ่ง รู้สึกยังไงก็ไม่รู้ที่ต้องไปนอนให้หมอผู้ชายนวด และหมอผู้ชายน่าจะมือหนัก สอง เพราะหมอคนนี้มีชื่อเดียวกับคนที่ทำให้เราเจ็บกระดองใจเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว (เหตุผลหลังนี่ไม่ค่อยมีเหตุผล)

                สองวันให้หลังที่รู้สึกค่อยยังชั่วจากอาการเจ็บระบม หัวหน้าลำดวนก็ชักชวนดิฉันไปจนได้ ตอนนั้นไม่คิดอะไรแล้วอยากจะหายปวดหลังอย่างเดียว ก็คิดว่า...เอาน่า...ไปก็ไป
!
อย่างน้อยก็มีหัวหน้าไปเป็นเพื่อน

               พอไปถึงหมอก็ถามอาการ ซึ่งดิฉันเองนอกจากจะปวดหลังแล้ว ยังพ่วงด้วยอาการปวดถ่วง ๆ ที่ท้องน้อยทั้งสองข้าง เจ็บเข่าข้างซ้ายและส้นเท้าข้างขวา และอาการเจ็บสะบักบริเวณไหล่ขวา หมอก็เริ่มตรวจสอบโดยการให้นอนหงายจับปลายเท้าทั้งสองข้างกดลง อึดใจหนึ่งก็บอกว่าขาทั้งสองข้างของดิฉันไม่เท่ากัน ข้างขวายาวกว่าข้างซ้ายนิดนึง ทำให้เวลาเดินน้ำหนักจะลงที่ส้นเท้าขวามากกว่า และเป็นผลให้ขาข้างซ้ายต้องเขย่งนิด ๆ ดิฉันได้แต่ฟังตาปริบ ๆ นึกในใจว่าจริงเหรอเนี่ย
!

              
จากนั้นคุณหมอก็ไล่รักษาอาการทั้งหลายแหล่ที่ดิฉันกล่าวไว้ข้างต้นนั้นไปเรื่อย เจ็บมากเจ็บพอทนได้ไปตามเรื่องขณะรับการรักษา โดยการจัดกระดูกให้เข้าที่ก่อน แล้วก็แก้อาการโน่นนี่ไปเป็นลำดับ สำหรับอาการถ่วงๆ ที่ท้องน้อย คุณหมอบอกว่าดิฉันมีพังผืดที่ปีกมดลูกทั้งสองข้าง โดยเฉพาะข้างขวา และบอกว่าให้มารับการรักษาอีกสักสองสามครั้ง อาการทั้งหมดน่าจะดีขึ้น

               กลับมาบ้านแล้วก็ยังมีอาการทั้งหลายอยู่บ้าง แต่ก็เบาลงโดยเฉพาะอาการปวดในหลังกับถ่วงท้องน้อย จึงคิดว่าจะลองไปรับการรักษาอีกสักสองสามครั้งอย่างที่หมอแนะนำดูค่ะ ก่อนหน้าที่จะไปรักษาวันหนึ่ง ดิฉันสงสัยในอาการเจ็บปวดทั้งหลาย เลยแวะไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วลองวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเองดู ก็พบว่าอาการทั้งหลายน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องต่อไปนี้

                        - นั่ง ยืน เดิน ไม่ถูกท่าทางที่ดี มาเป็นเวลานาน
                        - นั่งขับรถด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องมานาน
                        - มักใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะ ยืน เดิน นานเกินไป
                        - เครียดบ่อย ๆ
                        - ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง

                สิ่งเหล่านี้ก็พอรู้ แต่ไม่ใส่ใจ เพราะยังไม่เจ็บไม่ปวด ตอนนี้รู้เลยว่าอดีตส่งผลต่อปัจจุบันแล้ว...

                นึกย้อนถึงนักเรียนบางคนที่มักนั่งด้วยหลัง สมัยที่ตัวเองยังเป็นครูอยู่ยังเคยดุเขาว่านั่งให้มันดีๆ นั่งอย่างนี้ไม่เรียบร้อย พอถูกดุ เมื่ออยู่ต่อหน้าครูก็จะนั่งตัวตรงหน่อย แต่พอลับตาครูแล้วก็ยังติดนั่งเหมือนเดิม ดิฉันคิดว่าที่นักเรียนไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมน่าจะเป็นเพราะเหตุผลที่ครูบอก ยังไม่มีความหมายที่สำคัญต่อตัวเขาโดยตรง การนั่งให้เรียบร้อยเพราะจะได้ไม่ถูกครูดุ และครูชอบ

                เปลี่ยนใหม่นะคะ ถ้าคุณครู หรือคุณพ่อคุณแม่ ลองบอกหรือสอนเขาใหม่ว่าการนั่งแบบนั้นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เสียบุคลิกภาพ และจะส่งผลต่อชีวิตของเขาอย่างไร (เหมือนกับสิ่งที่ส่งผลต่อเราในขณะนี้) อันนี้หมายรวมถึงการกระทำในเรื่องอื่นๆ ด้วยค่ะ ถ้าเราชี้แจงว่าผลเสียหรือผลกระทบจะเกิดกับเขาโดยตรงอย่างไร เขาน่าจะฟังและปฏิบัติตามจนเป็นนิสัยมากขึ้น

                คุณครูทั้งหลายคะ โปรดอย่าละเลยที่จะเตือนลูกศิษย์ของเราในเรื่องการดูแลสุขภาพนะคะ หากเขาเริ่มปฏิบัติได้แต่เด็ก ก็จะได้ไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนพวกเราๆ ขณะนี้ แถมได้ผลดีในเรื่องของบุคลิกภาพด้วยค่ะ ถึงว่าเราจะไม่ใช่ครูพละ ครูสุขศึกษา ครูอนามัย ... ครูวิชาอะไร ก็ช่วยกันเตือนและร่วมกันดูแลลูกศิษย์ของเราได้ค่ะ


หมายเลขบันทึก: 120526เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2007 19:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2012 06:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

สวัสดีค่ะน้องกุ้ง... ปวีณา ธิติวรนันท์

  • ไม่สบาย  ก็พักผ่อนบ้างนะคะ  .อย่าลืมกินยาและปฏิบัติตามที่หมอสั่งมานะคะ
  • ส่วนเรื่องที่ต้องสอนนักเรียน  ครูอ้อยจะช่วยอีกแรงหนึ่งค่ะ

คิดถึงค่ะ

  • การรักษาโรคภัยไข้เจ็บจะให้หายขาดต้องรักษาทั้ง ใจ และ กาย
  • รักษา กายอย่างเดียว ตามอาการ ไม่รักษา ใจ  ก็จะกลับมาเป็นอีกในไม่ช้า
  • ถ้าสุขภาพใจสบายมีความสุข  สุขภาพกายก็จะสดใส ไม่มีโรคภัย
  • โรคของ ศน.ปวีณา ต้องรักษาที่  ใจก่อน  จึงจะ มีสุขภาพกายสมบูรณ์
  • ต้องหาคนมาคอยดูแลใจก่อน

 

  • ขอบพระคุณ คุณพยาบาลสิริพร กุ่ยกระโทก
    และคุณหมอ prajak ที่กรุณามาดูแลกันอยู่เสมอ
  • เมื่อค่ำวานมีอาการเจ็บในเข่า ที่ตาตุ่มและส้นเท้าทั้งสองมาก ๆ
  • กำลังเป็นกังวลกับสุขภาพของตัวเองอยู่พอควรค่ะ... รู้สึกใจไม่ดีเหมือนกัน
  • สงสัยว่าต้องไปรักษาใจอย่างที่ ผอ.ประจักษ์แนะนำด้วยมังคะ
  • แย่จัง! เดินนานๆ ก็มีอาการ ยืนนานๆ ก็มีอาการ นั่งนานๆ ก็มีอาการอีก บอกตามตรง งานนี้ยังไม่อยากนอนนานๆ ค่ะ

สวัสดีค่ะน้องกุ้ง

  • เมื่อวานนี้ครูอ้อยก็เครียดทั้งวัน  ทำงานด้วยทั้งวัน  พอตกกลางคืน  ปวดเมื่อยไปทั้งตัว  ครูอ้อยก็แกล้งตัวเอง  บิดไปบิดมา   พอเช้ามานี้  ดีขึ้นค่ะ
  • น้องกุ้งทำงานมากเกินไป  จิตไม่สบายเหมือนครูอ้อยหรือเปล่า  ครูอ้อยไปตะโกนใส่ป่า  ใส่ภูเขา  เลยเงียบไปเลย  ไอ้ความสับสนในตัวครูอ้อย..อิอิ
  • เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ...หายป่วยเร็วๆค่ะ  หมอใจอยู่ที่ตัวค่ะ  อย่าไปหาเลยค่ะ  ปวดใจไปเปล่าๆ  เชื่อพยาบาลอ้อยสิคะ  อย่าไปเชื่อหมอประจักษ์..อิอิ

ขอบคุณค่ะ

 

  •  เมื่อวานตอบข้อคิดเห็นเสร็จก็รีบไปทำธุระเป็นเพื่อนหัวหน้าลำดวนค่ะ กลับมาเกือบมืดเจ็บส้นเท้าและเมื่อยในหลังอยู่บ้าง
  • ที่จริงตัวเองต้องไปประชุมที่พัทยาสามวัน(21-23 ส.ค.) แต่ดูแล้วร่างกายเราไม่เอื้อต่อการเดินทางไกลๆ ในช่วงนี้ จึงไม่ได้ไป
  • แต่ใช่ว่าหลังจากบายไม่ไปราชการแล้ว จะว่างงาน วันนี้ต้องออกไปนิเทศโรงเรียน (ร.ร.ผู้นำการเปลี่ยนแปลง)
  • เพราะเดินมาก วันนี้เจ็บส้นและปวดหลังอีกแล้วค่ะ พรุ่งนี้และมะรืนยังมีภารกิจสำคัญต้องถ่อสังขารไปทำหน้าที่อีก
  • อยากไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ แต่ไม่ว่างสักวันสงสัยพรุ่งนี้ต้องตัดใจ ไปหาหมอก่อนดีกว่า
  • อยากไปอ่านบันทึกโน้นนี้ใน G2K แต่หลัง ไหล่ และเท้าไม่ไหวแล้ว เพราะตั้งแต่เย็นนั่งหน้าคอม ห้อยขาทำงานอยู่พักใหญ่แล้ว ขอตัวพักก่อนค่ะ...และต้องขอโทษมวลมิตรทุกท่านด้วย
  • ขอบพระคุณในความห่วงใย ที่พี่อ้อยมอบให้อยู่เสมอค่ะ

ปวดหลัง ตัวงอ เป็นกุ้งเลยซิถ้า....

ถ้าหายปวดแล้ว จะเชิญไปพูดเรื่อง blog ที่ลำพูน
ไปไหมจ๊ะ จะส่งตั๋วรถไฟนอน เตียงล่างมาให้ จ้า

  • เขาว่า โรคปวดหลังนี่นะเป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีการหายขาดมีแต่ ปวดน้อย ปวดมาก ปวดมากที่สุด ...
  • กุ้งรักษาทั้งจากแพทย์แผนปัจจุบัน  และแพทย์ทางเลือกไปพร้อมกัน บางทีก็อาจช่วยได้เหมือนที่พี่ทำอยู่
  • แต่ถ้าไปเจอหมอนวด ที่ใช้แต่แรงนวด โดยไม่มีหลักความรู้ก็แย่เหมือนกัน
ขอให้หายป่วยเร็วๆ  ฝากอ่านด้วย http://gotoknow.org/blog/jogging/73370  อิอิ
  • ขอบพระคุณในความห่วงใยของ
  •  P 
  •       P 
  • และ... P  ... ที่เตือนแล้วเตือนอีกด้วยhttp://gotoknow.org/blog/jogging/73370บันทึกนี้


    ตอนนี้อาการดีแล้วค่ะ เหลือแต่คอยระมัดระวังไม่ให้ปวด (มาก มาก) อีก....

สวัสดีครับ ..

ผมแวะมาถามข่าว, ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ  ... อาการปวดหลังดูจะไม่เหมาะกับคนที่ต้องนั่งนาน ๆ หรือเดินทางบ่อย ๆ

ผมโชคร้ายเคยประสบอุบัติเหตุรถบัสชนกับรถบันทึก  ..จากนั้นมาผมมีอาการปวดรังเรื้อรัง  เพราะบ้างานไม่ยอมเข้าบำบัดอย่างจริงจัง  ทุกวันนี้ยกของหนัก ๆ ไม่ค่อยได้  ..ซ้อมมวย (ล่อเป้า)  ให้นิสิตก็ไม่ได้  นั่งโต๊ะทำงานนาน ๆ ไม่ไหว,  ขับรถนาน ๆ ก็ไม่ดี ...

และทั้งปวงนั้นก็เป็นดังที่อาจารย์กุ้ง  บอกไว้ว่า อดีตส่งผลต่อปัจจุบันแล้ว

....

อย่างไรเสียก็ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงนะครับ

 

เหนื่อยนัก พักเสียบ้าง และดูแลสุขภาพด้วยครับ
     เรื่องเล่าช่างคล้ายๆกับที่พี่พบกับตัวเองหลายอย่าง โดยเฉพาะ 3 ข้อ

             -   นั่ง ยืน เดิน ไม่ถูกท่าทางที่ดี มาเป็นเวลานาน
             -   นั่งขับรถด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องมานาน
             -   ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ  ไม่ต่อเนื่อง

    รู้แต่ไม่ได้ทำครับ
          
             เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเรียนรู้ที่ผู้สอนจะต้อง จัดการให้เกิดความ "มุ่งมั่นด้วยศรัทธา" ในใจผู้เรียนให้ได้ เมื่อมี "ฉันทะที่ถูกต้อง" แล้ว ทุกอย่างจะเดินไปด้วยดี  การเรียนรู้จะมีความหมาย  หากจุดชนวนเช่นนี้ได้  มีหรือที่เขาจะไม่รักการเรียนรู้ .. พี่เคยไปทดลองทำเรื่องนี้ ที่ รร.บ้านท่าเสด็จ ที่สุพรรณ นั่นแหละ  หลายปีมาแล้ว ได้ผลเกินคาดครับ .. มีเวลา มีโอกาส ยินดีเล่าให้คุณน้องและใครที่สนใจได้ฟังครับ .. หลักฐาน ร่องรอย ยังเก็บไว้อย่างดีครับ

  • ขอบคุณอ.พนัส   P  ที่แวะมาถามข่าว แล้วก็ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ตอบกลับช้ามาก
  • ก่อนหน้าที่อาจารย์จะเข้ามาทายทัก เครียดอยู่สามคืน ตอนนี้เป็นปกติแล้วค่ะ
  • คิดเอง เครียดเอง แล้วก็หายไปเอง หายลงไปเก็บไว้ลึก ๆ ในใจ ไม่ขุดขึ้นมา ก็ไม่คิด ไม่เครียดค่ะ
  • หายเหนื่อยก็ลุยงานต่อ เรื่องสุขภาพนั้นก็คอยระมัดระวังอยู่ค่ะ ยังไม่อยากเป็นอะไรไปมาก ภาระรับผิดชอบยังมีอยู่เยอะค่ะ
  • ขอบคุณในความห่วงใยมากนะคะ
  • ขอบคุณอาจารย์ Handy
  • เหนื่อยนัก ถ้ามีเวลาพักก็พักค่ะ แต่บางครั้งไม่มีเวลาก็ต้องทน ๆ อยู่ก่อน ไม่หนักหนามากก็ไม่เป็นไรค่ะ
  • ตอนนี้อาการปวดทั้งหลายค่อยคลายแล้ว เหลืออยู่แต่ปวดส้นเท้าขวา ถ้าเดินมาก ยืนมาก ก็จะมีอาการค่ะ
  • ยังอยากอ่านเรื่องราวของ ร.ร.ท่าเสด็จค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท