เกือก


ครูเขาไม่สนใจเท้ามากไปกว่าสมองครับ

วันที่ 6 สิงหาคม 2550

วันนี้เป็นวันจันทร์ของสัปดาห์ที่ 14 นับถอยหลังไปก็เหลือ 100 วันพอดิบพอดี เลขสวยนะครับ พรุ่งนี้ก็เหลือ 2 หลักแล้ว

                เหตุการณ์ต่างๆของชีวิตผมก็ดำเนินไปตามปกติ ตื่นสายได้อีกนิด เพราะว่าคุณหมอชาฟาลีนัด round ตอน 7 โมงครึ่ง ผมได้กินข้าวก่อนและไปนั่งจิบกาแฟแมลงดาวที่ภาควิชา เมื่อถึงเวลา8 โมงก็ไปดูป้าที่ลำไส้ไม่ทำงานก่อนใครเพื่อน แกดูดีขึ้นมาก วันนี้เราลงความเห็นว่าจะสั่ง TPN (total parenteral nutrition) ให้แก เพราะว่าอดอาหารมานานเกือบสัปดาห์แล้ว ที่นี่เขาปรึกษาคุณหมอรังสีวิทยา เพื่อสอดสายสวนเข้าไปยังหลอดเลือดดำใหญ่ เพราะการให้ TPN นั้น ให้ทางหลอดเลือดดำปลายแขนไม่ได้ เนื่องจากความเข้มข้นสูง หลอดเลือดเล็กๆทนไม่ไหว ถ้าเป็นบ้านเราก็ให้ทาง subclavian vein ที่อยู่ใต้กระดูกไหปลาร้า (อยู่ที่หัวไหล่ครับ ไม่ใช่มหาสารคาม)

                ช่วงบ่ายเก็บข้อมูลวิจัย เสร็จราวๆ 5 โมงครึ่ง ก็เลยเดินกลับบ้าน ระหว่างที่เดินกลับรู้สึกว่าปวดๆบริเวณกระดูกสะโพก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร สงสัยเป็นเพราะรองเท้าไม่ดี

                ตั้งแต่มาอยู่ที่สิงคโปร์นี่ สุขภาพเท้าผมไม่ค่อยดีนัก เริ่มตั้งแต่เมื่อเดือนแรกเลย ที่ต้องเดินเล่นกับเพื่อนๆหมอไทย ที่ทำเอาหนังเท้าแทบฉีก เพราะวันนั้นใส่แตะเดินเที่ยว เหตุการณ์เท้าเจ็บดำเนินอยู่นานเป็นเดือนจนได้โอกาสซื้อรองเท้ากีฬาใหม่ 1 คู่มาจากบ้าน จากนั้นมาจึงเริ่มรู้สึกสบายขึ้น

                เรื่องรองเท้ายังไม่จบแค่นี้ครับ เพราะในห้องผ่าตัดที่นี่เขาใส่รองเท้าแตะแบบหุ้มหัว ลองนึกสภาพรองเท้าชาวฮอลแลนด์สิครับ ที่เราเคยดูการ์ตูนที่เขาทำรองเท้าจากไม้นั่นแหละ ส้นจะสูงหน่อยๆ ผมนี่เกลียดรองเท้าห้องผ่าตัดที่นี่ชะมัด เพราะส้นมันสูง เวลาเดินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสาวๆเลยครับ ตูดส่ายนิดหน่อย ไม่แมนเอาเสียเลย แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่แมนหรือไม่แมนหรอก มันทำให้ผมปวดเอวซะมากกว่า ในช่วงแรกๆที่ต้องเป็นผู้ช่วยผ่าตัดอย่างเดียวนั้น ต้องยืนนานครับ ยืนและเดินตั้งแต่เช้าถึงบ่าย บ่ายถึง 2 ทุ่ม คิดดูก็แล้วกันว่าผมทรมานจากอาการเมื่อยสะเอวแค่ไหน

                ตอนที่ทำงานที่โรงพยาบาลที่บ้าน (ม.อ.) ผมใส่รองเท้ากีฬาครับ เท่าที่เห็นก็คงมีผม อาจารย์สุภมัย และอาจารย์ถวัลย์เท่านั้นแหละที่ใส่รองเท้าผ้ากีฬาไปทำงาน  

                เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเราต้องใส่เฉพาะรองเท้าหนังกัน ทั้งๆที่พื้นก็แข็งออกจะอย่างนั้น สมัยเป็นเด็กนักเรียนประถม มัธยม ก็ใส่แต่รองเท้าผ้าใบไปโรงเรียน มาเริ่มใส่รองเท้าหนังตอนเรียนปีหนึ่ง จำได้ว่าเปลี่ยนบ่อยมาก เพราะว่ามันเจ็บเท้าบ้าง เจ็บส้นบ้าง แต่ก็ทนใส่อยู่อย่างนั้น เพราะว่าเขาใส่กัน เมื่อจบมาทำงานก็ยังใส่รองเท้าหนัง เพราะว่าเราเป็นหมอ ต้องแต่งตัวดีไว้ก่อน (รักษาเก่งหรือไม่เก่ง เอาไว้อีกเรื่องหนึ่ง) ไม่รู้เหมือนกันว่าใครให้นิยามของการแต่งตัวดีว่าต้องใส่รองเท้าหนังเท่านั้น ครั้นเมื่อมาเป็นอาจารย์ก็ต้องแต่งตัวเนี๊ยบ เพราะคนไข้เคยเห็นผมแล้วไม่เชื่อถือ บอกว่านัดครั้งต่อไปขอเจออาจารย์แพทย์นะคะ ผมมาเห็นพี่มัยใส่แรกๆ ก็เลยเอาอย่างบ้าง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ลองแหกธรรมเนียมดู น่าสนุก แต่ปรากฏว่ามันสบายมากครับ เดินคล่อง เบาเท้า นุ่มสบาย และตั้งแต่นั้นมาก็ใส่รองเท้ากีฬามาโดยตลอด เคยมีคนทักว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย ยิ่งเข้าทางผมใหญ่ ก็ยิ่งใส่มันเลยสิครับ ขวางโลกเก่งอยู่แล้ว เคยมีช่วงหนึ่งที่รองเท้าเปื่อยจึงกลับมาใส่รองเท้าหนัง ปรากฏว่าเอ็นส้นเท้าอักเสบเลยครับ

                เมื่อต้นปีได้อ่านบทความของลูกศิษย์ที่เดินทางไปญี่ปุ่นตามโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาแพทย์ เขาเขียนเล่าว่า ที่ญี่ปุ่น หมอและนักศึกษาแพทย์เขาสวมรองเท้ากีฬากันทุกคน เพราะว่าเดินแล้วไม่มีเสียงดัง อันจะเป็นการรบกวนคนไข้ เออสินะ เขาก็คิดไปอีกทางหนึ่งซึ่งดูดีตรงสเป็คผมเสียเหลือเกิน

                ที่สิงคโปร์นี้ เด็กนักเรียนเขาใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้ากีฬากันทุกคนครับ ใส่ลายอะไรก็ได้ สีสันฉูดฉาดอย่างไรก็ได้ ครูเขาไม่สนใจเท้ามากไปกว่าสมองครับ ต่างกับบ้านเรานะครับ สนใจแต่งเรื่องการแต่งกายอย่างเป็นระบบระเบียบจนลืมนึกถึงสมองเด็กไปเสียจริงๆ นักศึกษาแพทย์ที่นี่ก็สวมรองเท้าอะไรก็ได้ที่ดูเรียบร้อย ผมไม่ได้หมายความว่าใส่อีแตะได้นะครับ

               เลยมีข้อคิดให้กับตนเองว่า เท้าของเรานั้น ช่วยเราทำงานหลายอย่าง ดังนั้นควรหารองเท้ามาใส่ให้สบาย เท้าเป็นเพื่อนเรา อยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมง ต้องดูแลเขาให้ดี โดยเฉพาะคนที่ทำงานที่ต้องเดินมากๆ เช่น หมอ ครู เซล ควรใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้ากีฬาที่มีพื้นนุ่มสบายและเหมาะกับเท้าเรา ยี่ห้อไม่สำคัญเท่ากับความเหมาะสมกับเท้าเราครับ วงเล็บนิดหนึ่งครับว่า ผมคลั่งไคล้รองเท้ามากครับ เป็นความชอบส่วนตัวที่รู้สึกมีความสุขที่ได้เดินดูรองเท้า ยี่ห้อ Nike Adidas ECCO ผมก็ชอบมากๆ ถึงแม้ว่าแพงก็ขอให้ได้เดินดูครับ (แต่มีโอกาสซื้อน้อยมาก) ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็น Adidas แต่เนื่องจากโครงสร้างของมันไม่เหมาะกับเท้าผมเลย ผมมีปลายเท้าบานออก แต่ Adidas มักจะมีปลายรองเท้าลู่เข้า จึงไม่มีโอกาสได้ซื้อสักที ECCO นี่นุ่มสุดๆ แต่ก็แพงสุดๆครับ ยี่ห้อนี้นี่แหละที่ใช้อยู่ปีครึ่งจนเยินไปเลย ตอนนี้ใช้ Nike ครับ ซื้อรุ่นที่ลดราคาแล้วก็ถูกสุดๆ อย่าว่าผมว่าใช้ของนอกเลยนะครับ มันชอบจริงๆ เว้นไว้สักเรื่องเถอะ
หมายเลขบันทึก: 117449เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2007 19:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 14:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

หน้าร้อนวัยรุ่นออสซี่ใส่อีแตะ เป็นแฟชั่นเชียวนะคะ ยี่ห้อดังๆ เอาอีแตะแบบบ้านเรา (15 บาท) มาติดยี่ห้อ ขาย เกือบสองพันบาท ($49.99)

บ้างก็เดินเท้าเปล่า เหอะๆ เค้าบอกว่าใส่รองเท้าแล้วร้อน 

เอากะเค้าสิ 

^___^

 

อ่าน ว่า ด้วยเรื่อง เกือก สนุกดีคะ....

  ทำให้รู้สึกเห็นด้วย...และเห็นใจมากเลยคะ ยืนทำงานในห้อง...แต่เช้า บ่าย ยัน 2 ทุ่ม...โอโฮ

สวัสดีครับคุณ IS

ว่างๆกลับเมืองไทยก็หิ้วเอาไปขายสิครับ คงได้กำไรดี ลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง ฮิฮิ

 อ่านเรื่องเเล้วก็สนุกดีค่ะ เล่้าเรื่องเก่งดี แต่ว่าไปเรียนที่นั่นสนุกมั้ยคะวันหลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่นั่นให้ฟังบ้างนคะ

 

สวัสดีครับคุณ P

ผมไม่ได้คิดว่าทำงานหนักไปกว่าใครหรอกครับ ก็แค่ทำงาน คุณดอกแก้วก็ทำงาน คนอื่นก็ทำงาน

งานของผมรักษาชีวิต รักษาคุณภาพชีวิต

งานของคุณดอกแก้ว รักษาคุณค่าของชีวิต

รู้สึกเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตครับ ที่ได้มีโอกาสได้รู้จักคนที่ทำงาน ทำประโยชน์แบบนี้บ้าง

 

สวัสดีครับคุณ cake

ดีใจที่อ่านแล้วรู้สึกว่าสนุกนะครับ

เรียนที่นี่สนุก เหนื่อย สะใจ แต่ไม่สุขใจเท่าอยู่ที่บ้านกับครอบครัวครับ

เรื่องของคนไข้เล่าลำบากครับ เพราะคนอื่นมักจะไม่ค่อยเข้าใจ บางทีผมขำ แต่คนอื่นงง อีกอย่างผมเป็นหมอสูติครับ การเล่าเรื่องคนไข้นี่ รับรองว่าติดเรตอาร์กับเอ็กซ์แหงๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท