แด่คุณพ่อและคุณแม่ บุพการีที่รัก และเคารพยิ่ง
เมื่อวานฉันและน้องในที่ทำงานได้เดินทางไปซื้อของในเมืองลพบุรีซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 22 กิโลเมตร ไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยง ต้องตัดสินใจทานอาหารกลางวันก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วฉันชอบทานก๋วยเตี๋ยวปลาเก๋าของร้านๆหนึ่ง ที่ดูว่ากระบวนการและขั้นตอน รวมถึงภาชนะ ต่าง ๆสะอาดดี แถมอร่อยด้วย ปริมาณไม่มากเหมาะกับเรา...แต่น้องอยากทานก๋วยเต๋ยวหมูน้ำตกอีกที่หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างเผ็ด แต่ก็ตามใจน้อง หลังจากทานอาหารได้ 2 ชั่วโมงฉันเริ่มรู้สึกภายในท้องไม่ค่อยดี คลื่นไส้เล็กน้อย สุดท้ายต้องเข้าห้องน้ำ และรู้ว่ามีการถ่ายผิดปกติ จากนั้นก็ไม่สบายท้องรู้สึกคลื่นไส้ตลอดจนกลับถึงบ้านพัก ก็ถ่ายอีก 1 ครั้ง คราวนี้หมดแรง คลื่นไส้ หน้ามืดเป็นพักๆ ภายในท้องปั่นป่วนไปหมด จึงโทรฯขึ้นไปบน รพ.ให้น้องจัดยาให้ น้องก็ให้ลูกจ้างขับรถเอายาฆ่าเชื้อ ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนและปรับการทำงานของระบบทางเดินอาหารให้สมดุล พร้อมด้วยยาแก้ปวดท้อง และผงเกลือแร่มาให้ ฉันต้องทานยาขับลม แก้ท้องอืด เข้าไปอีก 2 เม็ด จากนั้นก็นอนพัก ยังขับรถกลับบ้านไม่ได้ นอนก็ไม่หลับแม้ว่าจะเพลียด้วยทุกข์เวทนาที่ท้อง เลยต้องเจริญสติตามรู้เวทนา-กายและจิต ไปเป็นระยะ ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าไม่หน้ามืด และสามารถขับรถกลับบ้านได้ จึงกลับ ไปถึงบ้าน ก็ต้มโจ๊ก โชคดีที่พี่สะใภ้มาช่วยทำอาหารให้คุณพ่อกับคุณแม่ ส่วนฉันก็ยังทนทุกข์กับอาการที่ไม่บรรเทาเลย ดีที่ไม่ถ่ายท้องอีก...พยายามทานยาทุกอย่างที่คิดว่าช่วยได้รวมถึงยาโรคกระเพาะที่เคยเป็น และทานโจ๊กแต่ทานได้ไม่มาก
จวบจนเวลา 22.00 น. ก็ยังมีอาการคลื่นไส้ แก๊สในกระเพาะมาก แถมอาการภูมิแพ้กำเริบชนิดคัดจมูกมากหายใจแทบไม่ออก รับรู้ได้เลยว่าเรามีพิษในร่างกายซะแล้ว ไม่สามารถนอนได้... ต้องนำภาชนะมาไว้ข้างเตียงกลัวจะอาเจียนและรับไม่ทัน...ตอนนั้นเพลียก็เพลีย ตัดสินใจปิดไฟนอนสมาธิ สักพักน้องพยาบาลที่ไปลพบุรีด้วยกันโทรมาถามอาการ เธอแนะนำให้ทานยาเพิ่มอีก 1 ตัวคือยาช่วยให้นอนหลับที่คุณแม่ทานอยู่ เลยคิดว่าดีเหมือนกัน ทานยาทุกอย่างเสร็จปิดไฟนอนสมาธิ ดูลมหายใจ เพราะท้องไส้ยังสร้างทุกข์อยู่มาก จากนั้นก็ทำมรณานุสติที่เคยทำเป็นระยะๆ และแล้ว ภาพความทรงจำอันทรงคุณค่าต่อเวทนาในครั้งนี้ก็ปรากฏ
ภาพเหตุการณ์ในห้องนอนของฉันแห่งนี้เมื่อเกือบ 9 เดือนที่แล้ว ที่คุณแม่ป่วย จากการติดเชื้อในลำไส้ หลังจากไปงานเลี้ยงงานหนึ่ง แต่คุณแม่เป็นมากกว่าฉัน เพราะท่านเป็นโรคกระเพาะเดิมอยู่แล้ว ภาพของการที่ฉันตั้งใจดูแลปรนนิบัติอาการป่วยของคุณแม่ เนื่องจากท่านถ่ายบ่อยจนควบคุมไม่ได้ แพทย์เปลี่ยนยาฆ่าเชื้อในลำไส้ให้ถึง 3 ครั้ง 3 ขนาน แถมท่านอาเจียนบ่อย แต่ไม่อยากนอน รพ. ฉันเลยให้คุณแม่มานอนที่ห้องฉันเองโดยฉันนอนเฝ้าข้างๆ ต้องคอยดูน้ำเกลือที่ให้ทางเส้นเลือด ให้ท่านทานยาเคลือบกระเพาะทุก 2 ชั่วโมง ซึ่งท่านจะต้องเข้าห้องน้ำด้วยอยู่แล้ว โดยมีผ้าอ้อมสำเร็จรูปใส่อยู่ด้วย อีกทั้งต้องฉีดยาฆ่าเชื้อเข้าเส้นเลือดทุก 6 ชั่วโมง
ช่วงนั้นฉันดูแลท่านเป็นอย่างดี ด้วยหัวใจ...เนื่องจาก 2-3 ปีมานี้ ฉันตั้งใจจะดูแลท่านให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่อง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองหรือท่านจะละกายนี้ไปเมื่อใด...ภาพแต่ละภาพทยอยมาปรากฏในมโนสำนึก..ฉันรู้สึกเหมือนจิตยิ้ม เวทนาที่มีไม่รู้หายไปไหน เหมือนกายคือปากฉันยิ้มออกมาด้วยจางๆ จึงเริ่มรู้สึกตัว พบว่าเกิดปิติแห่งกุศลจิต และเมื่อเวทนาเริ่มกลับมาบ้างก็นอนสมาธิ รู้ลมหายใจต่อ จนหลับไปเมื่อใดไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่พบเวทนาและความผิดปกติของกาย ดูนาฬิกาเป็นเวลาตี 3 ครึ่ง จึงนอนสมาธิรู้ลมหายใจต่อจนหลับและตื่นอีกครั้งก็ 05.15 น. ซึ่งเป็นเวลาตื่นตามปกติ ลุกขึ้นด้วยความคิดและยิ้มภายในใจว่า วันนี้โชคดีเหลือเกินที่ยังมีอีก 1 วันที่จะมีความสุข ด้วยเวทนาไม่มาให้เห็น หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้าหวีผมเสร็จก็เดินลงไปเตรียมอาหารให้คุณพ่อกับคุณแม่เหมือนเคย ผิดก็แต่ว่าวันนี้ทำอาหารให้ท่านเสร็จ ขณะที่ทานโจ๊กอยู่ การระลึกรู้ปัจจุบันขณะมีน้อยแต่สัญญาในเรื่องของปีติจากการดูแลมารดาในครั้งเมื่อท่านป่วยกลับมาช่วยบรรเทาทุกข์เวทนาให้เราในตอนกลางคืน ก่อให้เกิดปีติแห่งความรักในบุพการีกำเริบหนักจนน้ำตาไหลพราก ขณะทานโจ๊ก
ฉันรู้สึกดีใจที่มีคุณพ่อกับคุณแม่ ดีใจที่มีท่านเป็นตัวอย่างแห่งคุณงามความดีให้กับตนเองหลายอย่าง แม้ท่านทั้งสองจะต้องแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อยกายและใจชนิดที่ตนเองเกิดมาก็ไม่เคยพานพบ ทั้งต่อครอบครัว สังคม ชุมชน โดยเฉพาะ ผู้ทุกข์ยาก ฉันปาดน้ำตา และทานโจ๊กต่อด้วยสติที่ตามรู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
เหตุการณ์นี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนให้กับฉันอีกเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการกระทำกิจอันเป็นกุศล เช่นบุญ หรือทาน การให้ต่างๆ ที่ฉันเคยรับทราบมาว่า ให้ทำครบสมบูรณ์ทุกขั้นตอน ซึ่งมีเพียง 3 ขั้นตอน ที่ฉันพอจะจำได้คร่าวๆ หรืองูๆ ปลาๆ แต่จำได้ขึ้นใจคือ
1. ก่อนทำ เริ่มด้วยกุศลจิต คือคิดตั้งใจทำ ด้วยจิตด้วยใจที่จะทำบุญ ทาน อันเป็นด้านกุศล
2. ขณะทำ ก็ทำด้วยจิตด้วยใจที่เป็นกุศล เบาสบาย สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีอกุศลมาแทรกทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ
3. หลังทำ ก็ยังคงรักษาใจและกายด้วยกุศลนั้น โดยทบทวนถึงสิ่งอันเป็นกุศลที่ได้กระทำลงไป บันทึกไว้ในใจ ทั้งตอนพึ่งกระทำเสร็จใหม่ๆ หรือหลังจากนั้น เช่นถ่ายรูปหรือบันทึกไว้ แล้ววันหลังจะได้กลับมาทบทวนดู อันจะก่อให้เกิดกุศลจิตต่อเนื่องไปได้อีก
เช้านี้ฉันกลับมาทบทวนเหตุการณ์ในการดูแลคุณแม่ที่ป่วยในครั้งนั้น ก็พบว่าฉันมี 3 ข้อนี้อย่างเต็มเปี่ยม ทำด้วยจิตใจแห่งความรักและกตัญญู และอ่อนโยนโดยมิได้มีหนังสือหรือใครบอกให้ทำในตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ย้อนรำลึกเพราะการดูภาพถ่ายเหมือนการไปทำบุญบริจาคทาน อื่นๆ..หรือมิได้บันทึกไว้และกลับไปอ่าน แต่กลับนึกขึ้นมาได้เองในช่วงเวลาแห่งทุกข์ตนเอง ซึ่งกลับทำให้ทุกข์ของตนเองบรรเทาเบาบางแล้วเกิดปีติสุข ยิ่งทำให้ตอกย้ำการทำกุศลในข้อ 3 ว่ามีความสำคัญมากเพียงใด เนื่องจากข้อนี้แหละที่ฉัน และหลายๆคนมักลืมทำ
จึงตั้งใจว่าวันนี้ฉันจะบันทึกเรื่องนี้เพื่อจะเก็บไว้เป็นบททบทวนของชีวิตในด้านกุศลอีกบทหนึ่ง ถึงแม้ว่าในตอนแรก ฉันคิดว่าสัปดาห์นี้วันหยุด 2 วันคงไม่มีเวลาบันทึกเนื่องจากมีงานรออยู่และยังเพลียๆ อยู่บ้าง
สวัสดีครับ คุณแหวว
สวัสดีค่ะคุณแหวว
เอาดอกไม้มาเยี่ยมไข้ค่ะ...หายดีแล้วใช่มั้ยคะ
เบิร์ดชอบที่คุณแหววสามารถเชื่อมโยงธรรมะกับการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งกุศลจิตที่คุณแหววกระทำมาโดยตลอด ทำให้คุณแหววสามารถ " ดับทุกขเวทนา " ในตอนนั้นได้
คุณความดี ความกตัญญูที่กระทำต่อพ่อ แม่เป็นกุศลสูงสุดอย่างหนึ่งเลยนะคะ...ท่านเป็นพระของลูกเสมอเลยไม่ว่ายามดี หรือยามเจ็บไข้ ทุกข์ท้อ...ท่านก็เป็นพระที่คุ้มครอง ปกป้องเราเสมอมา
ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับบันทึกดีๆ ที่ทำให้เบิร์ดยิ้มได้ในวันนี้
สวัสดีครับคุณแหวว
หายป่วยไวๆ นะครับ และรักษาสุขภาพนะครับ
มีดอกไม้กำลังยิ้มมาฝากนะครับ
สวัสดีค่ะคุณ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ...คุณ เบิร์ด สำหรับช่อดอกไม้ในยามพักฟื้น ...ตอนนี้ทั้งกายและใจดีขึ้นมากๆ...จนรู้สึกแปลกใจเมื่อเทียบกับอาการ และการรักษาด้วยยาในช่วงแรกๆค่ะ..
สวัสดีครับคุณแหวว
ผมเปิดบันทึกคุณแหววค้างไว้ตั้งแต่ยังไม่มีใครมาตอบ ถ้ารู้ว่าข้อความในบันทึกบอกถึงอาการป่วยคงรีบตอบแล้วครับ (คงไม่ยอมให้สองหนุ่มกับหนึ่งสาวนั้นแซงหรอก อิอิ)
เป็นบันทึกที่งดงามมากครับ การหยิบธรรมะมาใช้ได้ทันกาลในขณะที่เราทุกขเวทนานั้น หมายถึงผู้นั้นต้องฝึกปฏิบัติมาเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง มิเช่นนั้นคงทำอย่างนี้ได้ยากยิ่ง
อีกทั้งคุณแหววได้ทำกรรมดีไว้กับพระอรหันต์ประจำบ้านไว้มากมาย สิ่งเหล่านี้กลับมาช่วยเหลือคุณแหววได้ทันท่วงที
ข้อดีของการปฏิบัติธรรมนั้นก็เพื่อที่จะช่วยให้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างปกติสุข แม้กายจะป่วยไข้แต่ใจก็ไม่เป็นไปด้วย ยิ่งตอนที่เรากำลังจะลาโลกใบนี้ ขณะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเราได้ มีแต่ธรรมที่เราฝึกไว้ดีอยู่แล้วเท่านั้นที่จะช่วยได้
ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าผมคนหนึ่งที่ยังปฏิบัติสู้คุณแหววไม่ได้ เวลาเกิดทุกขเวทนาพยายามกำหนดแต่ก็ยากเต็มทน (ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง สุขเวทนา และ อทุขมสุขเวทนา) แต่จะเอาคุณแหววเป็นตัวอย่างครับ
หลายวันก่อนได้ซื้อหนังสือเล่มบางมาเล่มหนึ่ง ชื่อ "สู่ความตายอย่างสงบ" ซึ่งเข้ากับบันทึกคุณแหววได้อย่างดี เดี๋ยวจะเอามาบันทึกใหได้อ่านกันครับ
การป่วยครั้งนี้ผมมองว่าเป็นนิมิตที่ดีอย่างยิ่ง ขณะที่ร่างกายเราป่วยไข้ เรากลับได้สิ่งมีค่่าสิ่งหนึ่งมาแทน คือ การมีใจที่เข้มแข็ง ปลอดโรคภัยมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นสัญญาน บอกให้รู้ว่าชีวิตนี้สั้นนัก เวลาแต่ละวินาทีช่างมีค่าเหลือเกิน
ขอบคุณสำหรับบันทึกอันมีค่าครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณเม้ง สมพร ช่วยอารีย์
สวัสดีก่อนนอนค่ะคุณธรรมาวุธ
สวัสดีครับ
ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอ
ขอให้จิตเกษม ครับ
เพิ่งได้เข้ามา ขอโทษนะครับ ด้วยใจจริงครับ เป็นการแสดงออกที่วิเศษครับ ขอน้อมคาราวะ แต่ไม่ทันการณ์ เลยจิกดอกไม้มาครับ
ขอบคุณนะคะ คุณ Mr. ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ สำหรับการมาเยี่ยมเยือนในครั้งแรกและความเป็นกัลยาณมิตรด้วยจิตปรารถนาดี ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
และ ขอบคุณ คุณ สิทธิรักษ์ ที่ทำให้ยิ้มออกจากใจเมื่อใด้รับดอกไม้อีกครั้ง...(ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ..เห็นหน้าหมีแพนด้าก็น่ารักแล้ว)...ขอบคุณนะคะที่ทำให้ยิ้มตั้งแต่อ่าน จนกระทั่งบันทึกจบ ขอบคุณในจิตเมตตา-กรุณาค่ะ...
ขอบคุณค่ะ...คุณน้อง-อาจารย์ขจิต
เรียน คุณ พชรวรัตถ์
ผมรู้สึกยินดีที่ได้อ่านเรื่องราวของคุณ ในวงการของโรงพยาบาลยังมีคนศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่ โดยปฏิบัติจริงที่จิตตนเอง ไม่ต้องไปเข้าคอร์สที่วัด นับว่าเป็นวิธีที่ง่ายๆ แล้วก็ปรากฎผลทันที ผมขออนุโมทนาในสิ่งที่คุณทำ ผมก็ได้บุญต่อจากคุณไปด้วย และจะขยายไปให้ผู้อื่นในวงการโรงพยาบาลได้ฟังด้วย
ร่างกายของคนจะเป็นอย่างไร เมื่อเยียวยารักษาอย่างดีที่สุดแล้ว ก็สุดแล้วแต่ผลที่มันจะเกิด บังคับไม่ได้ ขอให้จิตใจสบายก็พอแล้วครับ
ศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์
สวัสดีค่ะ...คุณหมอศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์