ความรู้กับความคิดเห็น
อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณฯ มักจะพูดให้ศิษย์ฟังเสมอ คือ เรื่อง ความรู้กับความคิดเห็น
ท่านบอกว่า สังคมไทยเวลานี้ ชอบแสดงความคิดเห็น แต่มักจะไม่หาความรู้ให้ลึกและชัดเจนเพื่อมาแสดงความคิดเห็น ให้ความคิดเห็นนั้นตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบแสดงความคิดเห็นจากความรู้สึก ไม่แสดงความคิดเห็นจากความรู้ที่ชัดเจน เมื่อแสดงความคิดเห็นที่ไม่มีความรู้ ความคิดเห็นนั้นก็กลายเป็นความรู้สึกไป ความรู้สึกยิ่งเป็นตัวซ้ำเติม สรุปว่า มีแค่ความคิดเห็นกับความรู้สึก
ความรู้มี ๒ ขั้นตอน คือ
หนึ่ง ข้อมูลที่ชัดเจนถูกต้อง ซึ่งให้อย่างเป็นกลาง ไม่มีความคิดเห็นและความรู้สึกประกอบความรู้อย่างนี้ ภาครัฐและสื่อมวลชนต่างๆ มีหน้าที่นำเสนอแก่ประชาชน เพราะมีความเป็นกลางอยู่ในตัว ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไปกระทบกระทั่งใคร เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง ถ้าไม่รู้ข้อเท็จจริงจะไปแก้ปัญหาได้อย่างไร
สอง ความรู้คือปัญญาขั้นจัดสรรดำเนินการ ได้แก่ ความสามารถในการแสดงความคิดเห็น บนฐานของข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องนั้นๆ อย่างรอบด้านบริบูรณ์ที่สุด
เมื่อมีความรู้บริบูรณ์แล้ว จึงเหมาะสมที่จะแสดงความคิดเห็น และควรที่จะแสดงความคิดเห็นของตนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน เช่น การพูดว่า เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา เท่าที่ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นอย่างนี้ๆ ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นที่เป็นการตัดสินชี้ขาด
เท่าที่ปรากฏในสื่อ ส่วนใหญ่มักจะไปจับข้อมูลนิดๆ หน่อยๆ บางแง่บางด้านเท่านั้น เวลาแสดงความคิดเห็น ก็ตัดสินลงไปง่ายๆ ชี้ผิดชี้ถูก หนักไปกว่านั้น ก็เขียนด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงก็มี
หากมีความรู้ไม่พอ และอยากจะแสดงความคิดเห็นเท่าที่ทำได้ น่าจะเป็นการเสนอแง่คิดเท่านั้น ไม่ใช่การตัดสินชี้ขาด โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง.
คัดลอกจากหนังสือ วิถีแห่งปราชญ์ : ปฏิปทา จริยาวัตร ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
สวัสดียามเช้าค่ะคุณ..ธรรมาวุธ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ
ชอบจริงๆ " ความรู้ กับความคิดเห็น ".....^ ^
ชอบเพราะทำให้ย้อนกลับมาดูตัวเองและพบว่าต้องปรับปรุงแล้วววว ก็หลังๆ ( รวมทั้งแรกๆด้วยแหละค่ะ )เป็นความรู้สึกมากกว่าความรู้เยอะเลย...อิ อิ อิ ความรู้นี่ต้องเป็นความรู้ที่เป็นข้อมูล ร่วมกับความรู้ที่เป็นระดับของปัญญา ที่ทำให้เกิดความแตกฉานไม่ใช่ความรู้ที่เป็นการ " ท่องจำ " เหมือนนกแก้วนกขุนทองด้วยเนอะคะ...ดีจังเลยค่ะ ชอบจริงๆนะเนี่ย ^ ^...ยิ้มปากถึงหูเลย
ขอบคุณครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ
สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ
จริงค่ะที่คนมักแสดงความเห็นมากกว่าแสดงความรู้
ดูข่าวแต่ละช่องทีไร รู้สึกเหมือนคนอ่านข่าวไม่แสดงความรู้ในข่าวแต่แสดงความเห็นเสียมากกว่า แล้วความเห็นนี่แหละที่กระตุ้นให้คนเกิดกิเลสต่างๆ มากขึ้น เข้าสู่ความวุ่นวายมากขึ้น จริงอย่างที่ท่าน ป.อ. ปยุตโต ว่าไว้เลยค่ะ
คนแสดงความเห็นมากกว่าความรู้จนกระทั่งคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าคนที่แสดงความเห็นมากๆ นั้นฉลาดหรือเก่งไปด้วย เกิดมิจฉาทิฎฐิกันขึ้นไปใหญ่... เรื่องบางเรื่องการแสดงความเห็นของคนก็ยังทำให้ฆ่ากันตายได้ด้วย ... ไม่มีที่สิ้นสุดเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเวลารับฟังก็ต้องรับฟังด้วยความเข้าใจ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงจะหยุดวงจรนี้ได้ด้วยตัวเราอีกทางหนึ่งค่ะ..
ขอบคุณที่เอาเรื่องดีๆ มาเขียนเตือนกันนะคะ...
แวะอ่าน
ถูกต้อง เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะ เดี๋ยวนี้ คนเราสมัยนี้ มักจะไม่สามารถแยกออกได้ระหว่าง ความรู้ กับ ความคิด ออกจากกันได้ บางทีเหมารวมกันไปหมดว่า ความรู้ กับ ความเห็น นั้นเป็นอันเดียวกัน ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว
หากได้ปฏิบัติธรรมแล้ว จะรู้เลยว่า อย่างไหนความรู้ อย่างไหนความเห็น และ เข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิมมากนัก
สุบ สงบ เย็น
เดียวดายกลางสายฝน
สวัสดีตอนเที่ยงคืนครับคุณแหวว
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีหลังเที่ยงคืนครับ อ.กมลวัลย์
สังคมเราเป็นกันอย่างนี้ทุกซอกทุกมุมจริงๆ ครับ
ผู้ที่มีส่วนในเรื่องเหล่านี้อันดับต้นๆ เลยคือสื่อครับ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต
เคยสังเกตเห็นไหมครับว่าพิธีกรข่าวหลายคน ตอนแรกๆ ก็เก่งครับ ข้อมูลแน่น วิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจ แต่พอดังเข้า งานเยอะ เวลาน้อย ทีนี้เหลือแต่ความเห็นครับ ก็วันๆ อ่านข่าวทั้งวัน วันละหลายๆ ช่วง จะเอาเวลาในไปหาข้อมูล
ถึงขั้นตอนนี้แหละครับ คนที่ติดตามเขามาก็เลยเชื่อเขาเต็มๆ กว่าจะรู้ตัวความเลวร้ายต่างๆ ก็เกิดเกินเยียวยาแล้วครับ
ถ้าไทยพุทธได้ศึกษาความเป็นพุทธตัวเองแค่สักเสี้ยวหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้ก็คงเกิดได้อยากนะครับอาจารย์
ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับ
ถ้าถ่ายน้ำหนักจาก "ความรู้คู่คุณธรรม" ไปสู่ "ความรู้คู่การกระทำ" บ้าง สังคมไทยคงไม่มีลักษณะเป็นสังคมแห่งการวิพากษ์แบบนี้หรอกครับ
ก่อนจะเป็นการกระทำได้ ก็ต้องมีโอกาสได้ทำเสียก่อน แต่จะด้วยความเป็นห่วงเป็นใย หรือว่าความไม่ไว้ใจก็ตาม โอกาสแสวงหาได้ค่อนข้างยากนะครับ เมืองไทยนี้แปลก หาผู้ใหญ่ใจกว้างไม่ค่อยเจอ ยิ่งใหญ่โต ก็บวมคับบ้านคับเมือง
กฏระเบียบต่างๆ ก็ออกมาในลักษณะที่ไม่ไว้ใจใครเลย จนไม่มีประโยชน์เพียงพอที่จะทำอะไรให้ก้าวหน้า ทำได้ดีก็ต้องไปแข่งกับเด็กเส้น ถ้าพลาดตายสถานเดียว (ผมเขียนเว่อร์ไป แต่คงได้ความรู้สึก)
แม้แก้ไขอุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้ในทันที แต่เมื่อพบใครทำอะไรได้ดี ผมคิดว่าให้กำลังใจเขาอย่างจริงใจจะช่วยได้ครับ ให้ทุกคนเห็นว่าเมื่อทำอะไรได้ดี ก็มีคนชื่นชม ไม่ใช่ทำแล้วหายไปเฉยๆ กับสายลม
เห็นด้วยกับบันทึกของคุณธรรมาวุธครับ
สวัสดีค่ะคุณน้อง..ธรรมาวุธ
สิริพร กุ่ยกระโทก
โรงเรียนพระยาประเสริฐสุนทราศรัย(กระจ่าง สิงหเสนี)
70/8 ซอยคุณประสะนี ถนนลาดพร้าว 94
วังทองหลาง วังทองหลาง
กรุงเทพ10310
ขอบคุณล่วงหน้า ต้องส่ง ซองกับแสตมป์มาด้วยหรือเปล่าคะ
อิอิ..ล้อเล่น
สวัสดีครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับครูอ้อย
ธรรมะสวัสดีครับ