ลายผ้าข้างบนที่นำมาลงนี้เป็นลายแมงมุม โดยมีการผูกลดลายที่เป็นโยงใยคล้ายใยแมงมุม ลายนี้เป็นลายที่ได้รับความนิยมมาก
เมื่อสืบหาที่มาของลวดลายจากชาวบ้าน พบเรื่องของแมงมุมอยู่ในคติชนของอีสานอยู่สองเรื่องนั้นคือแมงมุมในคติชนเรื่องพระยาคันคาก และทุงแมงมุม
ในแนวคิดคติวิทยาเรื่องพระยาคันคากเมื่อครั้งไปปราบพระยาแถนที่ไม่ยอมให้ฝนแก่โลกมนุษย์ทำให้พระยาคันคากต้องไปรบ คราวนั้นได้รับความร่วมมือจากบริวารที่เป็นสัตว์มากมายช่วยสร้างถนนเชื่อมโยงจากโลกไปสวรรค์แดนแห่งพระยาแถน
สัตว์ที่ว่ามีแมงมุมร่วมด้วยที่ชักใยและเชื่อมโยงให้ถนนที่ร่วมกับสัตว์อื่น ๆ สร้างจนถึงสวรรค์แดนพระยาแถนได้และคราวนั้นพระคันคากก็ชนะ คติวิทยาเรื่องนี้นำมาซึ่งการเล่นบั้งไฟด้วยเพื่อเตือนพระยาแถนไม่ให้ลืมให้ฝนแก่ชาวนาอีสาน
การเชื่อมโยงโลกมนุษย์กับโลกแห่งสวรรค์ของแมงมุมนั้นแสดงอย่างเป็นรูปธรรมผ่านศิลปหัตถกรรมของชาสบ้านอีสานที่เรียกว่า ตุงหรือ ทุงใยแมงมุม หรือ ยู้แมงมุม ก็เรียก
ตุง หรือ ทุง ในความเชื่อของชาวอีสานเป็นสื่อนำวิญญาณของผู้ล่วงลับไป แล้วที่มีผู้ถวายตุงให้ขึ้นสวรรค์ หรือหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากวิบากกรรม
โดยตุงแมงมุมมีลักษณะสำคัญคือตุงที่ทำด้วยเส้นด้ายหรือเส้นไหมผูกคล้ายใยแมงมุมทั้งประเภทสี่ด้าน หกด้านโดยใช้เส้นไหมหรือเส้นด้านที่มีหลากหลายสีสันมัดกับไม้ไผ่ที่เหลาแล้วขนาดหนึ่งฝ่ามือ มัดและม้วนจนเป็นวงรอบคล้ายใยแมงมุมที่โยงไปโยงมา การที่แมงมุมมีใยนี่เองที่ชาวบ้านใช้แทนการเชื่อมโยงวิณญาณ บุญกุศล ไปสู่ภพหลังความตายได้เป้าหมายคือสวรรค์นั้นเอง
เมื่อเสร็จแล้วจะนำมาร้อยเข้าด้วยกันหลายอันเป็นสายเดียวหรือร้อยเป็นโมบายแล้วนำไปตกแต่งศาลาหรือปริมณฑลที่ทำพิธีทางศาสนา การใช้ตุงชนิดนี้ขึ้นอยู่กับความนิยมของแต่ละหมู่บ้านดังนั้นตุงแมงมุมเปรียบเสมือนตัวกลางเชื่อมโยง ในการติดต่อระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับมนุษย์
การทำตุงในชุมชนทางภาคอีสานนั้นชาวบ้านถือว่าเป็นประเพณีที่ศักดิ์สิทธิ์และได้บุญกุศลมาก มีความเชื่อที่ว่าตุงนั้นจะสามารถช่วยดึงให้วิญญาณที่ตกนรกกลับขึ้นสวรรค์ได้ดังนั้นก่อนวันบุญชาวบ้านต่างมาช่วยกันทำตุงเพื่อตกแต่งวัดวาอารามให้สวยงามต่อไป
นี่เป็นความเชื่อและที่มาของลวดลายผ้าอีสานที่ถอดความผ่านคติชนวิทยา