เมื่อลูกสาวผม..ไม่อยากเรียนหมอ


ทางกองเชียร์ของญาติพี่น้องก็บอกว่า ควรจะเรียนคณะแพทยศาสตร์ แต่เจ้าตัวกลับคิดว่า การปรับตัวมาเรียนคณะทันตแพทย์ ก็ถือว่า ไกลสุด ๆ แล้ว อาจจะไม่ไหว (ในเชิงนิสัย) ที่จะปรับตัวไปเรียนคณะแพทยศาสตร์
 

ปีนี้เป็นปีที่ลูกสาวผมมีอายุการเรียน ที่จะสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย

ญาติพี่น้องได้ตั้งความหวังไว้ว่า น่าจะเรียนคณะหนึ่งคณะใดที่อยู่ในกลุ่มของ หมอ

  

โดยนิสัยพื้นฐานของลูกสาวผมนั้น เป็นคนชอบศิลปะ อยากจะเรียนคณะสถาปัตย์ มากกว่า

  

แต่เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการแข่งขันในการทำงานจริงๆ แล้ว เราก็มาพิจารณาว่าการเรียนคณะสถาปัตย์อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไปเมื่อออกมาทำงาน ไม่ถูกกับนิสัยมากนัก จึงนำมาพิจารณาแบบพบกันครึ่งทาง ระหว่างความต้องการส่วนตัวด้านการทำงาน "ศิลปะ" กับ ความต้องการความอยากเห็น "หมอ" ของญาติพี่น้อง

  

จึงมาได้ข้อสรุปว่า คณะทันตแพทย์ น่าจะเป็นคณะที่ดีที่สุด เพราะมีทั้งความเป็น "หมอ" และสามารถใช้ "ศิลปะ" ในการประกอบอาชีพได้ด้วย เพราะถือว่า ถ้าหมอฟันทำฟันให้ใครได้สวยแล้ว ก็น่าจะเป็นหมอฟันที่ดี

  

สิ่งเหล่านี้ถือว่า เป็นการปรับตัวอย่างประนีประนอมระหว่างตนเองและญาติพี่น้องแล้ว

  

แต่ด้วยความบังเอิญว่า ทุกคนก็ไม่แน่ใจว่า ลูกสาวของผมจะสอบเข้าคณะทันตแพทย์ ได้จริงหรือเปล่า ก็เลยลองไปสอบคณะแพทย์สำรอง ไว้ด้วย

  

แต่ผลปรากฏว่า

สอบได้ทั้งสองแห่ง ก็เลยเป็นปัญหาว่า ควรจะเรียนคณะทันตแพทย์ หรือ เรียนคณะแพทยศาสตร์ ดี 

ทางกองเชียร์ของญาติพี่น้องก็บอกว่า ควรจะเรียนคณะแพทยศาสตร์ แต่เจ้าตัวกลับคิดว่า การปรับตัวมาเรียนคณะทันตแพทย์ ก็ถือว่า ไกลสุด ๆ แล้ว อาจจะไม่ไหว (ในเชิงนิสัย) ที่จะปรับตัวไปเรียนคณะแพทยศาสตร์ เพราะอาจจะไม่ได้ใช้งานศิลปะในการประกอบอาชีพ

  

ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะผมก็ไม่เคยเป็นหมอ แล้วก็ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะด้วย

  

จึงหวังขอพึ่งท่านผู้รู้ที่อาจจะเคยเรียน เคยรู้เรื่องหมอ หรือเป็นหมอก็แล้วแต่ ให้ความเห็นกับผมหน่อยว่า ผมควรจะพูดกับลูกสาวว่าอย่างไร ว่าคณะแพทยศาสตร์ มีงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ที่จะใช้ในการประกอบอาชีพหรือไม่ และทางด้านทันตแพทย์ ก็เป็นงานทางด้านศิลปะ หรือไม่ ตอนนี้เป็นสองทางเลือก ครับ ว่าจะเรียนคณะไหนดี

  

ตอนนี้ ได้ไปมอบตัวเข้าคณะแพทย์แล้ว แต่ก็ยังอาจจะสละสิทธิ์ได้ เพราะจะต้องมอบตัวเข้าคณะทันตแพทย์ในวันที่ ๑๗ มกราคม นี้

  

ใครมีความเห็นที่จะช่วยเหลือผมได้ ขอหน่อยนะครับ ผมจะได้มีเรื่องไปคุยกับลูกสาวได้อย่างชัดเจน เพื่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเขาเอง ที่อาจสามารถตอบสนองกิเลสของญาติพี่น้องได้ด้วย

  ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ.....
หมายเลขบันทึก: 71775เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2007 21:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 18:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (43)

เป็นที่น่าเสียดายนะคะอาจารย์...ที่ลูกสาวอาจารย์ไม่ได้เรียนสถาปัตย์...เพราะศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การให้ผู้เรียนเรียนเรื่องการออกแบบ...ทางด้านสถาปัตยกรรมเท่านั้น...หากแต่เป็นการสร้างคนให้ฝึกการคิดที่เป็นระบบ...สามารถสร้างคนให้นำสิ่งที่เป็นนามธรรมออกมาให้เป็นรูปร่างหรือที่เราเรียกว่ารูปธรรมได้...

กะปุ๋มมีทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกัน..รุ่นน้องและรุ่นพี่ที่รู้จัก เรียนในศาสตร์นี้หลายคน ยอมรับเลยคะว่ากลุ่มคนที่เรียนในศาสตร์นี้ล้วนจบออกมาเป็นคนฉลาด คิดอะไรที่เป็นระบบ ซึ่งคนในศาสตร์อื่นกว่าจะคิดได้ ก็ต้องเรียนต่อในระดับโท-เอก...และที่สำคัญ เป็นการสร้างคนให้มีความเป็นคนในระดับจิตวิญญาณดีคะ...

จึงรู้สึกเสียดายยิ่งนัก...แต่ก็ไม่เป็นไรคะ...กะปุ๋มคิดว่า สิ่งที่น้องเขาต้องเลือก..ให้มากที่สุด คือ ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุขในระดับจิตวิญญาณมากว่าความรู้สึกมีความสุขเพียงแค่ในระดับมาตรฐานการยกย่องจากสังคม.....

Y__* อาจารย์อาจด่ากะปุ๋มก็ได้นะคะที่มาวิพากษ์เอาตอนนี้..แต่ก็ขอยอมโดนด่าคะ...เพราะรู้สึกเสียยิ่งคะ เพราะคนเรายังเน้นในเรื่อง...การยอมรับมาตราฐานจากสังคม..มากกว่าที่ยอมรับในเรื่องระดับจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์...จึงได้แต่อ่านเรื่องราวของน้องเขาด้วยความรู้สึกที่เห็นใจยิ่งนัก...ที่จะต้องเดินต่อไปในชีวิตที่ตนยากที่จะกำหนดหรือเลือกได้ด้วยตนเอง...

ด้วยความเคารพและขออภัยอาจารย์ด้วยใจจริงที่จะต้องเข้ามาแลกเปลี่ยน...ในประเด็นที่อาจเสี่ยงต่อการกระทบความขุ่นมัวในอารมณ์ได้คะ

ขอบคุณคะ

กะปุ๋ม

ลูกสาวของอาจารย์เก่งมาก ๆ เลยนะคะ  ยินดีด้วยคะ  แต่อาจารย์คะ   บางทีเราน่าจะให้น้องเค้าเลือกเรียนที่เค้าอยากเรียนนะคะ   จะได้เรียนอย่างมีความสุขนะ  แต่ก็เข้าใจว่า พ่อ ก็ห่วงอนาคตของลูก  แต่อนาคตของลูก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือเป็นทันตแพทย์  อนาคตก็ไม่น่าเป็นห่วงทั้ง 2 อย่างเลยย 

 

อยากรู้จังว่าอาจารย์เลี้ยงลูกอย่างไรถึงเรียนเก่งแบบนี้   สงสัยคงเก่งเหมือนคุณพ่อนะคะ  ยิ้ม ยิ้ม

คุณกะปุ๋มครับ

ผมรู้สึกดีมากที่คุณกะปุ๋มแสดงข้อมูลออกมาด้วยความจริงใจ

ครับ คงจะเก็บเป็นข้อมูลเพราะเราเลยเส้นนี้มาไม่น้อยกว่า ๒ ปี

ผมหมายถึงการเตรียมตัวนะครับ

แล้วคุณกะปุ๋มคิดว่าคณะแพทย์ป็นอย่างไรครับ

น้องนิวครับ

ขอบคุณครับ ผมก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่ทางญาตืๆมองว่าน่าจะลองเรียนแพทย์ดูก่อน ไม่ชอบแล้วค่อยหาทางขยับ

ลูกสาวผมเป็นคนสมองปานกลาง รับผิดชอบ ขยันเรียน

ผมสอนว่าความรู้ (และปัญญา)เป็นสมบัติที่ดีที่สุด

ผมลงทุนกัยลูกเรื่องภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กทั้งสองคน

ลูกชายกล้าเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งที่หลักสูตรไม่บังคับ

และลูกสาวได้ทั้งอ่าน พูด และเขียน

และเขียน diary เป็นภาษาอังกฤษทุกวัน

ครอบครัวผมใช้ภาษาต่างประเทศในบ้านอย่างให้เป็นธรรมดาๆ

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งครับ

เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่น้องแล้วครับ...ผมคิดว่าอยากเรียนอะไร ชอบอะไรมากที่สุด อาชีพไหนก็สำคัญแตกต่างกัน

............

 ....." คือ ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุขในระดับจิตวิญญาณมากว่าความรู้สึกมีความสุขเพียงแค่ในระดับมาตรฐานการยกย่องจากสังคม....." (กะปุ๋ม)

.............

ผมชอบประโยคนี้ครับผม

...............

นอกเรื่องนิดหน่อยครับ   ผมฟังเพลงในBlog แล้วอดสลับดูภาพของอาจารย์ไม่ได้   :)

ศิริลัคนา เปี่ยมศิริ

อาจารย์คะ 

น้องสาวของดิฉันเคยพูดว่า  ถ้าชอบศิลปะ ก็ลงมือเลย วาด หรือ ปั้น หรืออื่นๆ   รักษาความชอบเอาไว้ให้นาน ๆ  ทำบ่อย ๆ 

เป็นคณะที่เป็นการันตรี...ต่อสังคมว่าคุณมีที่มากพอที่จะเรียนได้...หรือการันตรีว่าคุณเป็นคนขยันจริง...แต่หาใช่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์ในแง่ "ชีวิต"....เสียทั้งหมดนะคะ....

ถามว่า...กี่มากน้อยคนที่เป็นแพทย์แล้วมีความสุขในชีวิต....ความสุขในระดับจิตวิญญาณนะคะ อาจมีแพทย์มาอ่านเจอแล้วเถียงหรืออาจขั้นด่ากะปุ๋มได้ว่า..."หาว่าแพทย์ไม่มีความสุข"...ก็แหม..ดูวิถีการดำเนินชีวิตในระดับผิวๆ..ก็หาสุขยากคะ...อยู่ใกล้รังสีแห่งความสุขยังไม่แผ่ออกมาเลยคะ...รังสีแห่งความตึงเครียดและความเป็นเครื่องจักรกลกลับมีมากกว่า...

แต่หากจะมีคนมาแย้งว่าเป็นแพทย์แล้วสบาย เพราะคนในสังคมนับหน้าถือตาให้เกียรติ ยกย่อง มีเงินเยอะ ร่ำรวยง่าย กะปุ๋มก็คงไม่ขอเถียงในประเด็นนี้นะคะ..ยอมรับ...หากแต่อยากถามว่า..."ชีวิต"..ที่แท้จริงที่เป็นอยู่คืออะไร...หากตอบได้แล้วไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือทันตแพทย์ก็อาจจะมีความสุขในระดับจิตวิญญาณได้ หากสามารถฝ่ากระแสแห่งการหลงในอัตตาของตนเองไปได้....

ให้กำลังใจลูกสาวอาจารย์คะ...

(^_____^)

กะปุ๋ม

ขอยืนยันตามคำเขียนของ คุณกะปุ๋ม อีกครา...ครับ

ขอเพิ่มไปถึงน้อง...อีกสักนิดนะคะ...

"เมื่อได้ตัดสินใจอะไรแล้ว...ก็ขอให้ทำสิ่งนั้นอย่างมีความสุข...เพราะเราได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว...เป้าเราไม่เอนเอียงก็เป็นพอ...ที่ว่าไม่เอนเอียงนั้นหมายถึงอะไร...ก็หมายถึงว่า...เราจะปล่อยเราไปตามกระแสแห่งอัตตาวิชาชีพ...หรือจะนำพาตนไปตามวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งจิตและวิญญาณที่งดงาม ทำสิ่งที่สรรสร้างดั่งเช่นแพทย์ดีดีที่หลายท่านมีวิถีที่งดงามแห่งความดีอย่างแท้จริง"....

หากได้เดินแล้วก็เดินต่อไปอย่างมั่นใจในจุดยืนของตนเอง...กะปุ๋มเชื่อว่าในความเป็นคนที่มีสมองสองซีกที่ทำงามอย่างสมดุล...ย่อมนำพาความงดงามและดีงามมาสู่ชีวิตได้คะ...ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร...

อย่าคิดอะไรมากเลยคะอาจารย์...ทุกกอย่างถูกกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้แล้ว ดังนั้น...ก็ขอให้น้องทำในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน...อย่างมีความสุข...และเป็นจริงอยู่ ณ ขณะนี้คะ

(^_____^)

กะปุ๋ม

ลูกสาวผมก็จะให้เรียนหมอเหมือนกัน แต่..เป็นหมอลำ เพราะชอบฟังเพลง ร้องเพลง แถมหัวขี้เลื่อย

ขอบคุณครับคุณกะปุ๋มที่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนมากครับ

และขอบคุณความเห็นของคุณจตุพร และคุณตุ๊ครับ

ผมเข้าใจเรื่องที่อาจารย์เคยพูดว่า ชักแม่น้ำทั้งห้า

วันนี้เป็นกำลังใจให้น้องได้พบสิ่งที่ดีที่สุด กับการเริ่มต้นชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว  ครับ

ขอบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองในฐานะที่เคยตกอยู่ในสภาวะเดียวกับลูกสาวอาจารย์ค่ะ ว่าถึงตอนนี้ก็คงเปลี่ยนชีวิตไม่ได้แล้ว ต้องเลือก 2 อย่างนี้เท่านั้น ดังนั้นขอให้เลือกสิ่งที่จะทำให้สามารถยืดหยุ่นชีวิตได้ในภายหลังมากกว่าดีกว่านะคะ

ซึ่งการเรียนแพทย์จะมีความยีดหยุ่นในการเรียนต่อยอดมากกว่าทันตะแน่นอนค่ะ และเมื่อจบแล้วก็มีสาขาเชี่ยวชาญให้เลือกได้หลายรูปแบบกว่า

การเรียนแพทย์ มีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตแบบอื่นๆเพื่อเติมเต็มชีวิตได้ แต่ทันตะฯดูเหมือนจะเลือกแล้วไปหน้าได้อย่างเดียวค่ะ แม้จะดูเหมือนมีศิลปะแต่เป็นแบบเลือกเพิ่มเติมไม่ได้มากมายนักค่ะ แต่เราจะได้เห็นคุณหมอที่มีงานอดิเรกอื่นๆมากกว่าคุณหมอฟันนะคะ

ต่ออีกเกี่ยวกับความรู้สึกที่ตัวเองได้รับค่ะ ว่าเป็นคนเรียนดีมากมาแต่เด็ก จึงถูกญาติพี่น้องกะเกณฑ์เช่นกันค่ะ จริงๆแล้วเป็นคนชอบภาษามากกว่าวิทยาศาสตร์

ถึงตอนนี้เรียนมาได้จนจบปริญญาโทเอกจากเมืองนอกเมืองนา ก็เพราะโดนกะเกณฑ์ เนื่องจากใครๆก็บอกว่าเป็นคนที่มีศักยภาพที่ทำได้ ควรจะทำ..ไม่ให้เสียโอกาส จริงๆแล้วหากให้เลือกได้เอง ก็จะไม่เลือกทางที่ผ่านมาค่ะ

แต่เป็นคนที่ใครให้ทำอะไร ถ้าทำได้ก็ทำอย่างดีที่สุดเสมอ พยายามทำใจให้รักสิ่งที่ต้องทำได้เสมอ แต่ถ้าถามถึงความสุขจริงๆ ลึกๆแล้วก็ยังคงอยากมีโอกาสได้เลือกเองอยู่ค่ะ แม้ใครๆจะเห็นว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบแล้วก็ตามที จึงเป็นที่มาของความตั้งใจอย่างแรงกล้าสำหรับลูกชายทั้ง 3 คนที่ดูเหมือนจะเป็นเชื่อไม่ทิ้งแถวค่ะ ว่าจะไม่กะเกณฑ์ใดๆ ไม่ว่าลูกจะเรียนดีขนาดไหนก็ตาม จะให้เขาได้เลือกทางเดินของเขาเอง โดยเราเพียงบอกเล่าสิ่งที่ลูกอาจจะรู้ไม่ถ้วนทั่วถึงรายละเอียดของแต่ละวิชาชีพเท่านั้น

คิดว่าคงมีเด็กไทย คนไทยอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่สามารถใช้ศักยภาพของตัวเองในทิศทางที่ตนเองต้องการได้เต็มที่ เราจึงเห็นคนเก่งที่ไม่อยากมีคุณธรรมมากมายค่ะ เพราะพวกเขาคงไม่ได้รับการชี้ทางที่ถูกต้องให้กับความคิดมาตั้งแต่ตอนเลือกอาชีพนี่แหละ คงมีคนโชคดีแบบตัวเองที่เผอิญเป็นคนมองโลกในแง่ดีไม่มากนัก

ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้ได้พูดเรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดชีวิตค่ะ 

  • น่าให้เขาเลือกเรียนตามที่เขาสนใจครับอาจารย์ พอไปทำงานเขาจะมีความสุขในการที่เขาเลือกเอง
  • ขอบคุณมากครับ
   เห็นด้วยกับคุณโอ๋-อโณ นะคะอาจารย์ เพราะแพทย์สามารถที่จะเลือกทางข้างหน้าได้อีกหลายทาง อาจเป็นหมอเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านใดด้านหนึ่ง นั่นก็หมายถึงว่า ณ จุด จุดหนึ่งน้องยังได้มีทางเลือกอยู่นะคะ
อาจารย์คะ ขออนุญาตให้ความเห็นตามประสบการณ์ที่มีหลานเป็นหมอ 3 คนค่ะ ...หนึ่งในนั้นไม่เคยอยากเป็นหมอและที่บ้านก็คิดว่าเขาคงเรียนวิศวะมากกว่าเพราะอุปนิสัยค่อนข้างชอบสังคมไม่ชอบแข่งขันใครและชอบคณิตศาสตร์ แต่ว่าเขาอยากลองว่าคะแนนตัวเองได้ไหมพอติดเขาก็เริ่มเสียดายเลยไปเรียน...ตอนเรียนปี 1-4 เขาดูไม่ค่อยมีความสุขเลยเพราะมันไม่ใช่ตัวเขา ตอนนี้เขามีความสุขที่ตัวเองได้ช่วยคนอื่น ...กว่าจะมาถึงตอนนี้ต้องเป็นการเรียนไปพร้อมๆกันทั้งครอบครัวด้วยค่ะ ..เพราะว่ามันจะมีช่วงหนึ่งที่การเรียนจากอาจารย์บางท่านจะส่งเสริมให้นักศึกษาแข่งขันกันและยกตัวว่าอาชีพเหนือกว่าคนอื่น....ทางครอบครัวต้องพยายามให้เขากลับมาอยู่ในโลกของการให้อภัย ของการเคารพผู้อื่น...เรียกว่าสู้กับความคิดของอาจารย์เขานั่นแหล่ะค่ะ...ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วมีกิจกรรมเล่นฟุตบอล เล่นดนตรีที่เขาชอบ และตัดสินใจอะไรได้เองค่อนข้างดีทีเดียวค่ะ....เล่าประสบการณ์นะคะว่าครอบครัวต้องเจออะไรบ้าง..และครอบครัวก็สามารถช่วยสร้างหมอที่ดีและมีความสุขได้ด้วยแม้ว่าตอนแรกเขาจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความอยากเป็นหมอเท่าไหร่นักค่ะ

ขอบคุณสำหรับความเห็นจากทุกท่านครับ

ผมได้บอกให้ลูกสาวผมเข้ามาอ่านแล้ว และพิมพ์บางส่วนไปให้เข่าเมื่อก่อนเที่ยงคืนที่ผ่านมา

คุณกะปุ๋มก็เปิดประเด็นได้คมเฉียบตามสไตล์นักจิตวิญญาณ และมาตอกย้ำเป็นระลอกๆ

ไล่เลียงมาในกองหนุนโดยน้องนิว คุณจตุพร คุณตุ๊(สิริลัคนา) ท่านขุนพลเม็กดำ ท่านครูบา อาจารย์สำเนียง คุณขจิต

มาปิดประเด็นที่คุณโอ๋-ประสบการณ์ตรงของตัวเอง และอาจารย์จันทรรัตน์ที่มีหลานหมอตั้งสามคน

เรียกว่าหลากหลายมุมมองมาก

ขอขอบคุณแทนลูกสาวผม และจากผมที่จะทำให้ผมสื่อกับลูกสาวได้ง่ายขึ้น

นี่คือพลังเคริอข่ายที่ "อุดม" ครับ

ขอบพระคุณอีกครั้งครับ

ครูบาสุทธินันท์คะ ส่งลูกสาวมาเรียนกับชาวบ้านที่นครพนมซีคะ เรามีวงหมอลำที่เล่นกันทั้งคืนทั้งวันจนเครื่องเสียงรถที่เหมาไปดูงานไหม้ พังไปเลยค่ะ รับประกันคุณภาพ

อ่านจากความเห็นของแต่ละท่าน เหมือนจะครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ แง่มุมที่ช่วยในการตัดสินใจให้กันลูกสาวของอาจารย์แล้วนะคะ แค่อยากจะเสริมจากประสบการณ์ของตัวเองที่ต้องตัดสินใจเช่นกัน

คุณพ่อเป็นสถาปนิก จึงมีความรู้สึกชอบงานออกแบบเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ประกอบกับชอบคณิตศาตร์ แต่คุณพ่อไม่อยากให้เรียนสถาปัตย์ ด้วยความคิดเห็นเหมือนอาจารย์เลยค่ะ ช่วงนั้นคุณพ่อมองเห็นว่าควรจะเรียนภาษา แต่แนนไม่ชอบภาษาอย่างมาก ถึงมากที่สุด ตกได้เป็นตก

พอดีโชคดีทที่มัธยมปลายเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ และรู้สึกว่ามันได้ใช้ตรรกะของคณิตศาสตร์ ดังนั้นเพราะพบกันครึ่งทาง จึงทิ้งที่จะสอบเข้าสถาปัตย์ ไปสอบเข้าคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยอัญสัมชัญแทนค่ะ คุณพ่อชอบให้เรียนภาษา คุณลูกถูกใจได้เรียนคอมพิวเตอร์

แต่อีกกรณีของเพื่อนที่สนิท คุณพ่ออยากให้เรียนพยาบาล คุณลูกขัดไม่ได้ ไม่ชอบเป็นที่สุด ไม่เหมาะกับบุคคลิกอย่างยิ่งในสายตาเพื่อนๆ เค้าบ่นตลอดสี่ปี แต่พอจบออกมา ประกอบอาชีพพยาบาลมาได้เกือบจะสิบปี วิญาณพยาบาลเข้าสิงค่ะ ตอนนี้รักในวิชาชีพสุดๆ จนบางครั้งกลับมานั่งขำตัวเองตอนเรียนว่าเด็กที่เกเรไม่ชอบเรียนพยาบาลคนนั้นในอดีต ตอนนี้จบปริญญาโทพยาบาลใบที่สองไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นบางครั้งความรักในอาชีพอาจจะเกิดหลังจากการรักที่จะเรียนเพื่ออาชีพนั้นก็เป็นได้นะคะ เพียงแต่ว่า...ตัดสินใจให้ดีๆ เพราะถ้าได้ตัดสินใจไปแล้ว จงอย่ามานั่งเสียใจ ฝากให้กำลังใจน้องนะคะ เลือกสิ่งที่คิดว่าเราจะสามารถรัก...และรักได้นานๆ

^____^

ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์

  ไปแน่ ถ้าเขาไปอยู่กับคุณตุ๊กสัก 3 ปี เรียน กศน.ที่โน่นให้จบ.ม.6 กลับเรียนมหาวิทยาลัยชีวิตของท่านศักดิ์พงษ์ อีก 3 ปีก็ได้เป็นบัณฑิต นี่หมายถึงว่าถ้าเขาอยากเรียน หรือตีความหมายว่าการเรียนคือต้องเข้าโรงเรียนเท่านั้น  แต่ผมคิดว่าแนวคิดนี้จะปรับเปลี่ยนไปสุกดกู่ก็ได้  มหาวิทยาลัยมีหน้าที่จัดสอบ ประเมินรักษาคุณภาพ ส่วนการเรียนคุณจะเรียนมาจากไหนอย่างไรก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าแน่นภูมิแล้วก็มาสอบ ถ้าเป็นอย่างนี้การศึกษาถึงจะคลายเครียดและปรับเปลี่ยรูปแบบได้ บทบาทครูเครื่องคงไม่หยุดแค่นี้  มันจะพัฒนาไปจนใกล้เคียงกับครูคน อาจจดีกว่าในบางเรื่อง และด้วยกว่าในบางกรณี แต่ทั้งนี้ครู2 ระบบนี้จะเป็ฯของกันและกัน

คุณต๊ นึกออกไหมครับ เดี๋ยวนี้ถ้าเราอยากได้คอมพิวเตอร์ มาตรฐานไหนมีระบบมีศักยภาพระดับได้ เราก็ไปซื้อชิ้นส่วนมาทั้งหมด แล้วให้ข่างในร้านเขาประกอบให้ คิดค่าแรงไม่เกินพันบาท ผมคิดว่า ความรู้ และการเรรียนรู้จะเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว เช่นเราโยนแผ่นเสียงทิ้ง โยนกลอ้องที่ใช้ฟีมล์ทิ่ง ชาวนาโยนเคียวทิ้ง จะทิ้งกันวินาถสันตะโรภายใน10ปีข้างหน้านี้  ระบบการศึกษาใหม่น่าจะเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ ผมนี่แหละจะเปิดโรงเรียนสอนหมอ หมอนวด หมอแผนไทย หมอดู หมอลำซึ่ง หมอตอนหมู หมอผสมเทียมวัว พัฒนาร่วมกับวิชาการวิชาชีพที่จำเป็นใช้ในการประกอบการ ให้วุฒิปริญญาตรี จะไม่ดีกว่าเรียนจนหัวผุแต่ไม่มีประสบการณ์อะไรติดตัว

เจ้าภาพทางการศึกษาจะเปลี่ยนไป โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะเป็นเพียงแนวร่วมหรือพันธมิตร ศูนย์วิจัย ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ จะเกิดขึ้นเข้มแข็งขึ้น

ในชั้นแรกจะอิงกันอยู่ เช่น โรงพยาบาลของรัฐ กับโรงพยาบาลเอกชน

ที่ไม่เอ่ยถึงโจทย์ของเล่าฮูโดยตรง เพราะความเห็นของท่านทั้งหลายสะท้อนมาน่าจะเพียงพอเพราะยอดเยี่ยยมทั้งนั้น และคิดว่าคำตอบก็คงบังเกิดขึ้นในใจลูกสาวอาจารย์แล้ว เรียนไปเถอะ คนเราบางทีวาสนามันก็กำหนดมาให้เรียนให้ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะเราไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ว่า ชาตินี้ทำไมพวกเราถึงได้มาเจอ ดร.แสวง ต้องไปเรียนวิชาอะไรถึงจะนำพามาให้เจอกัน คุยกัน กระแซะกัน ปลอบกัน ให้กำลังใจกัน

นี่แหละมนุษย์ จะอบู่อีกกี่ปี ก็เอา 365 Xจำนวนปีเข้าไป เหลือถึง 5,000วันก็เก่งแล้ว เกรงแต่จะไปสะดุดระเบิดร่วงผลอยเสียก่อน

ยินดีกับลูกสาวด้วยครับ ขอให้เป็นแพทย์หรือทันฑแพทย์ที่ดีครับโดยเฉพาะมีความเป็น "หมอ" ที่ต้องการช่วยคนจากใจจริงครับ

ขอบคุณครับ ทุกท่านที่มาต่อยอด

แหมถ้ารู้ว่าคุณตุ๊มีโรงเรียนสอนหมอผมก็คงไม่ต้องลงทุนขนาดนี้

รู้ตอนนี้ก็สายไปซะแล้วครับ แต่ก็เป็นข้อมูลให้กับคนอื่นครับ

   อ่านช้าๆ มาตลอดครับ ทั้งตัวบันทึก และทุกความคิดเห็น สรุปว่าข้อมูลมากเกินพอสำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจแล้ว  แต่ก็ขอต่ออีกสักนิดครับ 
   ผมว่าเป็นหมอดีแล้วครับ เป็นอาชีพที่เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ได้ นั่นคือ ให้ชีวิตกับผู้คน และถ้าให้ดีอยากให้น้องเขามองต่อไปว่า ถ้ามีโอกาสต่อไปขอให้ได้เป็นอาจารย์ ทำหน้าที่ "ครู" ด้วย  ศิลปะอันเป็นที่รักก็จะได้นำมาประยุกต์ใช้ได้มากมายไม่รู้จบ ในหน้าที่ของ ครู และที่สำคัญยิ่ง ก็คือ น้องจะมีโอกาสสูงมาก ในการ แสวงหาสุขใส่ตน ด้วยการ รักผู้อื่น สามารถช่วยคนให้รอดได้ทั้ง "ชีวิต" (หมอ) และ รอดทาง "จิตวิญญาณ"(ครู)

ขอบคุณครับอาจารย์พินิจ

ทุกความเห็นช่วยให้ผมคุยกับลูกสาวได้ง่ายขึ้นครับ

ตอนนี้เขาก็ตามอ่านตลอดครับ

ครูบา คะ

 ความรู้ และการเรียนรู้จะเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว เช่นเราโยนแผ่นเสียงทิ้ง โยนกลอ้องที่ใช้ฟีมล์ทิ่ง ชาวนาโยนเคียวทิ้ง จะทิ้งกันวินาถสันตะโรภายใน10ปีข้างหน้านี้  ระบบการศึกษาใหม่น่าจะเกิดทั่วโลก ...

ครูบาคะ....

ครูบาคะ....

ครูบาคะ.....

มันตื่นเต้น ท้าทาย สด ใหม่ จนไม่รู้จะโต้ตอบว่าอย่างไร มันสมบูรณ์ในความอยู่แล้ว

ให้เขาสถาปัตย์อย่างที่เขาชอบนั่นแหละค่ะ
อยากเรียนเลือกเอง ไม่อยากเรียนเลือกให้ โตแล้วคิดเองได้ ความสุขของเขา เขาควรเป็นคนตัดสินใจ คนอื่นไม่ได้มาเรียนด้วยสักหน่อย  เรียนแล้วไม่มีความสุขก็ทุกอยู่คนเดียว
อ่นแล้วค่ะ หนูก็เคยมีเรื่องแบบลูกอาจารย์นั่นละค่ะ ตอนแรกหนูชอบเกษตร ที่บ้านอยากให้เรียนการจัดการ แต่หนูบอกไปว่าไม่ได้ชอบ ถึงจะสอบได้หนูก็เรียนไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็จะทำมันได้ไม่ดี ใช่ไหมค่ะอาจารย์ หนูจึงบอกคนที่บ้านว่าเรียนคณะไหนก็ได้ขอว่าแต่เราชอบและมีความสุขกับการเรียนกับมัน แค่นั้นพอค่ะ

        อ่านแล้วคะ   หนูคิดว่า น้องอยากเรียนอะไรก็ให้เขาเรียนเถอะคะ เพราะอย่างน้อยก็เป็นความมชอบของเขาและถ้าวันใดเกิดพลาดขึ้นมาเขาจะได้โทษตัวเองจะได้ไม่ต้องโทษคนอื่นที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ และถ้าเขาได้เลือกในสิ่งที่เขาต้องการจะทำให้เขาเรียนอย่างมีความสุข จะได้ไม่ต้องฝืนใจเรียน

 

ข้อมูลก็คงเพียงพอมากแล้ว ที่สำคัญพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ต้องรายงานตัวของคณะทันตะแล้ว หนูคิดว่าทั้งอาจารย์ ญาติๆ และตัวลูกสาวอาจารย์เองคงมีคำตอบที่แน่ชัดอยู่แล้ว  ขอให้โชคดีทุกคนค่ะ  สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

บางทีหากมีใครได้รับความผิดหวังบ้างคงจะดีนะคะ

โลกนี้จะไดมีทั้งเสียงหัวเราะ และน้ำตา

ความเห็นต่างๆที่อยากจะออกความเห็น ก็มีผู้เสนอออกไปหมดแล้ว  งั้นขอออกความเห็นส่วนตัวบ้างนะคะ  อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจริงๆ คือถ้าเกิดสมมุติว่าตนเองเกิดสอบได้ 2 คณะนี้แล้วให้เลือก จะเลือกเรียนคณะไหน

ถ้าเป็น k-jira เอง ขอเลือกคณะทันตะฯ ค่ะ  เพราะสำหรับตัวของ k-jira แล้ว ความสุขของชีวิต คือการที่ตนเองมีเวลาที่จะให้กับชีวิตของตนและคนที่ตนเองรัก มากกว่าการที่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูงจากสังคม  เนื่องจากทันตแพทย์จะมีเวลาที่จะให้กับตนเอง กับพ่อแม่และคนในครอบครัวมากกว่าแพทย์ ซึ่งต้องเสียสละอย่างมากทั้งเวลาและชีวิตส่วนตัว

ทันตแพทย์แม้ฟังดูแล้ว จะด้อยกว่าแพทย์อยู่บ้าง แต่นั่นเป็นค่านิยมที่สังคมคิดไปรึเปล่า เพราะไม่ว่าจะอาชีพไหน ก็มีคุณค่าเท่ากันทั้งนั้น คุณค่าอยู่ที่บุคคลต่างหาก มิได้อยู่ที่อาชีพ

การตัดสินใจของ k-jira อาจจะฟังดูแล้วเห็นแก่ตัว แต่เมื่อเข้าสู่ชีวิตของการทำงาน บางทีก็อดคิดไม่ได้หรอกนะคะว่า ทุกวันนี้ความสุขของเราอยู่ตรงไหน และคนที่เรารัก ณ เวลานี้มีความสุขกับการเสียสละและทุ่มเทของเราทั้งที่เขาเหมือนถูกเราลืมไปแล้วหรือเปล่า

ขอโทษนะคะ ถ้าหากความเห็นของ k-jira  ไม่ค่อยเหมาะสมในกรณีนี้ แต่คงเพราะยิ่งพูดก็ยิ่งอินน่ะคะ 

ดังนั้นคิดว่า ให้เจ้าตัวเองเลือกชีวิตดีกว่าค่ะว่า ต้องการความสุขในชีวิตแบบไหน ดีกว่าเมื่อต้องเข้าไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แล้วก็ต้องมานึกโทษตัวเองทีหลังว่าไม่น่าตัดสินใจแบบนั้น

สวัสดีค่ะ ดร.แสวง รวยสูงเนิน

     มาขอใช้สิทธิ์พาดพิงค่ะ 555 จากคนที่โดนพูดประจำว่าให้เรียนหมอๆ  จะมาเล่าให้ลูกสาวอาจารย์ฟังค่ะเกี่ยวกับอาชีพนี้

     จะมาเล่าถึงงานของแพทย์นะคะ เริ่มตั้งแต่ตอนเรียน คณะนี้จะเรียน 6 ปีเป็นปกติค่ะ ตอนเมื่อสัก 20 ปีก่อนอนุญาตให้เรียนซ้ำในแต่ละปีได้ 1ครั้ง ดังนั้นเรียนมากสุดได้ถึง12 ปีค่ะ เกินกว่านั้นอาจารย์จะเชิญออก แต่เห็นบางคนเรียนซ้ำหลายปีจบออกมาก็มีความสุขดีนะคะ มีเพื่อนมากมายหลายชั้นปีเป็นผู้กว้างขวางไปเลย  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าเปลี่ยนไปหรือยังนะคะ

      ตอนเรียนหมอหกปีนี้เราจะได้เรียนทุกแผนกค่ะ มากน้อยตามแผนกใหญ่เล็ก  แผนกใหญ่ๆเช่นสูติ ศัลย์ อายุรกรรม และแผนกเด็กจะได้รับการผ่านหลายเดือนหน่อยค่ะ แผนกอื่นๆก็ลดหลั่นกันลงไป  แต่จริงๆแล้วเวลาอยู่ในแผนกต่างๆก็ต้องงัดความรู้ทั้งหมดออกมาใช้

      จบครบหกปีแล้วก็จะเป็นแพทย์ทั่วไปแล้วค่ะ จะเหมือนเป็ดคือจะรู้กว้างๆ ทีนี้ถ้าอยากเป็นหมอเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไหนก็จะต้องเรียนต่อ  ประมาณ 3-5 ปีค่ะ ก็จะจบมาเป็น หมอเด็ก หมอผ่าตัด หมอหูคอจมูก หมอสูตินรีเวช หมอx-ray หมออายุรกรรม เป็นต้นค่ะ หากต้องการเฉพาะทางไปอีกก็อย่างเช่น หมออายุรกรรม ก็จะแยกเป็นหมออายุรกรรมเฉพาะทางด้านหัวใจ  ไต  ทางเดินอาหาร สมอง๙ล๙ค่ะ หรือหมอผ่าตัดก็จะเฉพาะลงไปได้อีกเป็นผ่าตัดเด็ก  ผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด ๙ล๙

       ทีนี้ถามว่าถ้าชอบศิลปะ จะเอาไปประยุกต์ใช้ในอาชีพแพทย์ก็มีมากมายค่ะ  เช่นงานเย็บแผล เราก็ตั้งใจเย็บแผลให้สวยๆหรือเรียนด้านผ่าตัดตกแต่งทำคนให้สวยขึ้นดูดีขึ้น  เอาไปใช้ในการวาดรูปประกอบเวลาผ่าตัดค่ะ  มีหมอบางคนวาดรูปสวยมากเลยนะคะ อาจารย์ยังให้วาดรูปประกอบในตำราของท่านเลยก็มี

      อย่างตัวอย่างหมอเองก็ชอบศิลปะเหมือนกันค่ะ  ก็หันมาเรียนด้านรังสีวิทยาทั่วไป  ก็มองฟิล์มx-ray ผู้ป่วยให้เป็นรูปศิลปะ หาความงามในนั้นให้เจอค่ะ

       อาชีพนี้มีการอยู่เวรกลางคืน อดหลับอดนอนเกือบทุกแผนกค่ะ  แต่พอเราอายุมากขึ้นเวรก็จะลดไปเอง เขาก็ให้หนุ่มๆสาวๆอยู่เวรมากหน่อย

        ลักษณะการทำงานของแพทย์  เนื่องจากต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย  เราจึงต้องหาความรู้ให้ดี  เพิ่มเติมความรู้ต่อเนื่องเพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดค่ะ  การรักษาเมื่อ 5 ปีที่แล้วอาจไม่ถูกต้องเมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้  บางครั้งการคาดหวังของผู้ป่วยและญาติสูงมากจนนำมาสู่การฟ้องร้องแพทย์  เมื่อมีผลการรักษาที่ไม่ดี  การระวังไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการตรวจและรักษา ทำให้เกิดความเครียดในอาชีพค่ะ เราก็หาวิธีผ่อนคลายกันไปบางคนก็เล่นดนตรี  กีฬา ฟังเพลง ทำสวน

        แต่ขณะที่เราตรวจและรักษาผู้ป่วยได้ถูกต้อง  ผู้ป่วยหายจากโรคภัยไข้เจ็บไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ  นั่นก็ทำให้เรามีความสุขเหมือนได้ทำบุญนั่นเองแหละค่ะ  นี่เป็นสิ่งที่ดีมากๆในอาชีพนี้ที่ทำให้คนเป็นหมอรักในอาชีพนี้

        ส่วนเรื่องเศรษฐานะ หมอที่ดีไม่มีวันอดตายค่ะ อาจไม่รวยแต่ก็อยู่ได้สบายๆแบบพอเพียง

        

สิ่งใดที่คิดว่าทำไปแล้วมีความสุขก็น่าจะทำได้ดีนะครับไม่ควรฝืน  เดี๋ยวจะเสียใจในภายหลังได้นะครับ  ดีนะครับที่ลูกอาจารย์มีทางให้เลือก  และทางที่เลือกนั้นก็มีแต่ทางที่ดีทั้งนั้น  ซึ่งต่างกับคนอื่นอีกมากมายที่เขาไม่มีโอกาสได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยซ้ำ  ผมคิดว่าสิ่งที่ทำไปแล้วหรือเลือกไปแล้วทำให้เราสบายใจมีความสุข  สิ่งนั้นแหละเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุนมาก 
สวัสดีค่ะ อาจารย์     หนูคิดว่าผู้เรียนอยากเรียนอะไร ชอบอะไร  เค้าก็น่าที่จะเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง  จะได้เรียนแบบสบายใจที่สุด  ไม่มีความกดดันมากจนเกินไป  เมื่อคนเราได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว  ผลที่ได้ย่อมออกมาดีเสมอ 
    มีคุณหมออนิศราเล่าให้ฟังไปแล้วว่าชีวิตการเรียนแพทย์และชีวิตแพทย์เป็นอย่างไร     ดิฉันขอเพิ่มเติมเล็กน้อย    คนเป็นแพทย์ต้องมีจิตบริการตลอดและสังคมคาดหวังเช่นนั้น   ชีวิตส่วนตัวอาจหาได้ยากยกเว้นไปเป็นแพทย์สาขาที่ไม่มีการตามแบบฉุกเฉิน  เช่นรังสี   การใช้ศิลปมาในการประกอบอาชีพมีน้อยกว่าทันตแพทย์   ยกเว้นอยากจะเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง    แต่เท่าที่ดิฉันเห็นมามีศัลยแพทย์ตกแต่งหญิงน้อยมาก   เหตผลส่วนใหญ่เพราะไม่อดทนพอต่อความคาดหวังแบบสุดๆของผู้รับบริการประเภทนี้ที่ไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีมาสักเท่าไร จึงมาทำศัลยกรรมตกแต่งเสริมความงาม   และคิดว่านั่นไม่น่าใช่ภารกิจรักษาความเจ็บป่วย    ถ้าใจยังอยากทำงานศิลปและมีมุมส่วนตัวกับงานศิลป   ดิฉันคิดว่าวิชาชีพแพทย์ไม่น่าทำให้น้องมีความสุขนะคะ   แต่แน่นอนค่ะว่าเป็นที่พึ่งได้ของพ่อแม่และญาติพี่น้อง

ทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันค่ะ เมื่อลูกสาวอาจารย์มีความสามารถทางศิลปะและก็เรียนเก่งด้วยเรียนหมอค่ะดี จะได้ช่วยเหลือชีวิตคนได้ในอนาคต

      เอิ๊ก  อ.ลัดดาขา  หมอx-ray นี่มีตามฉุกเฉินตลอดนะคะ พวกอุบัติเหตุนี่แหละตัวดี เช่น CT BRAIN (ตรวจสมองด้วยเครื่องX-ray คอมพิวเตอร์)เวลาคนไข้อุบัติเหตุ หรือสงสัยว่า เส้นเลือดแตกหรือเส้นเลือดตีบในสมอง  หรือโดนตามมาตรวจเส้นเลือด(Angiography)เพื่อดูว่าเส้นเลือดฉีกขาดหรือเปล่า หรือฉีดสีดูว่าไตผิดปกติหรือเปล่า(IVP)หรือ reduce intusscusseptionเป็นต้นค่ะ

      ถ้าเป็นจิตแพทย์ ตา หูคอจมูก เวชศาสต์ชุมชน อาจจะเจอการตามฉุกเฉินน้อยหน่อยค่ะ

      ขอให้ลูกสาวอาจารย์แสวงเลือกได้ถูกใจตัวเองที่สุดละกันค่ะ  เพราะถ้าชอบจะเรียนได้ดี

      

     

ผมต้องขอขอบคุณ คุณหมอลัดดา กับหมอ อนิศราอย่างมากเลยครับ ที่มาคุยกันให้ลูกสาวผมฟัง

ผมได้ความรู้มากเลยครับ

ผมว่าเรื่องนี้มันอยู่ที่คนที่จะเรียนนะครับรัก ชอบสิ่งใดหรืออยากทำอะไร แต่ควรคิดว่าทำสิ่งที่ชอบแล้วมีผลกระทบยังไงบ้างผมคิดว่าลูกอาจารย์คงโตพอที่จะคิดเองได้แล้ว และไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง อาจารย์และทุกๆคนควรจะยอมรับการตัดสินใจของเขา และควรที่จะให้กำลังใจหรือส่งเสริมในสิ่งที่เขาชอบนะครับ ผมว่าลองคิดเรียนแพทย์ศัลยกรรมดูนะครับ

ควรให้เขาเรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียนดีกว่าค่ะ  เขาควรจะได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียนซึ่งจะทำให้เขาไม่รู้สึกว่าต้องฝืนตัวเองมากนัก  ที่ต้องมาเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่รัก    อาจารย์ไม่ได้เรียนกับเขานะคะ  ดังนั้นควรให้เขาตัดสินใจเองดีกว่า

   แวะมาคุยต่อค่ะ หมอว่าอาชีพทุกอาชีพสำคัญหมดนะคะ ถ้าสุจริตนะคะ  ขาดชาวนา คนงาน ตำรวจ ทหาร 9ล9 เราก็คงอยู่ไม่ได้

   มีรุ่นพี่หมอสามคน จบแพทย์เฉพาะทางหมด  คนนึงเป็นหมอศัลย์  อีกคนหมอตา คนสุดท้ายเป็นจิตแพทย์  ร่วมมือกันตั้งบริษัทจำหน่ายชุดปักครอสติชหนะค่ะ โดยพี่คนหมอศัลย์นี่วาดรูปเก่งมาก ออกแบบลายครอสติชได้สวยงามน่ารักมากมาย  ไม่รู้ตอนนี้ยังได้ผ่าตัดคนไข้อยู่หรือเปล่านะคะ

   หมอบางคนยังเป็นนักร้องออกอัลบั้มเลยค่ะ ได้ข่าวคนนึงเล่นกีฬาเทนนิสเป็นอาชีพด้วยนะคะ รู้สึกจะชื่อ หมอพีร์ ถ้าจำไม่ผิดค่ะ

เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกือบทุกครอบครัวที่ลูกซึ่งจะต้องมีจุดหักเหของชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจนคนปลานกลางที่ต้องการที่จะให้เป็นอย่างนั้เป็นอย่างนี้หนูคิดว่าตอนนี้น้องคงจะสับสนมากและลำบากใจมากๆๆๆเหมือนกันหนูเคยเป็นค่ะเป็นกำลังใจให้กับลูกสาวอาจารย์นะคะไม่ว่าจะเรียนที่ไหนใจเราเอาซะอย่างต้องทำได้ค่ะ...สู้ๆๆๆนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท