วันนั้นที่เงินไร้ค่า น้ำใจนำพาให้อยู่รอด (จากประสบการณ์จริง)


ก็มีอาบังท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่า บังกินเสียเถิด แม้ว่าข้างในเป็นหมู ก็กินไปก่อน เอาให้ปะทังชีพไปก่อน ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นอีกเยอะเลยครับ ทั้งที่ผมไม่ใช่มุสลิมครับ แต่ท่านอาบังท่านนั้นก็พูดกับผมเช่นนั้น ทำให้ผมเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเมื่อความจำเป็นผ่านเข้ามา ทุกๆ อย่างก็มีข้อยกเว้นเสมอ ผมก็ยิ้มรับแล้วขอบคุณท่านครับ

สวัสดีครับทุกท่าน

            สืบเนื่องจากบทความ หากไม่มีเงินเลย คนเราจะอยู่ได้ไหมครับ หากคนเราไม่มีเงิน จะมีกี่ล้านคนที่ต้องตายครับ ทำให้ผมต้องยกตัวอย่างให้เห็นจริงๆ ซักบทความครับ ว่าภาวะที่เงินไร้ค่า นั้นเป็นอย่างไร แล้วอะไรจะทำให้คนอยู่รอดได้

           เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ผมจำเอาไว้ตลอด มาลองดูกันนะครับ ว่าจะเป็นอย่างไร

           ผมชวนคุณย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2000 (พ.ศ. 2543) ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งจะจบปริญญาโทจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคณนา(Computational Science) จาก กทม. และได้ทุนมาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกครับ เหตุการณ์ไม่ได้อยู่ที่ทุนหรือการมาต่างประเทศนะครับ เพราะว่าต้องขึ้นไปจัดการเอกสารเดินทางและอื่นๆ

           ผมก็ได้กลับไปสอน ที่ มอ.ปัตตานี อยู่หนึ่งเทอม ก่อนเดินทางมาเรียน วันนั้น ผมอยู่ กทม. และจะเดินทางกลับปัตตานี ด้วยรถไฟ ก็จะนั่งรถสปรินเตอร์ นะครับ

           กว่ารถจะเดินทางเข้าชานชะลาก็ช้ามากๆ นะครับ ในคืนนั้น เป็นคืนวันอังคารครับ แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะก็ต้องคอยกันทุกคน และแล้วก็ได้เดินทางด้วยรถไฟที่รอคอย ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นครับ เมื่อรถเดินทางมาแสนนาน จากเที่ยงคืนมาจนถึงเที่ยงวันที่ สถานีรถไฟ จ.พัทลุง ก็มีข่าวว่า น้ำท่วมข้างหน้า ทุกคนที่จะเดินทางต่อไป ต้องเปลี่ยนรถไปขึ้นรถไฟธรรมดา เพราะว่าตัวเครื่องยนต์จะยกสูงกว่าสปรินเตอร์

           วันพุธนั้น ทุกคนก็ไปขึ้นรถไฟธรรมดากันครับ แล้ว ก็เดินทางกันไปเรื่อยๆ พอไปถึง สถานที่แห่งหนึ่ง อยู่ในป่าครับ รถไฟก็จอดเลย พร้อมกับประกาศว่า เส้นทางรถไฟข้างหน้านั้นเหลือแค่เส้นเหล็กลอยอยู่ แต่น้ำพัดพา หิน หมอนหนุนรางรถไฟ ไปหมดแล้ว ทุกคนต้องลงรถกันอีกรอบครับ

           มีผู้ใจดี เอารถกะบะมารับไปที่ตัวทำการหมู่บ้าน ตำบล แล้วก็ได้ติดรถไปด้วยครับ แล้วผมก็โทรแจ้งทางมหาวิทยาลัยทันทีว่าตอนนี้ติดน้ำท่วม คงกลับไปสอนในวันถัดไป ไม่ได้ เพื่อแจ้งให้ทราบไว้ก่อน

          จากนั้น ผมก็มีแนวทางสองแนวคือ กลับบ้านไป นครศรีธรรมราช หรือว่าจะบุกไปที่ปัตตานี ท้ายสุดแล้วผมเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมของผมคนหนึ่งเป็นทหารประจำที่นราธิวาส ซึ่งก็ต้องไปที่นั่น ด้วยความรู้สึกเข้าใจ เห็นใจ ก็เลยตัดสินใจ ไปร่วมชะตากรรมด้วยกัน หากจะกลับนครก็สบาย เพราะค่อยหารถโบกเอาครับ (รถโบกคือ โบกรถไปฟรีๆ ขออาศัยไปด้วยครับ)

          แล้วรถกะบะคันนั้น ก็พาพวกเราไปรอไว้ที่ท่าน้ำ (จริงๆแล้วก็คือ ถนนที่เต็มไปด้วยน้ำ เป็นบริเวณก่อนจะเข้าตัวเมืองหาดใหญ่) ไม่เห็นถนนเลยครับท่าน น้ำมันมาจากไหนเนี่ย

          มีรถมาจอดที่ท่าน้ำเต็มไปหมดเลยครับ ผมและเพื่อน ก็พยายามหาทางที่จะโบกขอติดรถสิบล้อเข้าเมืองด้วยครับ ระยะทางไม่ไกลมาก แต่ก็ต้องไปด้วยความเร็วน้อยๆ ผมเห็นวัว หลายตัว ต้องยืนบนกองดิน ที่มีคนเอาดินไปกองไว้สูงๆ ครับ

          พอรถสิบล้อคันนั้น ที่บรรทุกเสื่อที่จะนำไปขายที่ปัตตานี หรือทางใต้ จะหันหัวเข้าหาตัวเมืองหาดใหญ่ ก็เข้าไปไม่ได้ เพราะน้ำทั้งนั้น เลยหันหัวรถไปทางสนามบินหาดใหญ่ในเส้นทางนั้น และแล้ว เราทั้งหมดก็ไปจอดกันที่ปั้มน้ำมันที่สี่แยกทางไปสนามบินครับ

          ไฟฟ้าดับทั้งเมืองครับ คนที่หนีตายมาได้ ก็เยอะมากครับ ต่างก็เล่าประสบการณ์ให้ฟังกันมามาย บางคนสูญเสียคนรัก บางคนญาติตกน้ำไหลเข้าท่อน้ำไปต่อหน้าต่อตา เพราะน้ำเชี่ยวมากๆ

           พวกเรานับว่าโชคดีมากๆ ที่มาอยู่บนเนินสูง แถมเจ้าของปั้มใจดี ปั่นไฟให้ใช้กัน ตามเวลาที่จำเป็น พร้อมเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกเพียบเลยครับ รถสิบล้อ และรถอื่นๆ จอดกันเรียงราย ยาว กว่าหนึ่งกิโลเมตร

           เรานอนกันที่ไหน กินอย่างไร ซื้ออาหารจากไหน คุณลองคิดกันดูครับ จะถอยกลับนครหรือครับ ก็ติดน้ำ จะไปปัตตานีก็ติดน้ำ จะเข้าหาดใหญ่ก็ท่วม จะบินกลับ กทม. ก็เครื่องบินบินไปไม่ได้ ห้ามบิน เพราะทัศนวิสัยแย่มากๆ

           คุณจะทำอย่างไรครับ

           มันเหมือนๆ เรารอชะตากรรมอะไรบางอย่าง พร้อมนั่งวิเคราะห์มันเกิดอะไรขึ้น ก็จะได้ยินเสียงคนดังจากในเมืองหาดใหญ่ตลอด และพร้อมรายงานข่าวอยู่ตลอดเวลา ว่าตอนนี้ ใน มอ.ก็มืดสนิท มีคนติดอยู่ตรงไหน บ้าง มีคนกำลังวิ่งจากชั้นหนึ่งไปยืนอีกชั้นหนึ่ง มีคนที่ขึ้นไปยืนบนหลังคาบ้าน หลังคาตึก ข้อมูลข่าวสารเต็มไปหมดครับ

           มื้อเย็นวันนั้นเราไม่ได้กินอะไรครับ แม้ว่าจะมีเงินในกระเป๋าก็ตาม คืนนั้น พวกเรานั่งคุยกันอย่างเดียว เอากระดาษหนังสือพิมพ์ ปูที่พื้นในบริเวณปั้มน้ำมัน แล้วก็นอนกันตรงนั้น ตามสภาพ และช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี ผมได้รู้จักคนหลายๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนขับรถสิบล้อครับ บางคนก็มีนกเขาใส่กรงมาด้วยครับ มาจากเมืองคอน แต่ก็อบอุ่นใจจริงๆครับ

         คืนนั้นสิ่งที่พวกเราได้ยินคือ มีบริเวณนอกเมืองอีกทางบริเวณสี่แยกทางเข้าเมืองหาดใหญ่ ทางทิศทางมาจากปัตตานี ก็มีคนติดอยู่เยอะครับ มีคนเล่าว่า มาม่าซองละหนึ่งร้อยบาท ทำให้พวกเราคิดกันว่า โอโห จะขนาดนั้นเลยหรือ แพงมา แต่ต่อให้ซองละพันก็จะเอาจากที่ไหนมาขายกันครับ ณ เวลานี้ เงินฟาดหัวกันแทบจะไร้ค่า เพราะความหิวกัน

         และแล้วเช้าวันใหม่ เป็นวันพฤหัสบดี ก็มาถึงครับ นั่นคือ เรารอดตายไปแล้วหนึ่งวัน แต่นับว่าพวกเราโชคดีมากเพราะยังพอจะมีไฟฟ้า แต่คืนนั้นวุ่นวายพอสมควรครับ เพราะแต่ละคนก็จะเดินทางไปทางรถกลับไปทางนครบ้าง บ้างก็อยากจะบินกลับ กทม. แต่ก็บินไม่ได้ ส่วนน้ำจริงๆ ก็ไม่ได้ฝนตกหนักในตัวหาดใหญ่หรอกครับ แต่ฝนตกที่อื่นแต่น้ำไหลเข้าหาดใหญ่ ประกอบกับ เมืองหาดใหญ่ ก็มีถนนเป็นคันเขื่อนให้น้ำไหลระบายออกไปไม่ได้ เลยทำให้ตัวเมืองน้ำท่วมหนักยิ่งขึ้น

         เช้าวันนั้น พวกเราตื่นขึ้นมาด้วยความหวังว่าน้ำจะลด และจะได้โบกรถไปที่ปัตตานี ลงใต้กันไปอีก แต่น้ำยังไม่ลดครับ

         โอ้พระเจ้า น้ำตาแทบไหล เมื่อเห็นคนใจดี เอาอาหารใส่ถุงลงมาในตะกร้าหน้ารถมอร์เตอร์ไซต์ พวกเราคิดว่าดีจังไม่อดตายแล้ว จะได้ซื้อกินกัน แต่คุณเชื่อไหมว่าคืออะไร เค้าแจกครับ แจกให้กินกัน ผมหล่ะจำได้ว่า นี่ละหนอ น้ำใจไทยงามดีแท้ ชาวบ้านแถบนั้นเค้าทำมาแจกตอนเช้าเวลา 10:00 น. และตอนเย็น 18:00 น. วันละสองมื้อครับ เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

          ในวันนั้น ก็ได้พูดคุยรับฟังเรื่องราวจากคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาสมทบกันอีกครับ  อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องน่าเศร้าคือว่า มีครอบครัวที่ติดอยู่ในเมืองหาดใหญ่ ไม่มีอะไรกิน ผู้เป็นพ่อ ก็ได้ว่ายน้ำไปที่ร้าน 7-eleven เพื่อจะเปิดประตูเอาอาหารมาให้ลูกน้อย ก็เลยใช้หินทำลายกระจกให้แตก กระจกก็แตกสมใจครับ แล้วท่านผู้เป็นพ่อก็เข้าไป แต่ทันใดนั้น กระจกได้ตกลงมาบาดที่ขา แต่ก็ทนครับ จนเอาอาหารไปให้ลูกได้ ส่วนสุดท้ายจะเสียชีวิตหรือเปล่าไม่แน่ใจครับ

           ในเย็นวันพฤหัสบดี ก็มีชาวบ้านใจดีมาแจกข้าวถุงอีกครับ น่ารักจริงๆครับ แจกคนหลายๆ คนครับ ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจมากๆ ครับ ผมเองก็ได้ข้าวถุงมาหนึ่งชุด แล้วผมก็นั่งดูๆ มองดู อยู่นาน คือไม่ได้ดูอะไรหรอกครับ แค่คิดว่าคนในเมืองที่ติดน้ำอยู่เค้าจะได้กินอะไรบ้างไหมหนอ เรานี่ช่างโชคดี ทันใดนั้น ที่ผมนั่งเพ่งห่อข้าวอยู่ ก็มีอาบังท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่า บังกินเสียเถิด แม้ว่าข้างในเป็นหมู ก็กินไปก่อน เอาให้ประทังชีพไปก่อน ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นอีกเยอะเลยครับ ทั้งที่ผมไม่ใช่มุสลิมครับ แต่ท่านอาบังท่านนั้นก็พูดกับผมเช่นนั้น ทำให้ผมเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเมื่อความจำเป็นผ่านเข้ามา ทุกๆ อย่างก็มีข้อยกเว้นเสมอ ผมก็ยิ้มรับแล้วขอบคุณท่านครับ

            วันศุกร์ก็มาถึงครับ ผมก็ไม่ได้ไปไหน มัวแต่อยู่ที่ปั้มน้ำมัน กับเดินไปดูน้ำที่ริมน้ำ เพราะว่าเส้นถนนมันเป็นรูปตัว U ครับ บริเวณที่ท้องตัวยู มีน้ำทั้งนั้นเลย คอสะพานก็ทรุดครับ ด้านบนก็แม่เฮลิคอปเตอร์ร่อนอยู่ครับ ทหารเรือ ก็มาครับ ใช้เรือยางไปช่วยคนแต่ก็สู้แรงต้านน้ำไม่ไหวครับ จะมีรถที่พอจะไปได้ก็คือต้องเป็นรถสิบล้อที่มีน้ำหนักเยอะ ก็จะมีพนักงานไปทำเส้นทางไว้ว่า ขับไปทางไหนได้ไม่ได้อย่างไร

            เจ้าของรถสิบล้อที่ใจดีให้พวกเราอาศัยมาจนถึงปั้มน้ำมัน ก็ดีมากๆ พาผมและเพื่อนทหารร่วมชะตากรรมไปฝากไว้กับรถสิบล้อที่บรรทุกเหล็กครับ เพื่อที่จะให้พวกเราเดินทางไปก่อน เพราะว่า ต้องรีบไปให้ถึงเป้าหมาย ส่วนท่านนั้นก็จะค่อยๆ ตามไปอีกทีหลังจากที่น้ำลด

            ท้ายที่สุดแล้ว ผมและเพื่อนทหารอีกคน ก็ไปรถบรรทุกเหล็กครับ ผ่านเส้นทางน้ำท่วมจากหาดใหญ่ไปได้ครับ โล่งจริงๆครับ แต่คนที่ต้องร่วมชะตากรรมอยู่อีกเพียบครับ

            ก็มีข่าวว่า มีคนใจร้าย ไปเข็นรถออกมาขาย คันละไม่กี่หมื่นบาท โดยไม่รู้ว่ารถใครด้วย ส่วนนี้ ได้แต่ฟังมาครับ ไม่รู้จริงหรือเท็จอย่างไร

            และแล้วพวกเราก็นั่งรถไปจนถึง บริเวณสามแยก ที่จะนะ ไปเจอน้ำอีกรอบครับท่าน ไปไม่ได้อีกครับ น้ำเต็มเลยครับ ถนนเลียบชายทะเลก็ทรุดมีปัญหาเช่นกัน เพราะรถบรรทุกก่อนหน้านั้นได้ใช้เส้นทางนั้น โดยถนนไม่ได้ออกแบบมาให้รถบรรทุกหนักๆ วิ่งครับ

            พวกเราเลยไปขออาศัยที่ทำการ อบ.ต. จะนะ ในการพักอาศัยคืนนั้น แล้วรุ่งขึ้นเช้าวันเสาร์ ก็ออกเดินทางไปกันต่อ ก็ได้รับข่าวสารตลอดว่า มีใครเกิดอะไรขึ้นที่ไหนบ้าง มีท่านหนึ่งเล่าว่า มีฝรั่งไทย คู่หนึ่งเดินทางด้วยรถยนต์ แต่มีคนเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุ กอดกันตายในรถ เรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องเช่นกันครับ น้ำไหลเชี่ยวมากครับ

           พอมาได้ก่อนถึงสะกอม ก็มาเจอน้ำท่วมอีกรอบอีกครับ มีคนใจดีไปทำเส้นทางสำรวจเส้นทางให้ ก็เลยได้ไปกันต่อ จนในที่สุด ก็ผ่านจุดที่เสี่ยงไปจนหมด

           ผมก็ไปแวะลงที่บริเวณทางแยกเข้าตัวเมืองปัตตานี เพื่อนทหารก็นั่งรถสิบล้อคันนั้นกันต่อไป จนไปถึงค่ายที่นราธิวาส ผมเองก็โบกรถโดยสารสองแถวเข้าเมืองปัตตานี ไปถึงก็มีน้ำขังเล็กน้อยในเมือง แล้วก็เดินไปที่ร้านอาหารจานเดียว ไปเจอพี่จอยภรรยาพี่จักร เจ้าของร้านรู้จักกัน ก็เลยสงสาร เลยแวะไปส่งผมถึงแฟลต อาจารย์เลยครับ

           อ่านเหนื่อยไหมครับ คุณลองคิดดูครับ ผมออกจาก กทม. วันอังคารเกือบเที่ยงคืน มาถึง ปัตตานี หอพัก วันเสาร์ เที่ยงวัน ใช้เวลาไปครึ่งอาทิตย์ครับ แต่ผมพบกับน้ำใจ งามๆ เพียบเลย ไม่ต้องใช้เงิน เงินไร้ค่ามากๆ เลยครับตอนนั้น ได้รู้จักคนขับสิบล้อเยอะมากครับ พูดคุยกันเป็นกันเอง มีแต่จริงใจ ได้ความรู้แลกเปลี่ยนกันตามสภาพ

           นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่ผมเจอครับ ภายช่วงเวลานั้น ที่ผมยังประทับใจ ยังมีเหตุการณ์ หลายๆ อย่างที่ผมเล่าข้ามๆ ไป ก่อนที่บทความนี้จะยาวเกินไปครับ

ขอบคุณมากครับ

สมพร ช่วยอารีย์

หมายเลขบันทึก: 91013เขียนเมื่อ 18 เมษายน 2007 18:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 23:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)
  • ถ่ายทอดเรื่องราวได้ดีครับ อ่านแล้วเห็นภาพด้วยเลย
  • บทเรียนที่ตอกย้ำ เรื่องของ "เงิน" และคุณค่าที่แท้จริงของ "คน"
  • ประทับใจ "น้ำใจไทย" ที่ไม่เคยแห้งเหือด
  • อ่านจากบันทึกดูเหมือนว่าน้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงมากเลยนะครับ
  • เวลาที่เราลำบากที่สุดเราก็จะพบเพื่อนแท้ครับ
  • เวลาที่คุณเม้งใช้ไปยาวนาน และก็คุ้มค่ามากครับ ที่ได้เรียนรู้ชีวิตท่ามกลางอุปสรรค เหมือนนิยายเลยครับ
  • ขอบคุณครับ เรื่องราวที่น่าสนใจ อย่างน้อยผมก็ชื่นใจ น้ำใจไทยไม่เคยแห้งเหือด

 

 

 

 

"...ก็มีอาบังท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่า บังกินเสียเถิด แม้ว่าข้างในเป็นหมู ก็กินไปก่อน เอาให้ประทังชีพไปก่อน ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นอีกเยอะเลยครับ ทั้งที่ผมไม่ใช่มุสลิมครับ แต่ท่านอาบังท่านนั้นก็พูดกับผมเช่นนั้น ทำให้ผมเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเมื่อความจำเป็นผ่านเข้ามา ทุกๆ อย่างก็มีข้อยกเว้นเสมอ ผมก็ยิ้มรับแล้วขอบคุณท่านครับ"

 

ข้อความนี้ผมขอคิดต่อครับ

น้ำใจของมนุษย์ไม่ว่าชาติใด-ศาสนาใดหรอกค่ะ  พวกเราล้วนเป็นเพื่อนกัน

พี่หนิงไม่เคยเจอนานขนาดนั้นค่ะ  เคยติดอยู่ในโรงแรม ในกทม.ค่ะ  ขำไม๊คะ  แต่ไม่ขำหรอกนะคะ 

เทศกาลสงกรานต์ปี 42 เดินทางว่าจะไปเที่ยวหาดใหญ่นี่แหละค่ะ  นัดกับเพื่อนที่นั่น  แต่ไม่มีไฟท์บิน  ต่อเนื่องพี่ก็พักที่กทม.ก่อนรอไฟท์เช้า  แต่ไม่อยู่ดีๆอ่ะค่ะ  ออกไปช้อปปิ้ง  ปรากฏว่าโชคร้าย  โดนล้วงกระเป๋าในห้างดัง มารู้ตัวตอนกลับจะจ่ายค่าแท๊กซี่  ไม่มีเงินเลย 

รู้มั๊ยคะ  พี่แท๊กซี่ใจดีมาก  บอกว่า  เห็นใจนะพาไปแจ้งความแล้วพามาส่งที่โรงแรมอีก  ซึ้งจริงๆ  ปกติพี่เองก็ไม่ใช่คนใส่เครื่องทอง  จะถอดให้ค่ารถก็ไม่ได้  มีแหวนเพชรเล็กๆติดนิ้วอยู่วงเดียว  กับโทรศัทพ์มือถือ กับตั๋วเครื่องบินอยู่ที่โรงแรม  ตัวคนเดียวทำอะไรไม่ถูก  พี่แท๊กซี่เลยบอกว่า  เอางี้นะ  คนอีสานเหมือนกัน  ผมไม่คิดว่าคุณนายจะโกงผมหรอก  พี่หนิงซึ้งมาก  รถพี่เขาก็ต้องเช่านะ  ไหนจะน้ำมันอีกทั้งมาส่งเราทั้งพาเราไปแจ้งความ 

พี่หนิงจะให้แหวนก็เสียดายเพราะมีที่มา  จะไปจำนำก็ไม่ได้  เพราะดึกแล้ว  บัตรต่างๆก็ไม่มีเหลือ  ในตัวมีเศษสตางค์ในกางเกงยีนส์อยู่แค่ 6 บาท เศร้าจริงๆ  พี่หนิงเลยขอบคุณพี่เขามากๆแต่ขอเบอร์เขาไว้เพราะถ้ามีเมื่อไหร่พี่หนิงจะได้นัดมาเอาเงิน  พี่เขาให้เบอร์โทรบ้านข้างๆมา และขอให้ตามเขา 

พี่หนิงติดอยู่ที่โรงแรมในกทม.  3 วันเต็มๆ  ไปทำอะไร  ติดต่ออะไรก็ไม่ได้เพราะช่วงวันหยุดยาว  เพื่อนๆก็ออกเที่ยวตจว.กันหมด  กว่าเพื่อนจะมาไถ่ตัวออกจากโรงแรมได้  ทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร  หมดไปเยอะเลย  พี่ก็รีบโทรไปให้พี่แท๊กซี่มารับตังค์  และขอเลี้ยงข้าวพี่เขา  เขาบอกเขาไม่มีเวลาต้องรีบไปทำงาน  เลยได้แค่ให้รางวัล

น้ำเอย...น้ำใจ...^__*

นับแต่นั้นเป็นต้นมา  พี่หนิงเดินทางไปไหน  พี่จะแบ่งเงินใส่กระเป๋าหลายๆใบ ซ่อนๆไว้  เผื่อใบไหนหาย  ก็จะพอเหลืออีกที่บ้าง...

 ยาวเนอะ...

P

สวัสดีครับคุณเอก

  • ขอบคุณมากครับผม สำหรับหลายข้อคิดเห็นเพิ่มเติม
  • ผมก็เขียนเอาสดๆครับ เพราะว่าเรื่องราวมันมีอยู่เต็มเปี่ยมข้างใน โดยเฉพาะมีเหมือนดีวีดีสองสามแผ่นครับ บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นครับ
  • เป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่มากๆครับ ทำให้ทุกท่านในหาดใหญ่ ต้องตระหนัก ตลอดจากทีมงานเทศบาลหาดใหญ่ ก็คิดหนักเลยทีเดียวครับ ในเรื่องนี้
  • แม้ว่าฝนจะตกที่อื่น แต่น้ำท่วมเกิดขึ้นได้บริเวณทางผ่านน้ำ หรือบริเวณแอ่งที่ลุ่ม ดังนั้น การเตรียมการเหล่านี้ หรือออกแบบถนน คลอง แนวทางระบายน้ำ ผังเมืองล้วนคิดได้จากการวางแผนที่รอบคอบ ก็ต้องคิดกันก่อนเสมอ ผิดพลาดก็คือประสบการณ์ ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกครับ
  • ผมเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้ควรบันทึกให้รับทราบกันมา ตลอดทั้งที่ข่าวที่เกิดที่จังหวัดตรังที่ผ่านมาก็เช่นกันครับ
  • เหตุการณ์ที่อาบังท่านนั้นบอกผม ก็ดังก้องกังวานอยู่เสมอเวลาผมนึกถึงเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 
  • ขอบคุณมากๆ นะครับ
P

สวัสดีครับพี่หนิง

  • ใช่ครับพี่ นี่หล่ะครับ น้ำเอย น้ำใจ ทางออกที่ดีที่สุด ในการที่จะหยุดทุนนิยมสุดโต่งได้ครับ
  • ที่เขียนไม่ได้จะมาเพื่อหยุดทุนนิยมหรอกครับ แต่ให้คิดและเดินกันอย่างมีสติครับ
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ เหตุการณ์ของพี่หน่ะเข้าใจ เห็นใจ ซึ้งใจ ปลื้มใจครับ
  • คนดีมีตลอดครับ น้ำใจในไทยก็มีตลอดครับ
  • ช่วงสึนามิเมื่อสองปีก่อนครับ น้องในเมืองที่เยอรมันที่ฮานโนเฟอร์ ได้ไปยืนขอรับบริจาคครับเพื่อส่งเงินไปสบทบที่เมืองไทย
  • มีคนเยอรมันเดินมาครับ แล้วหย่อนใบห้าร้อยยูโร ลงไปครับ ทำให้น้องๆ ต้องหยิบเงินแล้ววิ่งตามไปถามยืนยันว่าทำไม ถึงทำบุญมากมายขนาดนี้ ก็ราวๆ 25,000 บาทครับ
  • คุณป้าก็บอกว่า ก็เพราะน้ำใจคนไทยนี่หล่ะ ที่ช่วยให้ฉันรอดมาได้เนี่ย ได้กลับมาที่บ้านเกิดตัวเอง
  • ผมได้ยินน้ำตาแทบไหลครับพี่
  • นี่หล่ะครับ ข้อดีของคนไทย แล้วทำไมเราต้องไปยึดทุนนิยม ว่าไหมครับ
P
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร เมื่อ พ. 18 เม.ย. 2550 @ 19:05 จาก 203.150.118.95 ลบ

"...ก็มีอาบังท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่า บังกินเสียเถิด แม้ว่าข้างในเป็นหมู ก็กินไปก่อน เอาให้ประทังชีพไปก่อน ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นอีกเยอะเลยครับ ทั้งที่ผมไม่ใช่มุสลิมครับ แต่ท่านอาบังท่านนั้นก็พูดกับผมเช่นนั้น ทำให้ผมเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเมื่อความจำเป็นผ่านเข้ามา ทุกๆ อย่างก็มีข้อยกเว้นเสมอ ผมก็ยิ้มรับแล้วขอบคุณท่านครับ"

 

ข้อความนี้ผมขอคิดต่อครับ

  • คุณเอกคิดต่ออย่างไร บอกเล่ากันบ้างนะครับผม
  • เผื่อจะได้ลองต่อบ้างด้วยครับผม

ผมคิดอย่างนี้ครับ

  • กฏเกณฑ์ที่สร้างขึ้นมีทางออกเสมอ  ทุกอย่างมีข้อยกเว้นเสมอแบบที่คุณเม้งเขียน
  • แก่นการนับถือศาสนาใดๆก็ตาม อยู่ที่ "ใจ"  การปฏิบัติล้วนเป็นกุศโลบายให้ใจนิ่ง
  • ผมเห็นความงดงามของมิตรภาพ
  • ผมเห็นมุมมองของศาสนาอิสลามที่เอื้ออาทร  เป็นบทเรียนที่หลายคนมองศาสนาอย่างมีอคติ

.................

ผมคิดอีกว่า "สันติภาพ" และ "ความเอื้ออาทร" เป็นสิ่งที่โลกเราต้องการ และกำลังขาดแคลนอย่างที่สุด

P

สวัสดีครับเอก

  • การต่อยอดที่คุณเอกว่ามา มองได้เด็ดขาดมากครับ
  • นับถือๆ ครับผม เห็นด้วยทุกประการครับ
  • ผมถึงอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามสภาพที่เคยเป็น ที่เคยมีสุข ที่เคยมีการช่วยเหลืออย่างที่เคยเป็นมาครับ
  • ขอบคุณมากๆ นะครับเพื่อน

สวัสดีค่ะ..คุณเม้ง

 ตามมาอ่านต่อค่ะ...อ่านไปก็ตื่นเต้นไปนะคะ..ถ้าเราเจอเองคงคิดอะไรไม่ออกเลย..แต่วิกฤตคือโอกาส..ที่ทำให้เราเจอมิตรภาพดีๆที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน.. และตัวเองก็เชื่อมั่นว่า...ความดีของเราจะเป็นเกราะคุ้มครองเราค่ะ..

ขอบคุณค่ะ..ที่อุตส่าห์เขียนบทความที่เน้นให้เรารู้ว่า..ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เลวร้ายเกินไป...ในวิกฤติมีโอกาส(ดีๆ)เสมอ...

  • เล่าได้ประทับใจมากๆ เลยค่ะ คุณเม้ง
  • ตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้เลย แต่คิดว่าการมีประสบการณ์แบบนี้จะเป็นบทเรียนที่ดีมากๆ สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์มา
  • ขอบคุณอีกครั้งสำหรับประสบการณ์สอนใจดีๆ
  • หมายเหตุ (ไม่เกี่ยวกับบันทึก)

    • เคยผ่านไปที่  Heidelberg ด้วยนะคะ เมื่อ ๕-๖ ปีที่แล้ว ยังจำริมแม่น้ำ Rhine ได้เลยค่ะ จำภาพมหาวิทยาลัยได้คร่าวๆ ว่ามี arch โค้งๆ ด้านหน้าหลายๆ อันติดกัน (แต่อาจจำผิด นานแล้วค่ะ) และจำได้เลยว่าเขาบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้เก่าที่สุดในเยอรมัน ประมาณนั้น)
    • ภูมิใจที่มีคนไทยเก่งๆ ไปสร้างผลงานที่เยอรมัน รู้นะว่าเรียนจบยากกว่าอเมริกาเยอะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ; )
    P

    สวัสดีครับคุณครูแอ๊ว

    • ขอบคุณมากเลยครับคุณครู
    • ดีใจที่คุณครูชอบนะครับ ช่วงเวลานั้นผมคุยอะไรแบบชาวบ้านคุยกัน คุยอะไรแบบเรียบง่าย ไม่ต้องคุยอะไรที่ยุ่งยากในชีวิตเลยครับ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมากๆ ครับ แต่แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากท่านผู้รู้ทั้งหลาย
    • เพิ่งไปดูประวัติคุณครูเมื่อวาน ทราบว่า คุณครูทำงานที่สุรินทร์ พอดีน้องๆที่นี่ ทำโครงการบริจาค สนับสนุนทุนการศึกษากับทาง มูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา อยู่ครับทำกันมา 6 ปีแล้วครับ ปีนี้ก็ต้องทำการตัดสินใจกันอีกครับ ว่าจะช่วยน้องๆ ได้กี่คน มีน้องๆ ที่เกินจากมาจากที่ มูลนิธิจะช่วยได้ ประมาณ หนึ่งร้อยกว่าคนครับ
    • คุณครูเคยได้ยินโครงการนี้ไหมครับ ที่ท่าน อาจารย์ ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร เป็นผู้ประสานงานให้อยู่นะครับ
    • โอกาสหน้าผมคงได้มีโอกาสลงไปเยี่ยมเด็กๆในพื้นที่ครับ คงได้มีโอกาสเจอครับ
    • ขอบคุณมากครับ
    P

    สวัสดีครับท่านอาจารย์

    • ขอบคุณมากนะครับ
    • ไว้ผมค่อยเขียนเล่าประสบการณ์ตอนเด็กตอนป่วยให้อ่านกันอีกครับ เกือบตายเหมือนกัน
    • แล้วมาเจอเหตุการณ์ ช่วงเบญจเพส จากบันทึกนี้ครับ เฉียด___ "วัยเบญจเพส" กับ "น้ำกรดแช่เย็น"
    • แล้วมาเจอที่เยอรมันอีกรอบ กับบันทึกนี้ครับ เมื่อมิสเตอร์ช่วยต้องหามตัวเองส่งโรงบาล ครั้งแรกในเยอรมัน 
    • มีโอกาสได้ตื่นเต้นบ้างครับ แต่ของเป็นบางครั้งครับ บ่อยๆ ไม่ค่อยไหวครับ หัวใจวายได้ครับ
    • ------------------------------------------------------
    • สำหรับมหาวิทยาลัย Heidelberg นั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของเยอรมันครับ ประมาณ 620 กว่าปีครับ ตอนนั้นประเทศเรายังไม่ได้ชื่อว่าประเทศไทยเลยมั้งครับ มหาวิทยาลัยของไทยเรา ก็มีอายุยังไม่ถึงร้อยปีครับที่เก่าแก่ที่สุด ดังนั้นเราก็ต้องเร่งพัฒนาคนและพัฒนาความดี คุณธรรม กันต่อไป
    • ขอบคุณมากๆ ครับสำหรับกำลังใจครับ
    • ขอเป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์ในการพัฒนาคน พัฒนาชาติ เหมือนกันนะครับ และยินดีที่ได้รู้จักท่านอาจารย์ด้วยนะครับ
    • ขอบคุณมากครับ
    • มันไมชีวิตมันถึงทรหดอดทดเช่นนั้นครับอาจารย์
    • ประทับใจน้ำใจคนไทยครับ
    P

    สวัสดีครับ อ.ย่ามแดง

    • ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้หล่ะครับ อาจารย์
    • ขึ้นๆ ลงๆ เรียบๆ  หรือ ซ้ายๆ ขวาๆ กลางๆ
    • ก็ต้องพยายามเรียนรู้ชีวิตไปครับ
    • สถานการณ์บางอย่างทำให้เราได้มีโอกาสโตขึ้นครับ พัฒนาสมองมากขึ้นครับ คิดได้มากขึ้น เปิดหูเปิดตามากขึ้นครับ
    • ไม่ว่าทุกข์หรือสุข แต่ก็นั่นหล่ะครับ กำไรชีวิตครับ
    • หากคนไทยเรียนรู้และพัฒนา คิดวางแผนล่วงหน้าได้เก่ง เข้าใจธรรมชาติมากขึ้น แล้วประกอบกับดวงน้ำใจดีๆ ที่คนไทยมีอยู่นะครับ ผมเชื่อว่าจะมีหลายๆ แห่งที่จะชื่นชมบ้านเรามากขึ้น
    • ขอบคุณมากครับ

    สวัสดีครับ

    มาช้าไปหน่อย

    น่าสนใจครับ ชีวิตต้องผ่านเหตุการณ์ต่างๆ แล้วมาประมวล นำมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อปรับใช้ต่อไป

    น่าสนใจครับ   ขอบคุณครับ

    P

    สวัสดีครับคุณสิทธิรักษ์

    • ขอบคุณมากครับ พอดีบทความยาวไปหน่อยครับ ผมก็เขียนแบบเรียบๆ ไม่ได้ตกแต่งข้อความให้น่าอ่านนะครับ เพราะเจตนาให้คุณค่าของบทความอยู่ในความเรียบง่ายตรงนั้นนะครับ
    • เข้ามาอ่านเวลาว่างๆนะครับผม ด้วยความยินดีเสมอครับ
    • โชคดีตลอดไปนะครับ
    สวัสดีค่ะคุณเม้ง มาขอบคุณสำหรับการตอบคำถามที่กระจ่างยิ่งนัก..และซึ้งกับคำว่า " น้ำใจไทย "..คนไทยไม่ได้ขาดต้นทุนทางสังคมหรอกนะคะเพราะไม่ว่าอย่างไร " สังคมไทย "..ก็ยังเป็นสังคมเปี่ยมสุข มีน้ำใจเสมอมา ตัวอย่างที่ดี..มีค่ากว่าคำสอนมากมายเหลือเกิน... ขอบคุณค่ะ

    P

    สวัสดีครับคุณเบิร์ด

    • ขอบคุณมากครับคุณเบิร์ด
    • ผมเห็นด้วยครับ ตอนนี้ผมไม่กลัว อะไรแล้วครับ บางทีผมหมดพลังครับ แต่ไม่ท้อครับ
    • ตอนนี้ผมมั่นใจว่า หากช่วยกันคิดช่วยกันทำทุกอย่างจะดีขึ้นครับ ความยั่งยืนจะเกิดครับ
    • ขอบคุณมากครับ
    ขอบคุณคุณเม้งที่เล่าประสบการณ์ที่เจอมาให้ฟัง บอกได้เลยว่าน้ำใจไทยไม่เคยเหือดแห้งไปจากน้ำใจคนไทยด้วยกัน อยากให้ประเทศไทยมีความสามัคคีกันก่อนที่จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วค่อยมาสามัคคีกัน

    ลืมค่ะ น้ำใจ มิตรภาพ และความรักไม่ได้หาซื้อได้ด้วยเงิน ตอกย้ำจากตอนที่แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ

    P

    สวัสดีครับคุณราณี

    • ขอบคุณมากครับผม
    • เห็นด้วยทุกประการครับ น้ำใจ มิตรภาพ และความรัก ซื้อไม่ได้ บังคับให้ไม่ได้ หากใครอยากได้ก็ต้องแลกด้วยสิ่งเหล่านั้น ในตัวของมันเองครับ
    • แลกน้ำใจด้วยน้ำใจ มิตรภาพ และความรักก็เฉกเช่นกัน ใช่ไหมครับ
    • ขอบคุณมากครับ
    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท