ช่วงเดือนที่ผ่านมา
ไม่มีโอกาสเขียนบันทึกเลยครับ เพราะมีเรื่องราวที่ต้องจัดการมากมาย
เดือนนี้ทั้งเดือน มีการอบรมที่ อุบลราชธานี ให้แก่เจ้าหน้าที่ pcu
ในเขต 14 ทุกแห่ง เรื่อง "
วิถีชุมชน กับการใช้เครื่องมือ 7 ชิ้น
" 5 รุ่น ราว 1,200 คน อาจารย์ผู้สอนคือ อาจารย์
นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์กับคณะ
ผมได้แต่เคยอ่านหนังสือ วิถีชุมชน ที่อาจารย์เขียน กับดู VCD
แล้วก็เอา vcd เปิดให้ เจ้าหน้าที่ดูบ่อย ๆ
อ่านแล้วรู้สึกพอจะเห็นแสงนำทางในการทำงานกับชุมชน อยากให้เจ้าหน้าที่
pcu ได้เข้าใจได้รับรู้ เรื่องราวเหล่านี้ ช่วงนี้สมหวังจริง
ๆ
ผมตั้งใจเข้ารับการอบรมเป็นพิเศษทีเดียว ขอผู้จัดเพื่อเข้าร่วมด้วย
เพราะสิ่งที่ไม่เก่งเอาเสียเลย ก็เรื่องชุมชนนี่แหละครับ
อยากเรียนรู้มาก ๆ วันแรกอาจารย์โกมาตร
สอนเครื่องมือ 7 ชิ้น
ที่จะพาเข้าสู่โลกของชุมชน และแนวคิดหลัก ปรัชญา
ปฐมภูมิ วันที่ 2
ออกทำกิจกรรมในหมู่บ้าน ผมลองถอดคำว่าหมอออก ถอดคำว่าเจ็บป่วยออก
เข้าหมู่บ้านด้วยความอยากรู้จักชุมชน อยากรู้ว่าเขาอยู่
เขาเป็นยังไง เครื่องมือที่อาจารย์สอน
มันก็สนุกจริง ๆ อย่างที่อาจารย์ว่าเอาไว้
ผมไปกับกลุ่ม ประมาณ 10 คน มีพี่นก
เป็นพี่เลี้ยง ไปบ้านดอนชี อ.เมือง ช่วงเช้า
ให้ทำแผนที่เดินดิน สำรวจ ฉากของละคร ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ผมเริ่มเข้าใจเลยว่าทำไมต้องเดินทำแผนที่ ไม่นั่งรถทำ หรือขอแผนที่จาก
อบต. เดินไป ดูไป ทักทายคนในหมู่บ้านไป
ตอนบ่าย ก็เลือก คนที่เราอยากคุยด้วย
ก็เข้าไปคุยกับตัวละครที่เราเจอเมื่อเช้า
ตอนเช้าระหว่างเดิน มีลุงถนอม มึนมาเล็กน้อยตั้งแต่เช้า
เดินตามกลุ่มเรามาตลอด ผมเลยตั้งให้แกเป็น
navigator ผมสังเกตเห็น
เสาหลักบ้านอยู่กลางถนนเลยครับ ไม่ได้เป็นวงเวียน แต่เสาปักกลางถนนเลย
ก็เก็บความสงสัยไว้
ลุงถนอม navigator กลุ่มเรา เสาหลักกลางบ้าน
ผ่านบ้านหลังหนึ่งมีคุณยาย สูงอายุ 2 คน
นั่งอยู่น่ารักเชียว ผมเลยเลือกที่จะเข้ามาคุยกับบ้านนี้ตอนบ่าย
กับอีกหลังหนึ่ง ชื่อยายเฮือง ผมเห็น หนังสือร่างรัฐธรรมนูญ
เลยถามแกว่า ยายเลือกช่องไหน แกวน ๆ
นิ้วสักพักแล้วจิ้มลงอย่างที่เห็นนี่แหละครับ
ผมเลยเลือกมาคุยกับแกต่อตอนบ่าย
เพราะอยากคุยกับแกต่อ
ตอนบ่าย เข้าไปคุยกับ บ้าน คุณยายรุณ อายุ
95 ปีแล้วครับ กับคุณยาย พู อายุ 86 ปี ยายรุณเป็นแม่เลี้ยงยาย พู
ซึ่งไม่มีสามี แกเลยอยู่ด้วยกันมานานจนสนิทกัน (
ดูตามอายุที่อยู่ด้วยกันมา ก็น่าจะสนิทกันจริง ๆ )
ที่บ้านอยู่กับหลานสาว หลานเขย ตอนกลางวันก็อยู่กันสองคน
บนแคร่ ยายรุณหูแกหนวกไม่ได้ยินแล้วครับ แกพูดกับ อรรถ
ที่มากับผมว่า " มายังไง เสียเงินจั๊กบาท มีเมียหรือยัง"
แล้วก็นอนต่อ สักพักลุกขึ้นมา "เอามาราเซมอน มาให้แม่หน่อยเด้อ "
ยายพูนั่งข้าง ๆ ก็พอกันครับ นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ผมกับอรรถ
ต้องการถามเรื่องผังเครือญาติ ของแก ดูท่าทางตระกูลน่าจะใหญ่
อยากรู้จักชีวิตแก แต่แกจำได้แค่ตอนจบ ป. 6
กับเมื่อเดือนก่อน ถามเรื่องราว ระหว่างนั้นไม่รู้เรื่องเลยครับ
แต่ก็สนุกดี
สักพักผมกับ อรรถกำลัง จนแต้มไม่รู้จะถอดผังเครือญาติ
ประวัติชีวิตยังไงดี ยายเพ็งข้างบ้านเดินเล่นมาพอดี แกอายุ 65
ปี ผมเลยถามแก ได้ความว่า ยายรุณเป็นลูกสาวคนเล็ก พ่อใหญ่แป พาชนพูล
ก็พ่อใหญ่แป นี่แหละ เป็น
คนพาชาวบ้านอพยพมาตั้งหลักปักฐานที่นี่
แล้วก็เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ผมเลยถามว่า ยายเห็นเสาหลักบ้าน
มาตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า แกบอกว่าใช่ เมื่อก่อนตอนแกเกิด
มีเหตุการณ์ บ้านเดือด คนตายหามออกจากหมู่บ้าน 1
คน กลับมาตายต่ออีก 2 คน พ่อใหญ่แป เลยพาคนย้ายมาอยู่ที่นี่
หมู่บ้านเดิมเลยเป็นป่า เป็นที่ตั้งของศาลปู่ตา เรียกว่า
พ่อสุพรรณ ผมนึกในใจ " บิงโก !
" พ่อสุพรรณเป็นปู่ตาที่คุ้มครองหมู่บ้าน
ได้เรื่องราวของพ่อใหญ่แป และครอบครัว พอสมควร ได้ประวัติศาสตร์ชุมชน
มาด้วย
กลับมารวมกลุ่มที่วัด
ผมเห็นคนหนึ่งนั่งตัวดำ อยู่ที่แคร่
เดินไปนั่งด้วยลองถามเพื่อความแน่ใจ " พี่ ๆ รู้จัก
ปู่สุพรรณไหม ? " แกบอก ทำไมจะไม่รู้จัก
เวลาทำอะไรในหมู่บ้านต้องบอกท่านก่อนนะ ทำอะไรไม่ดีไม่ได้นะ
ท่านจะมาเตือน พร้อมชี้ไปที่คนข้าง ๆ " เนี่ย เมียมันชอบด่าคน
เมื่อเดือนก่อน ปากเบี้ยวไปเลย ฮึ ฮึ " คนข้าง ๆ พยักหน้า หงึก
ๆ บอก ผู้ใหญ่บ้านพูดถูก ผมนึกในใจ " อ้าว
ผู้ใหญ่บ้านเองหรือนี่ วันนี้ บิงโกบ่อยเหลือเกิน !
"
เลยถามถึงหลักบ้าน แกบอกว่า
ตอนย้ายมาเมื่อ 64 ปีก่อน ตอนบ้านเดือด ก็มาตั้งหลักบ้าน เรียกว่า
" บือบ้าน "
เวลาพระจะบิณฑบาตร ต้องเดินไปเริ่มต้นที่บือบ้าน แล้วเดินกลับ
ชาวบ้านถึงจะเริ่มใส่บาตรได้ เมื่อก่อน มีสี่เสาเลยนะ
เป็นไม้แก่น ไม่กี่ปีก่อน
อยากให้เหลือเสาเดียวทันสมัยหน่อย ก็ต้องไปหาพ่อใหญ่ตาล
แกเป็นคน "เสี่ยง
"
ผมเลยถามต่อว่าเขาเสี่ยงกันยังไง แกบอกว่า ก็
ให้พ่อใหญ่ตาลถามท่านว่าจะอนุญาตให้เปลี่ยนเสาไหม
เอาไม้ท่อนขนาดยาวเท่า ปลายนิ้วมือซ้าย ถึงปลายนิ้วมือขวา
ตอนกางแขนสุด ถ้าอนุญาต วัดครั้งที่สองก็ทำให้ไม้สั้นลง
เลยถามว่าสั้นลงไม๊ล่ะ ผู้ใหญ่บอกว่า ก็สั้นลงไปคืบหนึ่งจริง ๆ
เลยได้เปลี่ยนเสา
เมื่อปีก่อน รองเจ้าอาวาส
มรณภาพเจ้าอาวาสอยากใช้รถ รับศพไปทำพิธีที่ป่าช้า
ก็ต้องเสี่ยง ผมเลยว่า อ้าว
ปกติไม่ได้ใช้รถรับศพไปเผาหรือ แกบอกว่า ป่าช้าอยู่ออกไป 2
กิโลเมตร เดิมเคยใช้คนแบกศพ เริ่มจาก บือบ้านนี่แหละ ไปเผาที่ป่าช้า
เป็นอย่างนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว ไม่มีเมรุเผานะ
เผากันกับกองฟอนเลย ก่อนเผา หนึ่งวัน คนแก่ในบ้านจะเดินไป
เอาไข่ลองโยนดู ถ้าไข่ไม่แตก แสดงว่าที่ตรงนั้นมีเจ้าของ
ต้องหาที่เผาใหม่ ผู้ใหญ่บอกว่า ก็แปลก
ทุกครั้งที่ขุดฝังกระดูกไม่เคยเห็นกระดูกคนที่ถูกเผามาก่อนเลย
ปรากฏว่า พ่อสุพรรณอนุญาต ให้ใช้รถรับศพไปเผาได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเป็นอันสิ้นสุด
พิธีแบกศพหันมาใช้รถแทน ผมลองมองดูที่วัด
ก็ไม่มีเมรุเผาศพจริง ๆ เมื่อ 4 ปีก่อน ได้ งบ SML มาสร้างศาลาบริเวณป่าช้า
ยังต้อง "เสี่ยง" ถามพ่อสุพรรณก่อนเลย
หันไปเห็นกำแพงวัดมีช่อง เปิดเอาไว้พอคนเดินผ่าน
ผู้ใหญ่บ้านเลยบอกว่าเมื่อก่อนเป็นทางเดินคนเก่านี่แหละ
พอสร้างกำแพงวัด ก็เลยต้องเจาะช่องไว้ 3 ช่อง เพื่อให้พ่อสุพรรณ
เดินผ่าน คอยตรวจตรา
ที่นี่เวลาใครจะไปจะมา ต้องมาบอก "เฒ่าจ้ำ " ชื่อ ศุภกิจ เป็น
อบต.ด้วย เป็นคนที่ พ่อใหญ่ตาลเลือกตาม
พ่อสุพรรณ เวลาจะแจ้งพ่อสุพรรณ เรื่องอะไร
ต้องมาบอก "เฒ่าจ้ำ" แต่คน "เสี่ยง" คือ
พ่อใหญ่ตาล
ตอนนั่งพัก ผมแปลกใจเล็กน้อย
เรื่องทั้งหมด เกิดที่ อำเภอเมือง ปี 2550
เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง
1. เพียงแค่วันเดียว
ผมได้รับรู้เรื่องราว ของบ้านที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน
จากการใช้เครื่องมือที่ทำให้รู้จักโลกของชาวบ้าน
เหมือนอย่างที่อาจารย์ โกมาตร บอกว่า ได้ผล
แล้วก็สนุกที่จะทำด้วย
2. ถ้าเราถอด หมวก หมอ
หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ถอดคำว่า สุขภาพความเจ็บป่วยออก
ก่อนเข้าไปเรียนรู้วิถีชุมชน
เราจะได้อะไรมากมาย กว่าที่เราเคยได้เรียนรู้
เมื่อเราเข้าไปในชุมชนเพียงเพราะว่า เราจะเข้าไปหาปัญหาสุขภาพ
เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ
3. วิถีชุมชน ซับซ้อน มีชีวิต
มีเรื่องราวที่ร้อยเรียง มีเงื่อนไข
เหมือนชีวิตคน
ถ้าเราต้องการทำงานที่เกี่ยวกับสุขทุกข์ ของคน ของชุมชน
ให้ได้ความเหมาะสม และพอดี มีเหตุมีผล
ผมเห็นทางออก ก็คือ ต้องรู้จักคน รู้จักชุมชน
เป็นอย่างดี เสียก่อน เราถึงจะค่อยมาคิดวางแผนการทำงานให้เหมาะสม
ต่อไป
ทำงานตาม เงื่อนไขชีวิต
เงื่อนไขชุมชน
4. แถมท้าย !!! ผมถามคุณยายเฮือง
ว่าทำไมเลือกไม่รับรัฐธรรมนูญ แกบอกว่า
จะมาเปลี่ยนรัฐธรรมนูญที่มีมานานตั้งแต่ พ่อแม่ ได้ยังไง
ชาติไทยก็จะเปลี่ยนไป ( แกเข้าใจว่า
ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญมีฉบับเดียว )
เลยถามต่อว่าแล้วมีใครมาบอกอะไรยายไหม ว่าให้รับ หรือไม่รับ แกบอก
จั๊กแล้ว ยายคิดเอาเอง เป็นอันสรุปว่า
ที่ยายเฮืองไม่รับรัฐธรรมนูญ
ไม่เกี่ยวกับ อำนาจเก่า อำนาจใหม่ ใด ๆ ทั้งสิ้น