ปัจจุบันจิต...รักษาโรคสามัญของใจ


จิตที่ผ่อนคลาย จิตที่ปล่อยวาง เข้าใจตามเป็นจริง เป็นจิตที่แสนสบายรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นอิสระและเข้มแข็ง

ช่วงนี้ผมมีเวลาที่จะพบกับน้องๆที่เรียนปริญญาโท ซึ่งเป็นรุ่นน้องของผมเอง ด้วยวัยที่ไม่ต่างกันมาก  นอกจากน้องๆจะมาพูดคุยกับผมเรื่อง การทำหัวข้อวิทยานิพนธ์กันแล้ว ก็มีการมาระบายปัญหาชีวิตให้ฟังและขบคิดร่วมกับพวกเขาบ่อยๆ

ช่วงหลังปัญหาเริ่มมากขึ้น เพราะใช้เวลาคุยเรื่องหัวข้อ ๒๐ เปอร์เซนต์ อีก ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นการแก้ไขปัญหาส่วนตัว ซึ่งก็หนีไม่พ้นปัญหาเรื่องรักๆใคร่ๆ ที่สวยงามหอมหวานและทุกข์ระทม หรือทุกข์ๆสุขๆ ตามประสา

ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อ ผมเองก็มองว่าการที่ได้เป็นที่ปรึกษาน้องๆ ทุกเรื่องไม่เว้นแม้เรื่องส่วนตัว ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น เรียนรู้จากชีวิตที่หลากหลายของน้องๆกลุ่มนี้ และผมทำหน้าที่รับฟัง พร้อมกับพยักหน้า เออ ออ ที่บรรดาน้องตั้งคำถามเอง พร้อมตอบเองในบางครั้ง

ผมมีความรู้สึกว่าปัญหาของน้องๆ (ปัญหาส่วนตัว) เริ่มมากขึ้นทุกวัน และปัญหาเหล่านี้เองที่คุกคามชีวิตของน้องไปทีละน้อยๆ จนบางครั้งสังเกตว่ามีบุคลิกที่เปลี่ยนไป นั่นแสดงว่ามีเหตุที่ทำให้น้องๆเปลี่ยนไป

ปัญหาเกือบทั้งร้อย เป็นเรื่อง ความรัก

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์  ประโยคนี้ผมเห็นด้วยครึ่งหนึ่ง ผมมองว่า ความรักที่ดี ความรักที่เกิดจากการให้เป็นความรักที่อุดมด้วยความสุข ทั้งผู้ให้และผู้ได้รับ  แต่ส่วนหนึ่งที่ทุกข์ระทมกับความรักเช่นน้องๆของผม ก็เกิดจากการรักที่ไม่เข้าใจในรัก รักที่แฝงไปด้วยความคาดหวัง มีอารมณ์หลงใหลเข้ามาเกี่ยวพันมากมาย เมื่อไม่สมหวังก็บาดเจ็บเจียนตาย แบบนี้เรียกว่า ทุกข์ที่เกิดจากความรัก เป็นปัญหาสามัญ ครับ

ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการแก้ไขปัญหาหัวใจหรอกครับ แต่ผมก็เป็นเพื่อน เป็นพี่ที่คอยรับฟังและพูดบางคำให้น้องๆได้คิด คราเมื่อเกิดหัวใจสะดุด

ส่วนหนึ่งที่เจ็บกันเรื้อรัง และเจียนตาย คือการติดกับอดีต การหลงในอดีตทำให้เราคิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เวียนวนอยู่ร่ำไป ตีอก ชกตัว ว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ เมื่อทำแบบนั้นแล้ววันนี้คงไม่เป็นแบบนี้ ...มัวแต่คร่ำครวญอดีต แต่ไม่ได้นำมาเป็นแนวทางในปัจจุบัน

อยู่กับปัจจุบัน  เป็นคำพูดที่ผมบอกพวกเขาทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น  แต่ก็ยากเมื่อจะทำ เพราะการที่จะลบสิ่งที่ค้างคาใจให้เกลี้ยงเกลานั้น เราต้องฝึกฝน เราฝืน เพื่อให้สำเร็จ  เราจะพบว่าชีวิตเราเบาสบายกว่าเยอะ

เพราะอะไร เพราะการหลงกับอดีตเราถูกตะกอนของอุปทาน ความยึดมั่นสำคัญผิดครอบคลุมชีวิตเรา  ทำให้ชีวิตเราบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริงแล้วก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เพราะใจเราไปยึดมั่นกับสิ่งไม่มีอยู่ แล้วอ้างว่ามันมีอยู่ เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มันจบไปแล้ว ย้ำ...มันได้จบไปแล้ว

ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้วเราปรับใจของเราให้อยู่กับปัจจุบันได้อย่างนี้ ความยึดมั่นสำคัญผิดต่างๆ ก็จะจางหายไปจากชีวิตเรา เราเองก็จะอยู่กับความจริงมากขึ้น ถามว่า บอกให้ทำมันง่ายนะ แต่เอาเข้าจริงๆมันทำยาก... 

ครับแน่นอนครับ  ทำยากแน่นอน มันไม่ง่ายเหมือนกดปุ่มรีโมททีวี เปลี่ยนช่องที่ไม่พึงใจง่ายๆ  ก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องฝึกไปเรื่อยๆครับ  ผมว่าคนเราชนะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร

ว่ากันว่าการฝึกนี่ก็แปลกครับ มันยากเหมือน ทดน้ำขึ้นภูเขากว่าจะขึ้นทีละคืบ โอโฮ้..ทำไมยากเย็นเข็ญใจอย่างนี้นะ... แต่เวลาทำนบที่ทำรั่วนี่ พรวดเดียวพังหมดเลย น้ำไม่เหลือสักหยด

จิตที่ผ่อนคลาย จิตที่ปล่อยวาง เข้าใจตามเป็นจริง เป็นจิตที่แสนสบายรองรับสถานการณ์ใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นอิสระและเข้มแข็ง

ผมเองก็ฝึกอยู่เช่นกันครับ....
หมายเลขบันทึก: 75132เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2007 16:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

เช่นเดียวกันครับอาจารย์ผมเองก็ฝึกอยู่ จากประสบการณ์นะครับ ผมว่าแรกๆที่พบเจอปัญหาเช่นนี้มักจะหลงทางหาทางออกไม่เจอ "มึน" ไปหมด คิดอะไรไม่ออก และก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะคิดอะไรด้วย โดยเฉพาะเรื่องงานแล้วไม่ต้องพูดถึงเลย ใครที่ว่าแน่ๆก็ลองสัมผัสดูนะครับ  ทางแก้ก็อย่างที่อาจารย์บอกไว้นั้นแหล่ะครับ ทิ้งอดีตไว้แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป แล้วก็ไม่ใส่ใจกับมัน ลืมๆไป คิดว่าตื่นเช้ามาก็มีชีวิตเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง  มันไม่มีอะไรผ่านเข้ามาแล้วจะไม่มีวันพ้นไปหรอกใช่ไหมหล่ะครับ  "วันนี้เลวร้าย พรุ่งนี้อาจสดใส ดีงามก็ได้" ถ้าอยากเข้าใจง่ายๆผมแนะให้ฟังเพลงนี้นะครับ 

        - เพลง "ผ่าน"  ของ slot machine

        - เพลง "อากาศ" ของ Body slam 

ความหมายชัดเจนมากนะครับ "โดนสุดๆ"

คุณ  พรหมลิขิต

ครับ ถูกต้องอย่างที่สุด

แล้วก็แล้วไป ถือว่าได้ตายไปแล้ว เราเกิดใหม่ เป็นวัฎจักรที่เราต้องเจอครับ

ผมคิดว่า การคิดซ้ำๆ คิดเรื่องเดิม เราเหมือนตอกย้ำให้ตนเองเจ็บปวดไม่รู้คลายนะครับ

ผมจะลองหาฟังเพลงที่คุณพรหมลิขิตแนะนำนะครับ


...

เพลงก้อนหินก้อนนั้น   ลองหาฟังดูนะครับ

 

เพลงผ่าน

Slot Machine

 

ไม่ว่าเจอสิ่งใด เนิ่นนานไปก็แปรเปลี่ยน สักวัน
เคยวิ่งตามความฝัน แต่บางครั้งก็ต้องหยุด แค่นั้น
เมื่อก่อนเคยรัก เคยผูกพัน
แต่มาวันนี้เหมือนเป็นเพียง คนเคยได้รู้จักกัน
วันนี้มีสุขใจ แต่ต่อไปสักวันคง วุ่นวาย
หากความทุกข์ทนจางหาย อาจจะมองเห็นความสุข อีกครั้ง

จึงทำให้ฉัน ได้เข้าใจ
ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร ฉันจะก้าวเดินต่อไป

*อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ
ยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำ
เก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว
ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ

วันที่ทำผิดไป อาจเจอใครที่เข้าใจ สักคน
ในความมืดมนสับสน อาจเจอคนที่จริงใจ ไม่ยากนัก

จึงทำให้ฉัน ได้มั่นใจ
ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร ฉันจะก้าวเดินต่อไป

(ซ้ำ *)

ในความมืดมิดยังมีดวงดาว
และแดดยามเช้าพาให้เราก้าวไป

"ทะเลใจ" ของคาราบาวก็ไม่เลวนะครับ

สวัสดีครับแวะมาทักทายครับ

สวัสดีครับ คุณ kareem

เพลงทะเลใจนี่เป็นเพลงโปรดของผมเลยครับ ที่ผมฟังแล้วชอบมีอีกเพลงคือ เพลง Live and learn ฟังกี่ครั้งความหมายดีช่วยเตือนใจครับ

ขอบคุณครับที่มาทักทายครับผม

  • ทีใดมีรัก  ที่นั่นมีทุกข์  .. ผมมองว่าเป็นปัญหาประวัติศาสตร์ของชาวโลกที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่และจะดำไนนไปอย่างไม่รู้จบ...
  • การติด (ยึด) กับอดีต และ การอยู่กับปัจจุบัน คือ ท่วงทำนองอันสำคัญของการมีชีวิตอยู่ว่าจะมีคุณค่า ควมหมายและมีจุดหมายปลายฝันเช่นใด

สวัสดีครับ คุณ แผ่นดิน

อากาศหนาวมากขึ้น...หัวใจกลับอบอุ่นมากขึ้น เรื่อง "ความรัก" ผมคิดว่า คุณแผ่นดินเป็นอีกท่านหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญนะครับ

ไม่ว่าจะเจ็บปวดกับความรัก หรือ สถานการณ์ใด อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด..แต่ก็ทำยากตามที่ผมเขียนไป

พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ฝึกได้ครับ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป

ขอบคุณครับ

  • ด้านหลังของความสมหวัง ก็คือความผิดหวัง
  • ความผิดหวัง ก่อให้เกิดความขมขื่น อาการขมขื่นเพราะอกหัก เปรียบเสมือนยา แต่เป็น "ยาถ่าย" ที่ถ่ายถอนความโง่...ความหลง...ที่คนอีกหลายคนเขาก็อาจจะยังไม่โชคดีมีโอกาสได้ลิ้มรส...
  • คิดเสียว่าเราเป็นหนึ่งในคนโชคดีค่ะ

กำลังฝึกอยู่เช่นกันค่ะ

ฝึกบ่อยๆ จะทันอารมณ์เร็วขึ้น..และจะดีใจที่เข้าใจธรรมชาติของทุกข์ค่ะ ...วันนี้ เพิ่งจะ ดีใจที่มีวันนี้ มาหมาดๆค่ะ..ด้วยการนิ่งและทบทวนตัวเอง ถึงอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผล..

ตราบใดใจยังอุ่น ตราบนั้นรักยังไม่จาง...แต่รักไม่บาดลึกต่อไปเพราะเข้าใจธรรมชาติของรักค่ะ...ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญค่ะ อธิบายตามประสบการณ์ที่มีบ้างเล็กน้อย

ผมได้ประโยคสวยๆ จากทั้งสองท่าน ทั้ง พี่ ปวีณา ธิติวรนันท์ และ อาจารย์ จันทรรัตน์

...................................

  • ความผิดหวัง ก่อให้เกิดความขมขื่น อาการขมขื่นเพราะอกหัก เปรียบเสมือนยา แต่เป็น "ยาถ่าย" ที่ถ่ายถอนความโง่...ความหลง...ที่คนอีกหลายคนเขาก็อาจจะยังไม่โชคดีมีโอกาสได้ลิ้มรส...

    พี่ ปวีณา ธิติวรนันท์

    ....................................

     ตราบใดใจยังอุ่น ตราบนั้นรักยังไม่จาง...แต่รักไม่บาดลึกต่อไปเพราะเข้าใจธรรมชาติของรัก

    อาจารย์ จันทรรัตน์

    .....................................

    ชอบมากครับ ต้องขอขอบคุณอาจารย์ทั้งสองท่านครับ

    • ตามมาซึมซับครับผม

    มาเยี่ยม...อ่านแล้ว  ขอชื่นชมมุมคิดดี ๆครับ

    นึกถึงธรรมบทที่เคยแปลว่า...

    ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงบังไม่ดีฉันใด

    ราคะ (ความรักความใคร่) ย่อมรั่วรดจิตใจที่ไม่ได้อบรมฉันนั้น.  พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 ข้อ 16.

    อาจารย์นเรศมันต์

    ไม่มีรูป
    นม.

    ขอบคุณครับอาจารย์ ผมเพิ่งเห็น comment อาจารย์ ที่ตามมาซึมซับธรรมะแบบชีวิตของผม

    ขอบคุณครับ

    อาจารย์ ดร.อุทัย ครับ

    P
    umi

    ผมถอดบทเรียนตัวเองมาเขียน อาจเป็น คนเขียนธรรมะแนวติดปีก ไม่ลึกซึ้งมากมาย แต่นี่เป็นชีวิตครับผม

    ลองอ่านและให้ข้อเสนอแนะผมไปเรื่อยๆนะครับ

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท