สวัสดีครับชาว Blog ที่รักทุกท่าน
ในวันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2550 นี้ ช่วงเช้าผมได้รับเกียรติจากโครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิตการบริหารการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เรียนเชิญผมร่วมอภิปรายวาระแห่งชาติที่เร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และการศึกษา โดยมีผู้ร่วมอภิปราย คือ นายกร ทัพพะรังสี, ศ.ดร.สุชาต ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, ศ.ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ, นายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยผู้ฟังประกอบไปด้วยอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษาปริญญาเอก จากสถาบันอุดมศึกษา และผู้สนใจจำนวน 200 คน ผมจึงได้เปิด Blog นี้ขึ้นมาเพื่อทุกคนจะได้มีส่วนแสดงความคิดเห็นเรื่องวาระแห่งชาติที่เร่งด่วนเพื่อเป็นแนวทางในการไขปัญหาของหลาย ๆ ฝ่าย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะได้รับความคิดเห็นจากทุกท่าน
จีระ หงส์ลดารมภ์
ภาพบรรยากาศการบรรยาย
แล้วในงานผู้ร่วมอภิปราย เขาว่าอย่างไรกันบ้างล่ะ ค่ะ จะได้ร่วมแสดงความคิดเห็นถูก
ยินดีต้อนรับท่าน ศ.ดร จีระ หงส์ลดารมภ์
สวัสดีครับท่านอาจารย์จิระครับ ผมศิษย์เก่าทศ.ครับเพิ่งเข้ามาเว็บนี้เป็นครั้งแรกประทับใจมากครับโดยเฉพาะทราบว่าท่านอาจารย์มีการจัดอบรมให้กับรุ่นน้องที่โรงเรียนไม่ทราบว่าผมพอจะมีโอกาสได้รับใช้ท่านอาจารย์ได้บางไหมครับ
ผมสามารถประสานงานกับทางทีมงานท่านอาจารย์ได้อย่างไรบ้างครับ
ขอบคุณครับ
อธิดล โทร 0896802817
เรียนท่าน ดร. จิระ
ท่านลองเข้าไปดูในบันทึก ของมิสเตอร์ช่วย คงจะช่วยได้อีกเยอะ
สวัสดีครับ
เห็นควรอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อน คุณธรรมนำชาติ ให้เป็นวาระแห่งชาตด้วยครับ รบกวนให้คำชี้แนะและร่วมระดมสมองใน concept idear การเผยแพร่ธรรมะในเชิงรุก ด้วยครับ
ขอบคุณครับ
เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ---------> http://www.somporn.net ---------> http://www.schuai.net เมื่อ จ. 14 พฤษภาคม 2550 @ 00:14 [259473] |
นายประยูร พงษ์ประภาพันธ์
เมื่อ เสาร์ 26 พฤษภาคม 2550
เรียน ศ.ดร. จีระและเพื่อนร่วมรุ่นทุกท่าน
ผมเสียดายมากที่ไม่ได้ไปอบรมในสัปดาห์ที่ 1 ณ โรงแรมเมธาวลัย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เนื่องจากต้องเดินทางไป ปฏิบัติราชการที่ประเทศภูฏานกับคุณ พิบูลย์ บัวแช่ม (อคฟ) ระหว่างวันที่ 14-18 พฤษภาคม 2550จริง ๆ แล้วผมและคุณพิบูลย์ บัวแช่ม เดินทางไปกับผู้บริหารระดับสูงของกฟผ อีก 2 ท่าน
ผมเชื่อว่าภูฎาน คือจุดหมายในฝันแห่งหนึ่งที่ทุกท่านอยากมาเยือน แต่อีกนั่นแหละ มีไม่มากคนนักที่เคยได้ไปเยือนเนื่องจากค่าใช้จ่ายไปภูฎานค่อนข้างสูง จากข้อมูลคร่าว ๆ เที่ยวภูฎาน 5 วันมีค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท หลายคนจึงเก็บแผนเดินทางไปภูฎาน ซุกเอาไว้ในความฝัน...
ผมอยากจะ SHAREประสบการณ์ในการไปภูฏาน ครั้งนี้กับการอบรมของหลักสูตรของเรา โดยเฉพาะ newsletter เป็นสกู๊ป”บทเรียนจากความจริง” ของอาจารย์ใน น.ส.พ แนวหน้า วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2550 ในหัวข้อเรื่อง คนไทยต้องเอาจริงกับการเรียนภาษาอังกฤษ
ภาษาซ็องค่า(Dzongkha)เป็นภาษาประจำชาติของชาวภูฎาน แต่ผู้ที่มีการศึกษาพอสมควร จนถึงระดับสูงจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีแม้กระทั่งพนักงานขับรถที่มาให้บริการเรา เท่าที่ทราบผู้ที่เรียนเก่งรัฐบาลจะส่งไปเรียนต่างประเทศเพื่อกลับมาพัฒนาประเทศ หันกลับมาประเทศไทยผมว่าคนที่จบปริญญาตรียังมีปัญหาการพูดการเขียนภาษาอังกฤษพอสมควร ผมว่าแนวการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเราควรต้องพิจารณาใหม่
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ว่า ครูภาษาอังกฤษต้องมี life long learning และมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ผู้นำและผู้บริหารในวันนี้ต้องเก่งงานและเก่งคน แล้วควรต้องเก่งภาษาอังกฤษและเก่ง computer ด้วยจึงจะเจ๋งจริง
ขอขอบคุณทุกท่าน
ประยูร พงษ์ประภาพันธ์กราบเรียนที่ผู้มีอุดมการณ์เป็นห่วงชาติทุกท่าน
กระผมขอเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมนะครับ
1.ในเมื่อมีการพัฒนาด้านโภชนาการก็ควร พัฒนาเรื่องที่อยู่ที่อ่านหนังสือหรือทำการบ้านที่เหมาะสมก็ควรให้ความรู้ประชาชนเรื่องนี้ด้วย จะได้มีบรรยากาศในการเรียนรู้ที่เหมาะสม
2.การรวมประถมกับมัธยมผมว่ารวมได้และดีด้วยถ้าเรื่องที่เรียนจบไวก็นำเรื่องที่ยากมาปูพื่นทำให้กระชับเวลาการศึกษา แต่ในตอนนี้ยังไม่ควรรวมเพราะม.ต้นกับม.ปลายยังจัดกันไม่เข้าถ้าอยู่เลย แก้แล้วข่อยขยายน่าจะดี
3.ผอ.กำหนดหลักสูตรผมว่าดี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้แต่ละโรงเรียนมีอิสระในการแสดงฝีมือและเกิดการแข่งขันอะไรที่มีการแข่งขันจะพัฒนาเร็ว มีสิทธิเพิ่มหนือลดคาบไปเลยยิ่งดี แต่จะทำให้ที่เรียนพิเศษต่างจัดคอสลำบากถ้าทำเช่นนั้นคงต้องมีทางออกให้เด็กเหล่านั้น เช่น ให้รุ้นพี่สอนพิเศษน้องโดยมีการกำกับจากครู ก็เป็นอีกทางออกที่แก้ปัญหาที่สอนไม่ทันของครูได้
4.การกระจายความเจริญทางการศึกษาไปสู่ต่างจังหวัด อันนี้เจงมากทำให้ได้นะครับ เพิ่มเติมนำสิ่งดีๆจากต่างจังหวัดมาให้กรุงเทพด้วยนะครับ และควรมีการค้นหาช้างเผือกด้วย
5.สำหรับปัญหาขาดครูเฉพาะทางก็ทำ"โครงการสอนครูฟรีให้ดีกว่าเดิม" อบรมครูทั่วประเทศโดนนำผู้รู้จริงมาสอนช่วงปิดเทอมเพื่อให้ครูเข้าใจลึกสึ่งที่การศึกาต้องการให้เด็กทราบอยางแจ่มแจ้ง
6.การเมืองกับการศึกษาถ้าไม่อยากให้การเมืองมาข้องเกียวก็อย่ามีข้อเสียให้มาเกินหานโยบายมาปิดจุดอ่อนตนซะไม่ต้องให้การเมืองมาสอน
7.อยากให้เด็กเข้าวัดก็กำหนดให้เด็กบวชเรียนสัก1พรรษาเพื่อเป็นการศึกษาเข้าเป็นหลักสูตรบังคับไปเลย
8.เรื่องค่าเล่าเรียนลองมีนโยบายเพื่อนให้ทุนเพื่อนสิให้น.ร.ในร.ร.เก็บเงินวันละบาทเพื่อเป็นทุนเรียนฟรีให้เพื่อน โดยมีข้อแม้ว่าเด็กที่ได้ทุนต้องมาจากคุณสมบัติ2ประการ 1.ทุนเรียนดี 2.ทุนเด็กดี (โดยมีข้อแม้ให้งบกับผู้ที่ยากจน) สองทุนควรแยกหรือรวมกันผู้ให้ทุนควรพิจารณาตามความเหมาะสม
9.ปัญหาผลิตคนไม่ตรงตลาดนี้ควรมีคำแนะนำตลาดให้คนในประเทศก็จริงและควรอธิบายงานนั้นๆด้วย ให้เยาวชนตัดสินใจเองไม่ควรบังคับ
สวัสดีครับอาจารย์
พอดีเปิดเจอได้อ่าน และขอใช้ช่องทางนี้สื่อแสดงความคิดเห็น สังคมการศึกษาของเราไม่สมควรแบ่งแยกระหว่างการเมืองกับการศึกษา ผมใคร่เห็นทุกภาคส่วนของสังคมไทย ถูกขับเคลื่อนไปพร้อมกัน เพราะการเมืองเป็นภาคที่มีศักยภาพด้านขับเคลื่อนดำเนินการ ถึงเวลาที่สังคมเราควรต้องเข้าไปมีบทบาทกำกับการเมือง เพื่อให้การเมืองเป็นตัวแทนที่ดีอันแท้จริงของเรา โดยสร้างภาคประชาสังคมให้เข้มแข็งไม่ว่าจะเป็นการเปิดใช้ช่องทางสื่อเดี่ยว แล้วขยายออกไปเป็นกลุ่ม และขอให้เป็นไปในแนวทางสร้างสรรค์ ไม่ประสงค์ต่อผลประโยชน์ส่วนตน หรือพรรคพวก การเมืองไทยสมควรต้องเข้าไปทำหน้าที่สนองตอบให้แก่ภาคประชาสังคม หากการเมืองใดไม่สนองตอบสังคม สังคมสมควรต้องรวมกลุ่มกดดัน ไปไหน เจอที่ไหนไม่ให้เกียรติ ไม่เชิญ ไม่ทักทาย ไม่ยกมือไหว้ ไม่ให้ความสำคัญ หรือทำเมินมองไม่เห็น ให้เกิดความละอาย เพราะนักการเมืองนั้นมิใช่นายเรา แต่เขาเป็นเพียงตัวแทนของเรา หากไม่ดีพอสมัยต่อไปช่วยกันประโคมประจานขับไล่ มิให้ชาวบ้านเลือกเข้ามาทำหน้าที่อีก แต่ถ้าดีต้องช่วยกันรักษาสนับสนุน ให้ความร่วมมือพัฒนาประเทศกันอย่างเป็นระบบ เพราะหากเราไม่อาศัยการเมือง เราก็คงได้แต่คิด แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนกันได้อย่างที่เป็นอยู่ จึงจำเป็นต้องร่วมดำเนินไปด้วยกัน
ระบบการศึกษาของเราเช่นกัน ต่างศึกษากันไปอย่างไร้ทิศทาง แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเท่านั้น จบมาตกงานกันมากมาย เสียเวลา เสียโอกาส ยกตัวอย่างเช่น สาขาพยาบาลต่างประเทศต้องการมาก สามารถสร้างงานสร้างรายได้ที่ดีให้กับคนไทยได้ แต่ไปติดขัดกับข้อจำกัดสัดส่วนด้านปริมาณระบบครูผู้ฝึกสอนในแต่ละปีการศึกษาเป็นผลให้ไม่สามารถสนองตอบสังคมได้ ใคร่เห็นระบบการศึกษาไทยควรอ้างอิงกับฐานข้อมูลความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อแจ้งทิศทางปริมาณความต้องการแรงงานในแต่ละสาขาวิชาชีพให้เด็กได้ตัดสินใจ อาจจะค่อย ๆ ดำเนินการในแต่ละภาคส่วนวิชาชีพที่สามารถบริหารจัดการได้ไปก่อนแล้วระบบจะค่อย ๆ ปรับตัวเข้าสู่ฐานข้อมูลเชิงประสิทธิภาพในที่สุด ทุก ๆ ปัญหาของสังคมล้วนมีที่มาที่ไปจากต้นน้ำของสังคม เรามักไม่ไปใส่ใจแก้ไขแต่ต้นมือ รอแก้ไขเฉพาะปลายทางของสายน้ำที่ต่างแตกแขนงก่อปัญหาไปอย่างมากมาย สิ้นเปลืองทั้งทรัพยากร เวลา แรงงาน งบประมาณอย่างไม่สมควรเป็น จึงประสงค์จะเห็นแนวคิดดี ๆ ที่มีกระจัดกระจายอยู่มากมายในสังคมสมควรนำมาเชื่อมร้อยเข้าด้วยกัน แล้วให้ระบบการเมืองมาศึกษาเชื่อมโยง จัดระบบเข้าดำเนินการในรูปของกิจกรรม หรือโครงงานรองรับ เชื่อว่าสังคมไทยจะเกิดความร่วมมือสมัครสมานสามัคคี ไม่แบ่งแยก แบ่งฝ่ายเช่นที่เป็นอยู่ เราต้องยอมรับว่าสังคมไทยต้องประกอบกันจากคนหลากหลายภาคส่วน แต่ต้องมาหลอมใจรวมกันทำหน้าที่ด้วยสำนึกแห่งความรู้รักสามัคคี ปัญหาทุกอย่างจึงจะได้ข้อยุติ