concept idear การเผยแพร่ธรรมะในเชิงรุก


ติดอาวุธให้ธรรมะแล้วพุทธานุภาพจะปรากฎ

รูปจาก www.masaru-emoto.net



Hado (life force energy)experiment. How human thought forms and words, change the molecular structure of water. Performed in Japan at Dr. Masaru Emoto's Laboratory, I.H.M. Co., LTD All rights reserved. Displayed as an Licensed Hado Instructor.


.

จากบันทึก message from water และ Quantum Physics ซึ่งเป็นการวิจัยเรื่องเกี่ยวกับผลึกน้ำที่สัมพันธ์กับจิตใจและคำพูดหรือเสียงเพลง จนเป็นที่ยอมรับและโด่งดังไปทั่วโลก

 

 

ทำให้ผมเกิดความคิดที่ว่า ในเมื่อพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ ดังเช่นที่ไอสไตน์ได้กล่าวไว้   ทำไมเราไม่จัดตั้ง ศูนย์ทดลองพุทธศาสตร์แห่งชาติ (Budtec)ขึ้นเพื่อทำการค้นคว้าด้านพุทธศาสตร์โดยเฉพาะ แบบที่สวทช. มี Nectec Biotec และ Nanotec บ้าง ในเมื่อเรามีของดีอยู่กับตัว ทำไมเราไม่ประกาศให้โลกรู้ แบบที่ dr. masaru ได้ทำให้โลกยอมรับ Keep Buddhist Alive โดยที่ไม่ต้องไป convert ใคร หรือขยายศาสนจักรไดๆทั้งสิ้น

 

วิทยาศาสตร์คือเครื่องมือหนึ่งที่จะเสริมให้พุทธศาสตร์ได้รับการยอมรับในวงกว้าง สิ่งที่dr.masaru ทำก็ได้ผลและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เป็นการพิสูจน์ว่าการพูดดี การฟังดี มีผลต่อน้ำในร่างกาย

 

การพูดดี (ศีลข้อมุสา) จะพูดออกมาได้ ต้องคิดดี(ใจ =นาม)ด้วย ซึ่งปรากฎเป็นคลื่นเสียงออกไป (การกระทำ)  เมื่อพูดดี คิดดีและทำดี water crystal ในร่างกายจึงมีรูปที่สวยงาม ด้วยเหตุนี้ วิทยาศาสตร์ที่ dr.masaru ได้ทดลองจึงสามารถ ทำให้นามธรรมที่จับต้องไม่ได้ ให้จับต้องได้ เห็นได้ สัมผัสได้ ฟังได้(สื่อ)  อีกทั้งยังพิสูจน์ได้อีกว่า ผลึกของน้ำที่ผ่านการสวดจากพระในวัดญี่ปุ่น มีความสวยงามมาก(ศักดิ์สิทธ์)อย่างน้อยสุดก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ศีลข้อมุสา ดีจริงๆ แถมยังครอบคลุมไปถึงเรื่องใจอีกด้วยเมื่อธรรมะพบกับวิทยาศาสตร์ จุดบรรจบนั้นคือพุทธานุภาพ ที่โลกต้องรับรู้และยอมรับ

แม้ว่าร่างกายและจิตใจของมนุษย์ทุกคน คือ ศูนย์ทดลองพุทธศาสตร์แห่งมนุษยาติแล้ว แต่ได้เฉพาะตน เฉพาะกลุ่มชน และนับวันวัตถุนิยมจะครอบงำจิตใจคนจนถึงกับคุณธรรม ศีลธรรมเสื่อมทราม อย่างที่เราๆท่านๆทราบกันอยู่

 

เรามีของดีอยู่กับตัวแล้ว เพียงแต่ใส่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือเข้าไปเท่านั้น

 

ในเมื่อธรรมะคือสภาวะความจริงของธรรมชาติ หากเราจะพูดเรื่องนี้ในกรอบของเซต(set)แล้ว วิทยาศาสตร์เป็นเพียงเซตย่อย (subset) ของเซตใหญ่ ที่เรียกว่าธรรมะ นั่นเอง  

๑. จุดมุ่งหมายของวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์

วิทยาศาสตร์
พุทธศาสตร์
- แก้ไขปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ต้องการรู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
- เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติในนิยาม ๕ คือ อุตุ, พีช, จิต,กรรม,ธรรมชาติ
- ต้องการให้รู้กฎเกณฑ์ความจริงของชีวิตมนุษย์

๒. ความเชื่อ ตามหลักวิทยาศาสตร
การจะเชื่อสิ่งใดต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน เอาปัญญาและเหตุผลเป็นตัวตัดสินความจริง หลักพุทธศาสนาถือว่า ความจริงจะต้องพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ ดุจหลัก กาลามสูตร และที่ไหนมีศรัทธาที่นั่นจะต้องมีปัญญา

๓. ความคิดแบบพุทธกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์คล้ายกันคือ
๓.๑ สืบสาวหาเหตุผลของปรากฏการณ์และของทุกข์
๓.๒ การเริ่มต้นหาความจริงจากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
๓.๓ กระบวนความคิด มีดังนี้

กระบวนการวิทยาศาสตร์
กระบวนการพุทธศาสตร์
๑. ตั้งปัญหาให้ชัด
๒. ตั้งคำถามชั่วคราวเพื่อตอบทดสอบ
๓. รวบรวมข้อมูล
๔. วิเคราะห์ข้อมูล
๕. ถ้าคำตอบชั่วคราวถูกตั้งทฤษฎีไว้
๖. นำไปประยุกต์แก้ปัญหา
๑. ทุกข์-ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
๒. หาคำตอบจากลัทธิ
๓. ลองปฏิบัติโยคะ
๔. รวบรวมผลการปฏิบัติ
๕. ผิดก็เปลี่ยน ถูกก็ดำเนินถึงจุดหมาย
๖. เผยแผ่แก่ชาวโลก

๔. ความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์
๔.๑ หลักไตรลักษณ์ คืออนิจจัง (impermanent) ทุกขัง (conflict) และอนัตตา (no-self)
๔.๒ การยอมรับโลกที่อยู่พ้นสสารวัตถุ (Metaphysics) ทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ยอมรับสสารวัตถุ ซึ่งรู้จักได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ว่ามีจริง โลกที่พ้นจากสสารวัตถุวิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับเพราะเชื่อว่าประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่จะต้องตัดสินความจริง
พุทธศาสนาเชื่อว่า สัจธรรมชั้นสูงคือมรรค ผล นิพพาน ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รู้ได้ด้วยปัญญินทรีย์
๔.๓ การอธิบายความจริง

วิทยาศาสตร์ถือว่า ความจริงเป็นสิ่งสาธารณะสามารถพิสูจน์ได้สัจธรรมทางพุทธ มีทั้งสิ่งสาธารณะและปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ - อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน
สรุปความว่า ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสตร์ กับ วิทยาศาสตร์ที่สำคัญคือวิทยาศาสตร์ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม ความดีความชั่ว วางตัวเป็นกลางในเรื่องถูกผิด การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ให้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ ส่วนคำสอนทางพุทธ-ศาสนานั้น เป็นเรื่องศีลธรรม ความดี ความชั่ว มุ่งที่จะให้มนุษย์ในสังคมมีความสุขเป็นลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงความสงบสุขอันสูงสุดแล้วแต่ว่าใครจะไปได้แค่ไหน

 ที่มา: http://watmai.atspace.com/tipitaka_14.htm

 

 

สิ่งที่น่าจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขยายความชัดแจ้ง

   พุทธพจน์ แล้วแต่จะเลือกพิสูจน์ส่วนไหน ประเด็นไหน เพื่ออะไร

   พระธาตุ กระดูกที่เป็นรัตนชาติ สีขาวบริสุทธ์ของกระดูก

   ผลของการปฎิบัติตามพุทธพจน์ (อานิสงค์) ที่ให้ผลในรูปแบบ

        ต่างๆ
   การจำชาติ (dr.เอียน สตีเวนสัน พิสูจน์ไปแล้วบางส่วน)

 
เยอะแยะมากมาย สำคัญว่าประเด็นไหน เพื่ออะไรหรือต้องการสื่ออะไรให้สังคมโลกรับรู้


.

ไม่ใช่เพียงแต่กระแสความนิยมพระพุทธศาสนาจะเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ (โยคะ และสมาธิ) เท่านั้น แม้กระทั่งบาทหลวงในศาสนาคริสต์ยังลงทุนจ้างพระที่มีความรู้ระดับมหาไปแปลพระไตรปิฎก ให้เข้ากับพระคัมภีร์ และมีการนั่งสมาธิด้วย

 

ในเมื่อโลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน ศาสนาอาจจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หรืออย่างน้อยที่สุด วิธีการแบบการนั่งสมาธิข้างต้นก็ได้แพร่กระจายไปสู่ประเทศตะวันตกและมีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

Keep Buddhist Alive ก่อนที่เราจะถูกกลืนหายไปด้วยกระแสวัตถุนิยม

 

แนวทางในการไปให้ถึงเป้าหมาย

  1. เสนอแนวความคิดต่อผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
  2. ตั้งlab และห้องทดลองเอกชน องค์กรสถานศึกษา หรืออยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยสงฆ์
  3. อาศัยทุนและสถานที่จากพระนักพัฒนาต่างๆ เช่น เสถียรธรรมสถาน, อโศก,วัดป่านานาชาติ,วัดสวนแก้ว  เป็นต้น

รบกวนช่วยๆกันคิด เสนอแนะ ท้วงติงด้วยครับ

 

หมายเลขบันทึก: 94856เขียนเมื่อ 7 พฤษภาคม 2007 20:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)

กระทรวงพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ถูกดองมาเป็นเวลาสองปีตั้งแต่สมัยอดีตนายกทักษิณแล้วครับ การเอาบริษัทเหล้าเบียร์ออกมารณรงค์เรื่องความเป็นไทย เรื่องความรักชาติ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง

หากมีกระทรวงนี้เกิดขึ้น อาจจะได้ งบประมาณสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐบาลครับ

 

ตาหลกร้าย 

น่าจะมีรัฐมนตรีกระทรวงเวทย์มนต์แบบแฮรี่พอตเตอร์    หลังจากมีการใส่จตุคามในรัฐธรรมนูญ

อย่าลืมอารมณ์ขันแบบไอสไตน์ และ"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"(สัญญา)



กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

  1. ระบุปัญหา
  2. สร้างสมมุติฐาน
  3. ตรวจสอบสมมุติฐาน  
  4. สรุปผล

กระบวนการทางพุทธศาสตร์

  1. ทุกข์หรือปัญหา
  2. สาเหตุของทุกข์หรือสมมุติฐานของทุกข์ (สมุทัย)
  3. ความดับทุกข์หรือปัญหา (นิโรธ)
  4. หนทางสู่ความดับทุกข์หรือปัญหา (มรรค)

 

ตัวอย่างของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเผยแพรความจริงของพุทธศาสตร์

จากบันทึก ชวนยุงมากินเจ

ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า
“สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า
“บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่:

1.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3.สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5.มีอายุมั่นขวัญยืน
6.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7.ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9.สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ
หากเราต้องการพิสูจน์พุทธพจน์เหล่านี้ เพื่อ

1.ทุกข์หรือปัญหา

มนุษย์มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์น้อยลง โรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น

2.สร้างสมมุติฐาน

หากพิสูจน์ได้ว่า พุทธพจน์ดังกล่าวเป็นจริงโดยอาศัยกระบวนการวิทยาศาสตร์ จะทำให้มนุษย์ เมตตาต่อกันและรับประทานมังสะวิรัติมากขึ้น

3.ตรวจสอบสมมุติฐาน 

3.1 สุ่มหาคนที่ต้องการทำการทดลองหรือรับอาสาสมัคร โดยการเริ่มมาทานมังสะวิรัต ในจำนวนและเงื่อนไขแวดล้อมภายในและภายนอกในจำนวนที่มากพอที่จะเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์

3.2 เก็บผลบันทึกและdatabase

4.สรุปผล

สรุปผลทดลอง ขยายผลและเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะชน รวมถึงดำเนินการด้านการตลาดเชิงรุก ในการรณรงค์ให้คนหันมารัปประทานอาหารมังสะวิรัติมากขึ้น

โดยส่วนตัวที่ได้ทดลองกับตนเอง และสังเกตุพบว่า

ข้อ1. หมาแมวไกล้บ้านชอบเข้าไกล้และเป็นฝ่ายเข้ามาเล่นหยอกกับเรา

ข้อ2. น่าจะเมตตาต่อสัตว์มากขึ้น

ข้อ3.โกรธคนที่ทำให้เราโกรธหรือเสียใจน้อยลง

ข้อ4.ไม่ป่วยหรือเป็นไข้ มานานหลายเดือนแล้ว

ข้อ5.ยังไม่ทราบ

ข้อ6.ยังไม่ทราบ

ข้อ7.ฝันดีอยู่เสมอ ๆ

ข้อ8.นักเลงประจำซอย ไม่แยกเขี้ยวใส่

ข้อ9.ยังไม่ทราบ

ข้อ10 ยังไม่ทราบ

สรุปผลทดลอง 6 ข้อใน 10ข้อ ที่พอจะพิสูจน์ได้ เป็นจริงหมด

 

สวัสดีครับ
    เข้ามาเก็บเกี่ยวความคิด ความรู้แล้วครับ
    ขอบคุณที่ทุ่มเทจัดหา วัตถุดิบดีๆมาเป็นเหยื่อเพื่อการเรียนรู้และขยายผลครับ
    เห็นด้วยว่าการพิสูจน์ทดลองบางอย่างในทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำเสนอความจริงในระดับของวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งควรทำ  ทั้งนี้เพื่อใช้สนับสนุนสิ่งที่สูงขึ้นไป  ให้คนที่ยังยึดมั่นในวัตถุ หรือรูปธรรมมากๆ  ได้ฉุกคิดและสนใจพุทธศาสตร์มากขึ้น ทำไปเรื่อยๆ  ในที่สุดผลที่ปรากฏจะค่อยๆต่อกันเป็น Jig saw สร้างพลังความสนใจ  ศรัทธา และความเชื่อได้มากขึ้น ขณะเดียวกันสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ตามวิถีพุทธที่มีอะไรละเอียด ลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์ ก็ควรดำเนินการควบคู่ขนานกันไป ก็จะเกิดประโยชน์เกื้อกูลส่งเสริมกันได้ในที่สุดครับ

khop khun kub คุณอา P

สำหรับมุมมองที่เปี่ยมพลัง ตอนนี้ผมก็ทำได้เพียงแค่คิดแค่ฝันครับ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันคิด ช่วยกันผลักดัน ช่วยกันสร้าง มันจะเป็นความจริงครับ

Keep Buddhist Alive
Keep Buddhist Alive.....

 

 

  • สวัสดีครับ
  • เข้ามาร่วมวงสวนธรรม แห่งนี้ด้วยครับ
  • ขอบคุณมากๆ นะครับ ผมชอบการเทียบ แนวทางวิทย์และพุทธ ให้เห็นได้ชัดเจนทีเดียวครับ
  • การคำนวณทางวิทย์ยังติดที่ความละเอียดของเครื่องคอมพ์ แต่ความละเอียดทางธรรมคงละเอียดกว่ามาก แต่การเข้าถึงซึ่งความละเอียดนั้น คงต้องปฏิบัติเพื่อเข้าถึง จากตัวเองเป็นสำคัญ
  • ผิดถูกอย่างไร ช่วยชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณมากครับ

สวัสดียามเย็น อีกครั้งครับ คุณ

P
เม้ง สมพร ช่วยอารีย์

ครับผม เครื่องมือวิทยาศาสตร์คงวัดไม่ได้ ไม่มีอยู่ แต่สัมผัสได้ เช่นเดียวกับ"รัก" 

แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่ยอมรับวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้เช่นเดียวกับsexที่ปราศจากรัก 

เราคงต้องอาศัยวิธีคิดและกระบวนการทางวิทาศาสตร์ เพื่อแสดงศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ให้ชาวโลกได้รับรู้ครับ    

กราบขอบคุณ
P

ที่เมตตามาเยี่ยมครับ

อยู่ไกล้พระปฎิบัติ ปฎิบัติชอบแล้วชื่นใจ อุ่นใจ ครับ

 

บทความ หัวข้อ

  • “นักวิทยาศาสตร์แนวพุทธ”
  • จิตตานุภาพแนวพุทธ ศึกษาและพิสูจน์ได้แบบวิทยาศาสตร์

ใน  ธรณีวิทยาแนวพุทธเหตุแผ่นดินไหว ใน ‘พระไตรปิฎก’

น่าสนใจอย่างยิ่งครับ มีพุทธพจน์มากมายที่พิสูจน์ได้แบบ วิทยาศาสตร์

เรามาช่วยกันขยายความและจับประเด็นให้โลกได้รับรู้กันเถอะครับ

 

ขอบคุณครับที่ชวนมาอ่านบันทึกนี้

ขอสารภาพครับว่า อ่านแล้วยัง "งงๆ" อยู่บ้าง (คือไม่เข้าใจทั้งหมด)

เหตุหนึ่ง เนื่องจากไม่มีพื้นทางปริยัติของพุทธศาสนาเลย (ขอย้ำคำว่า "เลย" ด้วย) ที่เคยเรียนวิชาศีลธรรมตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา (ช่วงทศวรรตแรกของพุทธศตวรรตที่ 26 นี้) จำได้แต่ว่าได้คะแนนดีมาก เคยได้ท็อป ได้รางวัลด้วย แต่ก็ลืมเกือบหมดเลยจริงๆ ที่ยังเหลืออยู่บ้างก็เป็นคำบาลีหลายคำที่ไม่เข้าใจความหมายแล้ว สรุปคือไม่รู้แล้ว ที่ยังรู้อยู่บ้างก็มีเพียง ๒ เรื่อง คือ

  1. เรื่องไม่ไปทางลบ - รู้ว่าทำอะไรจะผิดศีลข้อไหน (รู้แค่ ๕ ข้อ ไม่เคยบวชทั้งเณรทั้งพระด้วย) และพยายามไม่ให้เกิดการผิดทั้ง ๕ ข้อ ในทุกๆ วันของชีวิต อันนี้ทำได้มากกว่าอันที่สอง(ทางบวก) คือมีผิดบ้างในข้อมุสาจากความหลงผิดหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ข้ออื่นเชื่อว่าโอเคอยู่
  2. เรื่องไปทางบวก - อันนี้ตรงข้ามกับอันแรกคือไม่ค่อยได้ทำ เช่น รู้ว่าชาวพุทธที่ดีต้องทำบุญทำทาน ตักบาตรทุกเช้าได้ยิ่งดี แต่ไม่ได้ทำ ทำได้เฉพาะตามโอกาสที่ไม่เคยอยู่ในแผน แต่ไม่รู้เป็นไงมีโอกาสได้ทำอยู่เรื่อย โดยเฉพาะเวลาไปต่างจังหวัด ทั้งทำบุญ ตักบาตร ทำทาน ฯลฯ นอกนั้นโดยอาชีพเป็นครู-อาจารย์ก็เหมือนได้ทำบุญอยู่ในตัวระดับหนึ่ง

เหตุสอง ไม่ค่อย "ศรัทธา" ในวิทยาศาสตร์นัก ยิ่งวิธีการของวิทยาศาสตร์ที่ "แยกส่วน" เช่น วิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผู้ศึกษากับสิ่งที่ศึกษาต้องแยกออกจากกัน ที่นักสังคมศาสตร์ไปรับอิทธิพลมาใช้ในสิ่งที่เรียกว่า "ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์" ที่ต้อง objective ต้องไม่ลำเอียง ฯลฯ และอื่นๆ อีกมากมาย

เหตุสาม แม้จะไม่รู้เรื่องแรก(พุทธ)มากนัก แต่กลับมีศรัทธา (คำว่าศรัทธาของผมนี้ไม่ต้องการ "เหตุและผล" แบบวิทยาศาสตร์ใดๆ มาอธิบายด้วย มันมีที่มาที่ไปของมันเอง เช่น แม่ผมศรัทธามาก ปฏิบัติด้วย แม้จะชราจนไปวัดไม่ไหวแล้ว ท่านก็ยังกินมังสวิรัตน์ ทำบุญทำทานอยู่เสมอ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้ผมก็ศรัทธาตามแล้ว) ในขณะที่รู้เรื่องหลัง(วิทยาศาสตร์)มากกว่า(มากกว่ามากด้วย ทั้งปรัชญาและวิธีการของมัน จากการศึกษาในระบบ) แต่กลับไม่ค่อยศรัทธา อีกทั้งยังระแวงอยู่เนืองๆ ด้วยเหตุดังนี้ สำหรับผมจึงไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ต้องไปพิสูจน์ว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ (การพิสูจน์แบบนี้ คล้ายกับในจิตใต้สำนึกจะมีสมมุติฐานอยู่ว่าวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่มาก เป็น "คำตอบสูงสุด" และศาสนาพุทธ(ของข้าพเจ้า)ก็เป็น "วิทยาศาสตร์" ด้วยนะ สำหรับผมแล้วสถานะของวิทยาศาสตร์ในวันหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับศาสตร์ที่มีมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์หรือเทวศาสตร์ ศาสตร์ที่เกิดก่อนก็พยายามเบียดเบียนศาสตร์ที่จะเกิดใหม่ไม่ให้เกิด ถึงขนาดฆ่าฟัน พวกเทวศาสตร์ก็จับพวก "พ่อมดหมอผี" เผาทั้งเป็น(ในยุโรป)ไปไม่รู้เท่าไร พอวิทยาศาสตร์จะเกิดก็ไม่ยอมอีก เช่น พอกาลิเลโอ(บิดาแห่งวิทยาศาสตร์)ประกาศว่าโลกไม่ได้แบน ดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก ก็ถูกพวกเทวศาสตร์ที่มีอำนาจในยุคนั้นจับไปขังคุกมืดจนตาบอด วาติกันเพิ่งมาขอขมา(แสดงความเสียใจอย่างเป็นทางการ) ๒๐๐ ปีหลังจากนั้น แต่วิทยาศาสตร์พอตั้งตัวได้ก็ไม่ต่างกันอีก ไปดูถูกศาสตร์ก่อนหน้านั้นอีก เว้นแต่ศาสตร์ไหนจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นพวกเดียวกับข้า!!! แต่วันหนึ่ง เชื่อไหมครับ ศาสตร์ที่จะเกิดใหม่หลังจากนี้ (แน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่กว่าวิทยาศาสตร์จึงจะเอาวิทยาศาสตร์ลงได้) ก็จะทำให้ฐานะของวิทยาศาสตร์ไม่ต่างไปจากศาสตร์ก่อนหน้านั้น และวิทยาศาสตร์ก็จะพยายามต่อสู้ จนศาสตร์นั้นต้อง "ตาบอด" ก่อนจึงจะสว่างได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ

ขออภัยนะครับ หากจะตรงไปตรงมาบ้าง แต่ผมคิดของผมอย่างนั้นจริงๆ ครับ

ขอบคุณครับ คุณอา

P

ตรงชัดเป็นสิ่งเราต่างก็ต้องการครับ (^----^)

I have a big idear. wakeup against new world order

เหตุหนึ่ง ผมก็เช่นกันครับ

  • อะไรก็ไม่รู้ ห้าๆหก ฟังแล้วสัปหงกน่านอนดี
  • ผมก็ไม่เคยบวชพระบวชเณรเช่นกันครับ

นั่นเป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่ง ที่คนรุ่นใหม่นับวันจะไม่มีคุณธรรมศีลธรรม และเกรงชั่วกลัวบาปกัน

เหตุสอง

เราจึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีคิดและกระบวนการแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อให้คนส่วนใหญ่(สังคม,ประเทศ,โลก)นั้นยอมรับ  

ในเมื่อดีก็ต้องทำให้คนเห็น จะได้มีคนดีตาม

เหตุสาม

  • บุคคลที่จะศรัทธามากแบบคุณอานับวันจะหาได้ยาก สังคมจึงเป็นอย่างที่เราเห็น
  • ศาสตร์ที่จะเกิดใหม่หลังวิทยาศาสตร์ คือสิ่งที่เรากำลังพูดกัน ใครจะรู้ว่าเราอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นจุดเล็กๆของศาสตร์นั้น '(^-----^)'

 

    มาอ่านอีกรอบครับ
    เห็นความคิดอ่านที่หลากหลายก็ดีใจ  คิดเหมือน คิดต่างไม่สำคัญครับ ว่ากันไปตรงๆ โดยแต่ละคนก็มีอิสระเต็มร้อยที่จะประมวลมาเป็นความเชื่อ ความคิดที่เห็นว่า เหมาะ ดี ควร สำหรับตนในขณะนั้นๆครับ
    เรื่องการพิสูจน์ บางเรื่อง ในพุทธศาสนาโดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือนั้น ไม่ควรมองว่าเราบูชาวิทยาศาสตร์  แต่กระแสโลกเป็นเช่นนั้น  การระทำดังกล่าว บ้าง จึงถือเป็นกุศโลบาย ที่จะทำสิ่งที่เรียกว่า Keep Buddhist Alive  เท่ากับใช้กิเลสของผู้คนเป็นเครื่องช่วยนำให้เขาได้พบสิ่งสูงค่ากว่าคือแก่นสาร สาระในพุทธศาตร์นั่นเอง .. นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึง ..

ใช้ e-Mail "จีบ" พระจากอเมริกา มาเสวนากับลูกศิษย์  
และ 
ใช้ e-Mail "จีบ" พระจากอเมริกา มาเสวนากับลูกศิษย์ - 2  

    โดยยังพอมีร่องรอยเป็นภาพอยู่บ้าง ที่นี่ ครับ

ขอบคุณครับ คุณอา

P

ไม่ทราบตอนนี้ท่านยังอยู่ในประเทศไทยไหมครับ ถ้าเป็นไปได้รบกวนคุณอาลองนำไอเดียนี้ไปขอคำปรึกษากับท่านได้ไหมครับ ท่านน่าจะมองเห็นอะไรดีๆมากกว่าพวกเราครับ

 

ผมคิดว่าการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อขยายผลของพุทธศาสตร์นั้น เปรียบได้กับการสร้างเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถสื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถจับต้องได้ถนัดมือขึ้นครับ

เช่นเดียวกันกับ เครื่องมือที่ dr. masaru แสดงให้กับคนทั่วโลกได้เห็น

ส่วนน้ำตาลเคลือบยาขม แบบ ภาพยนต์เรื่อง the matrix ก็ได้ทำให้เกิดกระแส weak up ไปทั่วโลก อีกทั้งยังกวาดรายได้อีกมหาศาล เปรียบดังปลาที่ว่ายตามกระแสย่อมถึงจุดหมายเร็วกว่าปลาที่ว่ายทวนกระแส

เราคงจะหาปลาที่แข็งแรงและสามารถว่ายทวนกระแสได้ยากเต็มที ในยุคสมัยปัจจุบัน.......

 

 

สวัสดีค่ะน้อง Man

ขออนุญาตเรียกอย่างนี้นะคะ เพราะพี่รู้สึกว่าเราเดินสวนกันบ่อยในบล็อกโน้นบล็อกนี้แต่ยังไม่เคยเจอกันเป็นที่เป็นทาง ( เหมือนในบันทึกนี้ )

โดยส่วนตัวพี่ขอมองเป็นสองส่วนนะคะ

ส่วนที่หนึ่งคือความจริงทางพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เหนือกว่าความสามารถทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจะสามารถอธิบายได้ทั้งหมดทั้งสิ้น..ฟิสิกส์ควอนตัมเป็นอีกสิ่งที่อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆทางศาสนาพุทธได้อย่างดีในระดับหนึ่งและเป็นบางส่วนเท่านั้น..แต่ก็ก่อให้เกิดความเข้าใจว่าพุทธศาสนามีที่มาที่ไปไม่ได้ลอยๆ..และสามารถก่อให้เกิดความศรัทธาที่ดูไม่ไร้เหตุผลในยุคที่คนถามหา ( พึ่ง )ผลทางวิทยาศาสตร์..แต่พุทธจริตที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้น ( เพราะสิ่งนั้นคือศรัทธาจริตใช่มั้ยคะ ? น้อง Man ช่วยพี่ที )..ดังนั้นพี่จึงมองว่าศูนย์วิทยาศาสตร์ที่น้อง Man คิดอยากตั้งขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีในระดับของการพิสูจน์ให้เป็น " ความรู้ " ...ที่จับต้องได้ แต่ " ความรู้ " ที่ได้นั้นไม่ใช่ทั้งหมดของศาสนาพุทธ...เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ( ที่เน้นตรงนี้เพราะต้องระวังค่ะ )

ส่วนที่สองคือ...พุทธเน้นที่การรับรู้อย่างชัดเจน ( ซึ่งเป็นการรับรู้ด้วยตนเอง ) และเป็นการรับรู้ที่ไม่มีความรู้ใดๆมาเกี่ยวข้อง ( ไม่มีทั้งอวิชชาและวิชชา )..เพราะฉะนั้นจึงเน้นที่การรับรู้ของบุคคล ถ้าเรามุ่งที่จะพิสูจน์อย่าลืมอีกด้านของพุทธศาสนาด้วยนะคะเพื่อเข้าสู่ระดับการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง..

พี่เห็นความตั้งใจจริงของน้อง Man ในเรื่องนี้อยู่ในหลายๆบันทึก..พี่เอาใจช่วยค่ะ และอยากบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนาโดยไม่โจมตีลัทธิหรือศาสนาใดๆเลย..ท่านเพียงแต่นำเสนอสิ่งที่ท่านพบว่าดีกว่าและให้ผู้ที่รับนั้นเลือกเชื่อเอาเอง..ทำให้พุทธศาสนาสามารถเผยแพร่ไปที่ต่างๆได้โดยไม่มีความขัดแย้งเหมือนศาสนาอื่นๆ...

ขอบคุณมากค่ะที่เชิญพี่มาที่นี่ ( หรือเปล่า ? อิ อิ )และยืนยันอีกครั้งพี่เอาใจช่วยค่ะ

 

 

 สวัสดีครับพี่(นก)

P

หลากหลายประสบการณ์ หลายมุมมอง หลายความคิด การมองต่างมุม จะทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นครับ

ยินดีและขอบคุณอย่างมากที่พี่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

เมื่อทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ทุกอย่างมีเหตุและผล ศรัทธาจริตก็เช่นเดียวกัน การนำวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือ ก็คือการสร้างเหตุอีกรูปแบบหนึ่งครับ ถ้าไม่อาศัยการเหนี่ยวนำบ้าง เกรงว่าต่อไปเราจะไม่มีอะไรไว้ให้เหนี่ยว(ยึด) 

ทุกศาสนาเริ่มกลายสภาพตามกระแสโลกาภิวัตน์  มีหลายๆศาสนาเริ่มใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาอ้างอิงคัมภีร์ เพื่อโน้มน้าวผู้คน กระแสโลกตะวันตกยอมรับศาสตร์ maditation และ yoga มากขึ้น เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ที่มีการฝึกนั่งสมาธิ

ถ้าเราไม่ทำให้กระแสนี้ให้กลายเป็นบวก ในไม่ช้าเราจะถูกกลืน ซึ่งไม่ใช่จุดหมายของเราที่จะเสริมประสานหรือการRevolution แน่นอน

ขอบคุณสำหรับสามประเด็นหลักนะครับ '(^----^)'

  •  " ความรู้ " ...ที่จับต้องได้ แต่ " ความรู้ " ที่ได้นั้นไม่ใช่ทั้งหมดของศาสนาพุทธ...เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
  • เน้นที่การรับรู้ของบุคคล ถ้าเรามุ่งที่จะพิสูจน์อย่าลืมอีกด้านของพุทธศาสนาด้วยนะคะเพื่อเข้าสู่ระดับการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง..
  • นำเสนอสิ่งที่ท่านพบว่าดีกว่าและให้ผู้ที่รับนั้นเลือกเชื่อเอาเอง..

 

เจริญพรโยม Man in flame

เป็นประเด็นและข้อเสนอแนะที่ดีมากครับ

แต่ในสิ่งที่ทำได้ ณ ปัจจุบันและง่ายกว่านั้นนั่นก็คือ

"ประตูวัดในปัจจุบันไม่เคยปิด" เปิดต้อนรับประชาชน "ประชาชน" คนที่มีทุกข์และปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อยู่เสมอ

ประชาชนในที่นี่ไม่จำกัดแต่พุทธศาสนิกชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนา

วัดในที่่นี้ ต้องขอแนะนำแต่วัดที่ปฏิบัติดีเท่านั้นก่อนนะครับ โดยเฉพาะ ถ้าเป็นวัดสายปฏิบัติ "สายธรรมยุต" เป็นโรงเรียน เป็นมหาวิชชาลัยที่พร้อมสำหรับการสั่งสอนและอบรม "คน" ทุก ๆ คนอยู่เสมอครับ

เดินเข้ามาได้เลยครับ ถ้าไม่รู้จะเริ่มที่ไหนวัดที่อาตมาอยู่ยินดีต้อนรับทุก ๆ คนเสมอครับ 

ตอนนี้อาตมาเองก็จำวัดอยู่ที่วัดสันป่าสักวรอุไร จังหวัดเชียงใหม่

ช่วงสองเดือนก่อนอาตมาก็ไปเดินธุดงค์ที่ผืนป่าเขาใหญ่ ซึ่งมีวัดสาขาของวัดแพร่ฯ ตั้งอยู่ตั้งก็คือ วัดป่าทรัพย์ทวีคูณ (วัดบุเจ้าคุณเดิม) ตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้ำเขียว

ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ก็มีตั้งอยู่ครับ

พุทธธรรมและศาสนาธรรมยินดีต้อนรับทุกท่านเสมอ

เจริญพร 

นมัสการครับหลวงพี่

P

 

ง่ายก็ดี ยากก็ดี

จัยอยู่ที่ อยู่ที่ใจ

ประตูเปิด อยู่ถมไป

เป็นไฉน  คนไม่เดิน

 

ชนเดิน สังคมดี

เป็นอยู่ที่ น่าสงสัย

คุณธรรม สังคมไท

เป็นไฉน เรารู้ดี

 

กราบสวัสดี สาธุคุณ

คอยเกื้อหนุน ชนหน้าใส

วัดปฎิบัติ นั้นชื่นใจ

ระลึกใน พระพุทธคุณ

 

มาเยี่ยม...คุณ

P

ลงจากหลังเขาเกาะยอ...มองสะพานยาวข้ามฝั่งฟาก...เห็นธรรมกับวัตถุตัดกันบ้างผสมผสานกันเหมือนน้ำทะเลสาบสงขลาบ้าง...มองฟ้ากว้างลอด

นี้วมือดูฟ้าแคบนะครับ  พอเอามือออกดูฟ้ากว้างไกล

ทางวิทย์เรียนห่างจากตัวไปไกลแสนไกลสุดล้าฟ้ากว้าง...เรียนธรรมเข้าสู่ศูนย์กลางจิตใจจนเห็นจิตว่างในที่สุด...วิทย์กับธรรมมันช่างอยู่ห่างกันในบางความคิดนะครับ...ต้องตั้งศูนย์อย่างว่าก็ดีนะครับผม

ฮา ๆ เอิก ๆ

 

 

Play

จากหนึ่งไปสู่สรรพสิ่ง
สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่ง
สรรพสิ่งเกิดจากต้นตอเดียวกัน
หลากธรรมล้วนมาจากศาสดาเดียวกัน

.

.

สรรพสิ่งเท่าเทียม
ล้วนมีธรรมะ
มีใจไร้ใจ
ร่วมสร้างปัญญา

วิทย์กับธรรม เรื่องเดียวกันครับ '(^---^)'

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท