สวัสดีครับอาจารย์ลูกหว้า
ช่วงนี้ยุ่งๆเลยไม่ค่อยได้เข้ามาครับ ต้องขอโทษอาจารย์ด้วยครับ
ถ้าให้ผมตอบ ขอตอบว่า การศึกษากับการอ่านหนังสือครับ
การศึกษานอกจากเสียทั้งเงินแล้ว ยังอาจจะเสียค่าเสียโอกาสด้วย แต่กับความรู้ที่ได้มาจากการลงทุนนั้น อาจจะขาดทุนเบื้องต้น (ก็เรียนก็เสียตังค์เสียเวลา หักกลบลบแล้วมีแต่หนี้ ไม่มีบวก)
แต่หลังจากช่วงเรียนเข้าช่วงทำงาน ก็ต้องมาดูแล้วหล่ะครับว่าแต่ละคนเก่งขนาดไหนตอนเรียน แล้วสามารถประยุกต์ใช้ได้ดีขนาดไหนตอนทำงาน เพราะว่าสองส่วนนี้เป็นสองส่วนหลักๆที่หาจุดคุ้มทุนได้ครับ
แล้วหลังจากเลยจุดนี้ไปแล้ว ก็กำไรแล้วครับ
ตอบแบบนี้ไม่ทราบว่าจะได้กี่คะแนนครับ :D
ต้น
ตามความเห็นและประสบการณ์จริงของดิฉัน
ไม่ทราบจะตรงประเด็นของอ.จ.ไหม น่าจะเป็นเรื่องการทำธุรกิจ
ในตอนที่ทำอุตสาหกรรมอาหาร ส่งออก99%ในช่วงแรก เราหนักใจกับข้อกำหนดISO ของทางยุโรปเช่น การขายให้ Mark&Spencer/Tesco และการขายให้บริษัท Hunt and Wesson โดยมี US-FDAของอมริกา มาตั้งกฏเกณฑ์มาตรฐานกับเรามาก สินค้าทุกตัวทุกกล่องต้องมีรายงานการQC.จากเราเอง และรับรองจากการสุ่มตรวจของสถาบันอาหาร ม.เกษตรและจากกรมวิทย์ในบางครั้ง ยิ่งขายให้บริษัทใหญ่ๆ ยิ่งยุ่ง แม้ลูกค้าญี่ปุ่น ก็ไม่ยุ่งเท่า
เราเสียค่าใช้จ่ายไปมากในช่วงแรก กำไรน้อยมากๆในบางlot
แต่เราก็คุยกันว่า ถ้าเราทำให้เขาเชื่อใจได้ในคุณภาพ เราไม่เหนื่อยแล้ว เขาจะเป็นลูกค้าเราตลอด และจะแนะนำลูกค้ารายอื่นๆมาอีก
เราลงทุนทางด้านการทำLab เพิ่ม เป็น 3 ห้องใหญ่เลย จ้างนักวิทยาศาสตร์อาหารมาเพิ่มอีก สำคัญคือ เพิ่มแผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริษัทลูกผลิตเมล็ดพันธ์เอง นำไปทำcontract farming ด้วย
ดิฉันว่าเศรษฐกิจพอเพียง ไม่เป็นสูตรสำเร็จ ไม่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกนัก แต่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันมากกว่า นั่นคือ มีภูมิคุ้มกันจากประสิทธิภาพภายใน การพัฒนาคุณภาพ ให้สินค้า และกิจการเราเป็นที่น่าเชื่อถือ บำรุงขัวญ /ให้กำลังใจและไม่เอาเปรียบ พนักงานๆจะรักและภูมิใจในองค์กร อยู่กับเรานานๆจนมีฝีมือชำนาญ และตั้งใจผลิตสินค้าให้ตรงตามคุณภาพที่วางไว้ด้วยความเต็มใจ การสูญเสียใน line การผลิตก็น้อยค่ะ
อีกไม่นาน เราก็เห็นผล จากการยอมขาดทุนในช่วงแรกเป็นกำไร มีลูกค้ามากมาย และดิฉันก็นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปีที่ 4 เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ค่ะ
สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
แค่นี้ก็กำไรเหลือหลายแล้วคับคุณคู
ธรรมะสวัสดีครับ
ทีนี่เราจะเลือกขายใครดีถ้าขายรายแรกและรายที่สอง ก็กำไรเห็นๆ
อ.จ.คะ ขอบคุณที่commentค่ะ
ถูกต้องที่อธิบายค่ะ พี่จบอักษรศาสตร์และโททางบริหาร ไม่นึกว่าตัวเองต้องมาทำอุตสาหกรรม มีคนงานเป็นพัน ทำ3กะในฤดูกาลของวัตถุดิบ ความรู้ทั้งหลายเป็นเพียงพื้นฐาน เรียนรู้เองส่วนใหญ่ จาก common sense นี่ละ ร.ง.มีช่างเยอะ โดนลองของก็มีแรกๆ ทำเป็นลากลับบ้าน ปล่อยเครื่องเสียไว้ ขณะที่วัตถุดิบเต็มโรงงาน ผู้จัดการQ.C.ไม่พอใจ บอกเครียด ทิ้งงานให้เราลุยต่อ ขณะที่เราส่งผู้จัดการโรงงานไปดูงานต่างประเทศ แสบมาก แต่ก็ฝ่าฟันมาได้ คนเราไม่มีวันจนมุม ต้องหาทางออกจนได้
ขอโทษ นอกเรื่องไปนิด แต่คิดย้อนแล้ว หนักมากค่ะ เหมือนเบียดเบียนตัวเอง เหมือนตัวเองขาดทุน ไม่จำเป็นต้องขาดทุนอย่างนี้ แต่eventually -ขายหุ้นในตลาด --ไม่บอกว่ากำไรเท่าไร แต่คุ้มเหนื่อยค่ะขาดทุนคือกำไร แต่ต้องรอ
โจทย์ของอ.จ.กว้างมาก มันมีหลายแง่มุมนะคะ แต่คนเราลงทุนวันนี้ จะได้กำไรพรุ่งนี้ ไม่ได้หรอก มันต้องเหนื่อยต่อ บางทีเห็นแล้วว่ากำไร ยังต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน กำไรยังน้อยไปเทียบกับการลงทุน
กรณีการทำกิจการ ส่วนใหญ่มีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนและresourcesต่างๆ ค่อยทำค่อยไป ให้มั่นคง ไม่ขยายงานเร็วเกินไป ก็จะไม่เจ็บตัวหรอกค่ะ นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง
ในความคิดของผมนะครับ....
ถ้าเรามองกำไรเป็นตัวเงิน ปิดยอดแล้วเราติดลบ...
มองย้อนกลับไปสิ่งที่เราได้ อาจจะเป็น...
ในรูปของการจ้างงานเราจะช่วยให้คนมีงานทำ...
เราอาจะได้ช่วยเหลือสังคมในรูปอื่น ๆ เช่นบริการดี ๆ หรือผลิตสินค้าดี ๆ ออกมา...
เราได้ช่วยประเทศชาติในการเสียภาษีครับ...
และเราได้นำสิ่งที่ผิดพลาดมาเป็นบทเรียน จะได้แก้ไขพัฒนาตัวเองต่อไปครับ...
ทั้งหมดนี้ถือเป็นกำไรได้มั้ยครับ...
ขอบคุณครับ...
อ.ลูกหว้าครับ
ฝากตรวจสอบด้วยนะครับ
อ.จ.ขอเข้ามาอีกที จริงๆนะ คำถามอ.จ.กว้างมากๆ
มันคิดได้หลายแบบทั้งแบบ capitalism และแบบHolistic ทุกสิ่งมีต้นทุน อยู่แต่ว่าจะมองกำไร ขาดทุนทางบัญชี หรือไม่ หรือมองในรูปแบบอื่น แต่ทุกอย่างมี risk ต้องเอาตัวนี้ไปชั่งน.น.ด้วย
ถ้าเรามีเงินเก็บอยู่1ก้อน ฝากได้ดอก 8-9% ไปลงทุน ได้กำไร5%ก็ไม่คุ้ม แต่ถ้าฝากได้2% เอาไปลงทุน ได้6-7%ยังคุ้ม อยู่ที่มีriskเท่าใด ถ้ามีriskมากก็ไม่คุ้มอีก
ในมุมHolistic ถ้าเรามีความสุขกับการทำงานมาก หรือได้อยู่กับครอบครัวมากตามต้องการ แต่ได้เงินน้อยหน่อย เราไม่ว่า เพราะเราได้ความสุขเป็นการตอบแทนถือว่าคุ้มและได้กำไร เราไม่ได้มุ่งทำเงินมากๆเพื่อเอาเงินไปซื้อความสุข
แต่กรณีการทำธุรกิจ เราต้องดูตัวเลขทางบัญชี เป็นเครื่องยืนยันความสามารถของผลการดำเนินงาน แต่ก็ต้องมีเรื่องคุณภาพ ธรรมาภิบาล ประสิทธิภาพ ขวัญกำลังใจ ความมั่นคง ความจงรักภักดี เป็นต้น มาเกี่ยวข้องด้วย
Small is beautiful ของ E.F.Schumacher บทที่ 5 ดีมากเลย พี่เคยอ่าน แต่ไม่ซาบซึ้งมากเหมือนนักเศรษฐศาสตร์หรอก เอาแค่พอรู้
คงได้เข้ามาเยี่ยมอีกค่ะ ถ้าไม่เห็นด้วยอย่าโกรธนะคะ
สวัสดีเพื่อนคนสวย...เอ๊ยน้องลูกหว้า ฮ่าๆๆๆ
สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
ธรรมะสวัสดีครับคุณพี่
คุณพี่คร้าบบบบ
ขอโทษอีกครั้งนะครับ ถ้าเจอกันผมจะเลี้ยงน้ำแข็งบอก(อิอิ รู้จักไหมล่ะ) เป็นการไถ่โทษครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
เพิ่งมาพบ Blog ของอ.ลูกหว้า เลยตามอ่านงานเขียนของ อ. ทั้งหมด น่าสนใจมากครับ สำหรับประเด็น ขาดทุนคือกำไรนี้
มองจากความเข้าใจของผม กับ อาชีพที่ทำอยู่นี่น่ะครับ ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์และเอสเอ็มอี ซึ่งการทำงานในวงการนี้ แน่นอนว่าต้องพูดถึง ขาดทุน - คุ้มทุน - กำไร กันแบบทุกเมื่อเชื่อวัน
หยิบแผนธุรกิจของลูกค้าที่เขาส่งมาให้วิเคราะห์แต่ละราย ก็จะต้องคุยกันถึงตัวเลขตรงนี้ แต่เชื่อหรือไม่ครับอ.ลูกหว้า ผมสร้างแนวคิดใหม่เรื่องขาดทุนกำไรนี้ มาในแนวเดียวกับคุณพี่ เลยทีเดียว
คือผมจะวิเคราะห์ที่ มูลค่าทางโอกาสธุรกิจด้วย โอกาสทางธุรกิจ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะพยากรณ์ได้ว่า เราจะขาดทุน หรือ กำไร ในระยะยาวจากนี้ไปได้นานสักแค่ไหน อย่างคุณพี่ sasinanda ยอมลงทุนพัฒนาอย่างมากมาย เพื่อยกระดับธุรกิจให้มีมาตรฐานพอเพียงที่จะแข่งขันได้ หรือ ได้รับความยอมรับจากสากล ช่วงแรกๆ ผมเชื่อว่าเงินลงทุนทั้งหมดที่ใช้พัฒนาไปของพี่ sasinanda คงมากกว่ากำไรที่ได้จากการซื้อขายสินค้างวดแรกๆ เป็นแน่
ลูกค้าเจ้าของกิจการส่วนใหญ่ หันความสนใจไปที่ตัวเลขเม็ดเงินที่จับต้องได้เท่านั้น ธุรกิจจึงไม่ได้รับความใส่ใจในการปู้พื้นฐานด้านโอกาสธุรกิจที่แข็งแรงให้กับตัวเอง การที่ "กำไรในวันนี้" จึงกลายเป็น "ขากทุนในวันหน้า" อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะวันเวลา ล้วนหมุนเดินไปอย่างไม่ย่อท้อทั้งสิ้น เข็มนาฬิกาพาเราสู่สถานการณ์ใหม่ๆ เสมอ ถ้าไม่พร้อมก็พ่ายแพ้
ผมสรุปเลยอย่างนี้นะครับ
"การขาดทุนอย่างรู้ตัวเองและเป็นระบบ คือ การสร้างระบบกำไรที่ยั่งยืนในวันหน้า"
มีเวลาแวะมาแสดงความเห็น ระบบมาตรฐานแฟรนไชส์ใหม่ล่าสุดของเมืองไทยทีนี่นะครับ
http://gotoknow.org/franchiseclinic