อนุทินล่าสุด


maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   26 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง ป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์จากโลกออนไลน์

 

    1.  ทำการติดตั้งโปรแกรม Anti-virus บนระบบของท่าน และ
-  ทำการ update ฐานข้อมูลไวรัสของโปรแกรมอยู่เสมอ (เลือกใช้งาน feature การ update ฐานข้อมูลผ่านเครือข่ายโดยอัตโนมัติของโปรแกรม ถ้ามี)

-  เรียกใช้งานโปรแกรมเพื่อตรวจสอบหาไวรัส ทุกครั้งก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นหรือสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ

-  เรียกใช้งานโปรแกรมเพื่อตรวจสอบหาไวรัส อย่างละเอียด บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน อย่างสม่ำเสมอ เช่น 1 ครั้งต่อสัปดาห์

ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสฟรี    Avast Anti-Virus Free Home-Edition โหลดทีี่  http://www.avast.com

AVG Anti-Virus Free Edition โหลดที่ http://free.grisoft.com

2. ตรวจสอบและอุดช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งท่านสามารถทำได้โดยการ browse ไปที่http://windowsupdate.microsoft.com/ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่ระบุไว้บนเว็บไซต์ดังกล่าวเพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไขช่องโหว่ที่ critical ของระบบ

3. ปรับแต่งการทำงานของระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์บนระบบให้มีความปลอดภัยสูง เช่น

  •  ปรับแต่งไม่ให้โปรแกรมที่ใช้อ่านอี-เมล์เช่น Microsoft Outlook ทำการเปิดไฟล์ที่แนบมากับอี-เมล์ (attachment) อย่างอัตโนมัติ
  •  ปรับ Security Zone ของ Microsoft Internet Explorer ให้เป็น High Security โดยปรับแต่งที่ Internet Option ของโปรแกรม Internet Explorer
  • ไม่ควรอนุญาตให้โปรแกรม Microsoft Office เรียกใช้งาน Macro
  • เปิดใช้งานระบบ Firewall ที่ built-in อยู่บนระบบปฏิบัติการ MS Windows XP
  • งดใช้ Feature การ share ไฟล์ผ่านเครือข่าย หากไม่มีความจำเป็น

4. ใช้ความระมัดระวังในการเปิดอ่านอี-เมล์ และการเปิดไฟล์จากสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ

  • หลีกเลี่ยงการเปิดอ่านอี-เมล์และไฟล์ที่แนบมากับอี-เมล์ จนกว่าจะรู้แหล่งที่มา
  • หลีกเลี่ยงการเปิดอ่านอี-เมล์ที่มีหัวเรื่องที่เป็นข้อความจูงใจเช่น ภาพเด็ด รหัสผ่าน คุณถูกรางวัล เป็นต้น
  • ตรวจสอบหาไวรัสบนสื่อบันทึกข้อมูล ทุกครั้งก่อนเรียกใช้งานไฟล์บนสื่อนั้นๆ
  • ไม่ควรเปิดไฟล์ที่มีนามสกุลแปลกๆ เช่น . pif รวมทั้งไฟล์ที่มีนามสกุลซ้อนกันเช่น . jpg.exe, .gif.scr, .txt.exe เป็นต้น
  • ไม่ใช้สื่อบันทึกข้อมูล ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา และหลีกเลี่ยงการใช่สื่อบันทึกข้อมูลร่วมกับบุคคลและระบบอื่นๆ
  • ถือคติพจน์ว่า “ไม่ใช้แผ่นมั่ว ไม่ชัวร์อย่าเปิด”

5. สำรองข้อมูลที่สำคัญบนระบบอยู่เสมอ     ข้อนี้ไม่ได้เป็นการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์แต่เป็นข้อควรปฏิบัติที่ท่านควรทำเพราะไม่มีระบบใด ที่ปลอดภัย 100 % วันดีคืนดี ระบบคอมพิวเตอร์ของท่านอาจเกิดการล่มและไม่สามารถกู้คืนมาได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย เช่น อุปกรณ์หรือสื่อบันทึกข้อมูลเกิดการชำรุด หรือระบบอาจถูกไวรัสที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนคุกคามร้ายแรง เป็นต้น

 

 



ความเห็น (1)
maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   26 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง ทำไมต้อง”นิรโทษกรรม”

 

            นิรโทษกรรม (justifable act) – การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่กฎหมายบัญญัติว่า ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่น การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย

นิรโทษกรรม (amnesty) – การลบล้างการกระทำความผิดอาญาที่บุคคลได้กระทำมาแล้ว โดยมีกฎหมายที่ออกภายหลังการกระทำผิดกำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด

นิรโทษกรรม (กฎหมายอาญา)

นิรโทษกรรม (amnesty) ในกฎหมายอาญา หมายถึง “การลบล้างการกระทำความผิดอาญาที่บุคคลได้กระทำมาแล้ว โดยมีกฎหมายที่ออกภายหลังการกระทำผิดกำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด” นิรโทษกรรมเป็นยิ่งกว่าการอภัยโทษ เพราะกฎหมายถือว่าผู้นั้นไม่เคยกระทำผิดมาก่อน

ทางการอาจประกาศนิรโทษกรรมให้เมื่อตัดสินใจว่า การนำพลเมืองมาอยู่ใต้กฎหมายสำคัญกว่าลงโทษจากการละเมิดในอดีต นิรโทษกรรมหลังสงครามช่วยยุติความขัดแย้ง ขณะที่กฎหมายต่อต้านกบฏ การปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจปกครอง ฯลฯ ยังคงไว้เพื่อขัดขวางผู้ทรยศในอนาคตระหว่างความขัดแย้งในอนาคต แต่นิรโทษกรรมสร้างสำนึกให้อภัยผู้ละเมิดในอดีต หลังข้าศึกไม่หลงเหลือแล้วซึ่งได้ดึงดูดการสนับสนุนของพวกเขา แต่อีกจำนวนมากยังหลบหนีจากทางการ ข้อดีของการใช้นิรโทษกรรมยังอาจรวมการหลีกเลี่ยงการฟ้องคดีอาญาราคาแพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ละเมิดจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง กระตุ้นให้ผู้ที่หลบหนีทางการกลับมาปรากฏตัว และกระตุ้นการปรองดองระหว่างผู้ละเมิดกับสังคม

 

 



ความเห็น (1)
maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   26 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง ประชาธิปไตยครึ่งใบในประเทศไทย

 

     ประชาธิปไตยครึ่งใบ (Semi Democracy) คือ ระบบการปกครองที่เป็นการผสมระหว่างระบบประชาธิปไตยและระบบเผด็จการ กล่าวคือ ในการปกครองแบบนี้มีลักษณะพิเศษโดย รัฐสภาประกอบไปด้วยกลุ่มข้าราชการและเทคโนแครตกลุ่มหนึ่ง และกลุ่มนักธุรกิจนักการเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเดียวครองอํานาจแบบในยุครัฐข้าราชการ

ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบในประเทศไทย

สังคมไทยเคยถูกปิดกั้นอยู่ในเผด็จการมานานกว่า 40 ปี จนวันที่ 14 ตุลาคม 2516 สังคมไทยกลายเป็นประชาธิปไตยอย่างรวดเร็ว จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเพราะมีการเรียกร้องมาจากหลาย ๆ ส่วนของสังคมในคราวเดียวกันโดยเฉพาะจากพวกเสรีนิยมสุดขั้ว ผลจากยุค ประชาธิปไตยเบ่งบาน และการคืบคลานของลัทธิคอมมิวนิสต์ทําให้ความชอบธรรมของประชาธิปไตยค่อย ๆ อ่อนแรงลงไปทุกที จึงส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ขึ้น หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา ความชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตยหลังจากการนองเลือดของนักเรียนนักศึกษาก็ถูกตั้งคําถาม ประชาชนเริ่มเรียกร้องรัฐบาลเผด็จการแบบจอมพลสฤษดิ์อีกครั้งหนึ่งประกอบกับประเทศไทยในขณะนั้นกําลังหวาดกลัวต่อชัยชนะของคอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้านในปี 2517 ซึ่งได้ตอกยํ้าคําพูดของกองทัพว่าคอมมิวนิสต์จะเข้ามาแทรกแซงประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนจึงมองว่ารัฐบาลที่ได้มาโดยระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถจัดการกับปัญหาภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ได้ ในเดือนตุลาคม2520 ทหารจึงเข้าไปรัฐประหารรัฐบาลรัฐบาลของนายธานินทร์ออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ซึ่งได้รับการเชื่อมั่นในความเก่งกล้าสามารถในการต่อสู้กับขบวนการคอมมิวนิสต์และได้รับความสนับสนุนจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีและเข้าสู่ยุคของประชาธิปไตยครึ่งใบ

จุดสิ้นสุดยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ

ในช่วงแรกของระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบอํานาจของข้าราชการมีมากกว่านักธุรกิจ แต่ผลประโยชน์นี้สามารถจัดสรรได้อย่างปรองดอง แต่ในที่สุดแล้วผลประโยชนของทั้งสองกลุ่มได้เกิดความแตกแยกกัน เพราะนักการเมืองและนักธุรกิจเริ่มมีอํานาจมากขึ้นทุกที และเริ่มท้าทายอํานาจของข้าราชการ ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันด้วยเรื่องที่สําคัญคือเรื่องเงินงบประมาณ โดยนักการเมืองต้องการงบประมาณไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองในขณะที่กองทัพต้องการเก็บงบประมาณทางความมั่นคงเอาไว้  จนในที่สุดพลเอกเปรมต้องก้าวลงจากตําแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถควบคุมความขัดแย้งของสองฝ่ายการเมืองได้ รัฐบาลใหม่ซึ่งนํ าโดยพลเอกชาติชาย ชุณหะวันจึงมารับช่วงต่อ จุดจบของรัฐบาลชาติชายคือความไม่ลงรอยกันของเผด็จการทหารและนักธุรกิจการเมือง เนื่องจากนักการเมืองและกองทัพก็ยังตกลงกันไม่ได้ในหลาย ๆ ประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงบประมาณด้านการทหาร การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในเรื่องนโยบายต่างประเทศ ความตึงเครียดในประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้นํามาสู่การทนไม่ได้อีกต่อไปของฝ่ายผู้นําทหาร ซึ่งเป็นสาเหตุที่สําคัญในการนําไปสู่การรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2534 โดยคณะทหาร ซึ่งเรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)

 

 



ความเห็น (1)
maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   19 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง  เผย“อาหาร”ใกล้ตัวทำ“กรดไหลย้อน”

 

            ต้องนับว่าเป็นโรคฮิตสำหรับหนุ่ม-สาวออฟฟิต รวมถึงผู้คนที่ใช้ชีวิตในเมือง สำหรับ โรคกรดไหลย้อน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากนิสัยส่วนตัว รวมถึงนิสัยการนอน เมื่อเริ่มเป็นมักมีอาการท้องอืด แน่นท้อง ระคายเคืองบริเวณลำคอตลอดเวลา หรือหลังอาหารมื้อหลักจะรู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียน

แม้ปัจจุบัน การศึกษา และการรักษาทางการแพทย์จะพบว่า ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการกรดไหลย้อน จะสามารถควบคุมได้ด้วยยา แต่การปรับเปลี่ยนนิสัยในชีวิตประจำวัน จะช่วยบรรเทา และป้องกันได้ยั่งยืนกว่า โดยสามารถเริ่มง่าย ๆ จาก “นิสัยการรับประทาน” เพราะอาหารบางอย่างทานแล้ว เสี่ยงกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้น จึงควรเลี่ยง

นั่นก็คือ กาแฟ-ช็อคโกแลต-โกโก้ มีคาเฟอีน และสารธีโอโบร์ไมน์ (theobromine) ลองเปลี่ยนมาชงชาสมุนไพรดอกคาโมไมล์ดื่มแทน ช่วยผ่อนคลายประสาท บรรเทาอาการท้องไส้ปั่นป่วนได้

ยังรวมถึง แอลกอฮอล์-โซดา-น้ำอัดลม ที่เร่งปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่น (Carbonation) โดยฟองอากาศจะขยายภายในกระเพาะอาหาร และเพิ่มความดันมากขึ้น

ส่วน อาหารทอด-เนื้อสัตว์ไขมันสูง จากเนื้อวัว, เนื้อหมู, เนื้อแกะ มักกระตุ้นใก้เกิดอาการเจ็บหน้าอกจากกรดไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ควรทานเนื้อติดมันเพียงสัปดาห์ละครั้ง

สำหรับใครที่กำลังเผชิญ หรือคาดว่าจะเป็น โรคกรดไหลย้อน ควรลองปรับเปลี่ยนนิสัยการรับประทานดูใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไป



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   19 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง  หินปูนในปากเกิดจากอะไร ป้องกันได้อย่างไร

 

                   คราบหินปูน Dental plaque คือคราบขาวออกเหลืองหรือสีครีมที่เกาะที่ฟันหรือที่เรียกว่าขี้้ฟัน ต่อมามีเชื้อแบคทีเรียมาอาศัยและสร้างกรดมาทำลายฟัน หากทิ้งไว้นานคราบเหล่านั้นจะเกาะติดแน่น ไม่สามารถเอาออกโดยการแปรงฟัน

การเกิดคราบหินปูน Dental plaque

ผิวฟันของเราหรืออีนาเมล เป็นส่วนที่หุ้มฟันจะแข็งมากผิวจะเรียบมัน ผิวฟันที่สะอาด เมื่อถูกน้ำลายจะเกิดแผ่นฟิมล์บางๆปกคุลมผิวฟัน แผ่นฟิมล์นี้เป็นสารไกลโคโปรตีนจากน้ำลาย ประกอบด้วยน้ำตาล และโปรตีนอาจเกิดขึ้นได้ทันที หลังจากทำความสะอาดแล้ว แผ่นฟิมล์นี้จะยังไม่มีเชื้อจุลินทรีย์มาเกาะจึงยังไม่ทำให้เกิดโรค แผ่นฟิมล์จะหนาแล้วเหนียวขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเชื้อแบคทีเรียมาเกาะ ซึ่งพบได้ตามขอบเหงือก และหลุมร่องฟันทางด้านบดเคี้ยว เพราะเป็นผิวฟันส่วนที่ไม่เรียบ ส่วนขอบเหงือกนั้น เป็นบริเวณที่เว้า

การเกาะของเชื้อแบคทีเรียจะเกาะอย่างหลวมๆ เมื่อบ้วนปากหรือเคี้ยวอาหารที่มีใย เช่นผักหรือผลไม้จะทำให้คราบหลุดไป หากอาหารที่เหนียว เช่นแป้ง น้ำตาลจะเกาะติดฟัน และเป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียซึ่งจะทำให้ฟันผุ

ดังนั้นการบ้วนปาก การแปรงฟันหลังอาหาร การขัดฟันด้วยไหมจะช่วยขจัดคราบออกไป หากคราบอยู่นานจะมีแคลเซี่ยม และอาหารอื่นมาเกาะคราบจะแข็งและเกาะติดแน่มากขึ้นจนกลายเป็นคราบหินปูน การเอาคราบหินปูนออกต้องใช้วิธีขูดหินปูนออกโดยทันตแพทย์

การป้องกันการเกิดคราบ
1.แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
2.ขนแปรงควรจะนุ่ม ปลายมนไม่แหลม
3.ให้แปรงเน้นตรงรอยต่อระหว่างเหงือกและฟัน
4.ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
5.ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง
6.ตรวจฟันทุก6 เดือน
7.ไม่ตวรทานอาหารบ่อย หลีกเลี่ยงอาหารหรือขนมหวาน หากจะรับประทานของว่างควรเป็นผักและผลไม้

                         



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

 

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   12 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง ประโยชน์ที่มหัศจรรย์ของ “ส้ม”

 

             ส้ม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือมีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส และเหล็ก โดยทั่วไป ส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก

สายพันธุ์ตระกูลส้ม

ส้มซันคิสต์   มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม นิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม เช่นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

ส้มเขียวหวาน   มีรสชาติหวาน เหมาะสำหรับทานสด หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

ส้มจุก   มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือหวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนัก

ส้มโอ   เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือ ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขม อยู่ติดกับเปลือก สามารถนำมาเชื่อมได้

ส้มจี๊ด   คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมทานเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมทาน โดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้ง

ส้มจีน   เป็นส้มที่ทานสด และนิยมนำมาไหว้เจ้า เพราะคำว่าส้มในภาษาจีน จะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีของส้มก็คล้ายทองด้วย

เลมอน   เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเอง

มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด นำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ยำต่างๆ ต้มยำ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด
มะกรูด   เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงเทโพ แกงมัสมั่น หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนิยมนำมาทำแชมพูสระผม

ประโยชน์ของส้ม
1. ส้มเป็นผลไม้นางเอก มีสารไฟโตนิวเทรียนต์มาก ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารกลุ่มฟลาวาโนนส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใส .. ส้ม มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็ว และแผลเรียบเนียนขึ้น

2. ส้ม ให้แคลเซียมและวิตามินดี แก่ร่างกาย มากพอๆ กับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก แต่ถ้าไม่มีวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ นอกจากนี้ส้มยังมีวิตามินซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการดังกล่าวอีกด้วย แต่พึงเข้าใจด้วยว่า กรดอะซีติกในส้ม อาจทำลายสารเคลือบฟันได้ จึงไม่ควรแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากทานส้มหรือดื่มน้ำส้ม

3. ส้ม มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ยิ่งไปกว่านั้นส้มยังช่วยป้องกันและรักษาเลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

4. เปลือกของส้ม มีสารมหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการ Polymethoxylated Flavones (PMFs) และสาร D-Limonene ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ นอกจากนี้จากการศึกษายังชี้ว่า เม็ดสีในส้มเขียวหวานจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) โดยไม่ส่งผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

5. ตำรับจีนมักเสิร์ฟเปลือกส้ม คู่กับอาหารเนื้อสัตว์ เพื่อย่อยอาหารที่มีไขมันสูง บางตำราแนะนำให้เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำเลมอน 12 ออนซ์ ผสมกับน้ำกรองแล้วที่อุณหภูมิห้อง จะช่วยชะล้างของเสียในระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ

6. ส้ม อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และจากการศึกษายังพบว่า การบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง

7. ส้ม จะทานก็ได้ จะดมผิวก็ได้ เพราะส้มมีสารโฟเลตซึ่งช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ตระกูลส้มสามารถทำให้เบิกบานได้

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้ลูกน้อยดื่มน้ำส้มคั้น จะให้ดื่มได้ ต้องหลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมได้ แต่ควรผสมน้ำส้มในน้ำ ในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง การให้น้ำส้มที่มีรสชาติเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลยอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบจึงสามารถให้น้ำส้มอย่างเดียวโดยไม่ต้องผสมน้ำ อนึ่ง เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำ ยังเป็นข้อดีที่ช่วยให้ลูกน้อยไม่ติดหวานตั้งแต่เล็ก

ผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน หากต้องการจะทานส้ม ควรทานด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง ควรทานเป็นผลซึ่งมีกากใย จะดีกว่าดื่มน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มมาคั้นหลายผล ไม่มีกากใย และบางเจ้าจะเติมรสหวานเพิ่มเติม



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   12 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง พิธีทำบุญตักบาตร

 

 

                การตักบาตรเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติ เพราะเป็นการให้กำลังแก่พระภิกษุสามเณร ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฎิบัติธรรมตามพระธรรมวินัย และสั่งสอนประชาชน เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไป ทั้งนี้จะเป็นผลดีแก่ผู้ปฏิบัติด้วย เพราะทำให้เป็นผู้มีใจบุญกุศลและเป็นการส่งเสริมผุ้ทรงคุณธรรม

วิธีปฏิบัติในการตักบาตร

โดยปกติพระภิกษุสามเณร จะเดินเรียงลำดับอาวุโส ไปบิณฑบาตตามละแวกบ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านที่ชาวบ้านกำลังรออยู่ ก็จะยืนเรียงเป็นแถว แต่ในกรุงเทพฯ หรือในบางจังหวัด พระภิกษุสามเณรมักไปตามลำพัง ไม่ได้เดินเรียงแถว

ทั้งนี้เพราะพระภิกษุสามเณรในกรุงเทพฯ มีเป็นจำนวนมาก จึงไม่สะดวกที่จะเดินเรียงแถวกันไป และผู้ที่จะนำอาหารมาตักบาตรได้ไม่ครบทุกรูป การตักบาตรเป็นสังฆทาน คือการถวายโดยไม่เจาะจง จึงควรตั้งใจว่าจะทำบุญตักบาตร แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนา โดยไม่เจาะจงว่าเป็นรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อพระภิกษุสามเณรรูปใดผ่านมา ก็ตั้งใจตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณรรูปนั้นและรูปอื่นๆ ไปตามลำดับโดยปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. จัดเตรียมอาหารที่สะอาด ถูกสุขลักษณะใส่ภาชนะเรียบร้อย มากหรือน้อยตามความต้องการ

2. นำอาหารที่เตรียมไว้ไปคอยตักบาตร ก่อนที่จะตักบาตรควรตั้งจิตถวายด้วยศรัทธา และความเคารพ ตั้งความปรารถนา เพื่อทำกิเลสให้ลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้นไป

3. ขณะที่ตักบาตร ควรอยู่ในอาการสำรวมและเคารพ

4. เมื่อตักบาตรเสร็จแล้ว ควรแสดงความเคารพด้วยการไหว้

5. หลังจากตักบาตร ควรอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล

คำอธิษฐาน ในการตักบาตรจะใช้ภาษาบาลี หรือภาษาไทยหรือใช้ทั้งสองภาษาก็ได้ ดังนี้

  “สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ” ถอดความว่า “ทานของเราให้แล้วด้วยดี ขอจิตข้านี้จงสิ้นอาสวกิเลสเทอญ”

คำกรวดน้ำ แบบย่อ “อิทัง เม ญาตินัง โหตุ” ถอดความว่า “ขอส่วนแห่งบุญกุศล จงสัมฤทธิ์ผลแก่ญาติข้าดั่งตั้งใจ”

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   12 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง iPhone กินไฟ มากกว่าตู้เย็น จริงหรือ ?

           

                    บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเทคโนโลยีคิดใหม่ทำใหม่ นำสมาร์ทโฟนฮิตอย่างไอโฟน (iPhone) มาวิเคราะห์เพื่อวัดปริมาณการใช้พลังงานในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ปรากฏว่าความจริงน่าทึ่งจากการสำรวจนี้ คือไอโฟนมีค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าตู้เย็นขนาดกลาง 1 เครื่อง ถือเป็นแนวโน้มน่าเป็นห่วงเพราะภาพรวมการใช้พลังงานของสมาร์ทโฟนยังไม่มีวี่แววลดลงแม้แต่น้อย มีแต่ขาขึ้นซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนทำงานได้ยาวนานขึ้น และการใช้งานสมาร์ทโฟนแบบ ตลอดเวลาชนิดไม่มีการปิดเครื่อง

บริษัทผู้ดำเนินการศึกษาจนพบว่าไอโฟนเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยมากกว่าตู้เย็นขนาดกลางหรือ midsize refrigerator คือบริษัทดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ป (Digital Power Group) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง โดยซีอีโอ “มาร์ก มิลส์ (Mark Mills)” ระบุว่าตู้เย็นขนาดกลางที่ได้มาตรฐานประหยัดไฟ Energy Star จากสำนัก Environmental Protection Agency จะใช้พลังงานราว 322 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kW-h) ต่อปี ขณะที่ไอโฟนใช้พลังงานประมาณ 361 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายจนต้องชาร์จไฟต่อเนื่อง      

kW-h หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้นเป็นหน่วยวัดความสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า โดยสัญลักษณ์ 1 kW-hr จะหมายถึงกำลังไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 1 ชั่วโมง และหากต้องการกล่าวถึงเตารีดไฟฟ้าขนาด 2 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 3 ชั่วโมง จะสามารถเขียนได้ว่าเตารีดนี้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (ข้อมูลจากพจนานุกรมศัพท์ สสวท.)

ไอโฟนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกังวลที่ดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ประบุในรายงานชื่อเต็มว่า “The Cloud Begins With Coal : Big Data, Big Networks, Big Infrastructure, and Big Power” รายงานฉบับนี้ต้องการสะท้อนให้โลกรู้ว่าระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมไอซีทีหรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้นกำลังเป็นต้นตอที่ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าของโลกสูงขึ้น โดยไม่เพียงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอที แต่ครอบคลุมทั้งระบบอีโคซิสเต็ม ซึ่งประกอบด้วยฟาร์มเซิร์ฟเวอร์ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน

หากนำข้อมูลปริมาณการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมต่างๆ บนโลกนี้มาเขียนเป็นแผนภูมิวงกลม จะพบว่าอุตสาหกรรมไอซีทีกำลังมีชิ้นพายที่ใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง จุดนี้ซีอีโอมิลส์ระบุว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมไอซีทีใช้พลังงานราว 10% ด้วยสถิติ 1,500 เทราวัตต์ชั่วโมง (1 เทราวัตต์ชั่วโมงหมายถึง 1 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง หรือ 10 ยกกำลัง 12 ถือเป็นหน่วยวัดปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กันในระดับโลก)

ตัวเลขการใช้พลังงานระดับเทราวัตต์ชั่วโมงนี้ถือว่ามหาศาล เนื่องจากเพียง 1,000 วัตต์ชั่วโมงก็ถือเป็นพลังงานที่ทำให้เราสามารถชมภาพยนตร์ดีวีดี (DVD) ได้มากถึง 29 เรื่อง หรือการทำขนมปังปิ้งมากกว่า 100 แผ่น อย่างไรก็ตาม 1,000 วัตต์ชั่วโมงหรือ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมงนี้เพียงพอต่อการใช้งานโทรศัพท์ไร้สายเพียง 15 วันเท่านั้น หรือการเล่นวิดีโอเกมต่อเนื่องเพียง 5 ชั่วโมง

รายงานเชื่อว่า ระบบอีโคซิสเต็มในอุตสาหกรรมไอซีทีจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพียงเพราะการใช้หลอดไฟส่องสว่างหรือเครื่องปรับอากาศในศูนย์ข้อมูลไอทีเท่านั้น แต่เป็นเพราะระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมไอซีทีนั้นไม่สามารถหยุดพักการทำงานได้ เช่นเดียวกับที่ชาวไอทีเริ่มไม่ปิดเครื่องสมาร์ทโฟนแม้ในเวลากลางคืน

แถมเมื่อเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายอย่าง 3G และ Wi-Fi มีอิทธิพลมากขึ้น ปริมาณการใช้พลังงานก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่จำเป็นต้องขยายใหญ่ขึ้น โลกก็จะสูญเสียพลังงานไปมากขึ้นเป็นทวีคูณ

จุดนี้ซีอีโอมิลส์ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบสตรีมมิ่งภาพยนตร์ออนไลน์ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือสื่อความบันเทิงใดๆ ในขณะนี้ เป็นระบบที่เผาผลาญพลังงานมากกว่าการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องเดียวกันในรูปแบบแผ่นดีวีดีอย่างก้าวกระโดด

บทสรุปที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจะเป็นทางออกของปัญหาการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นของวงการไอซีทีคือการหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทนถ่านหินซึ่งยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมไอซีทีจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้โลกหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่า เสถียรกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าได้ในระยะยาว 

ได้ยินแบบนี้แล้ว ต่อไปเราชาวสมาร์ทโฟนควรจะคิดถึงปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กับอุปกรณ์ไอทีของตัวเองให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าไม่เพียงไอโฟน แต่สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นก็มีโอกาสกินไฟมากกว่าตู้เย็นไม่แพ้กัน

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   3 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง โรคเริม

โรคเริม

                            โรคเริม มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Herpes Simplex เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส มีอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกทำให้เกิดแผลบริเวณริมฝีปากทั้งบนและล่างหรือมุมปาก ส่วนประเภทที่สอง มักจะพบบริเวณอวัยวะเพศ โดยในที่นี่ เราจะแนะนำให้รู้จักกับโรคเริมชนิดที่ขึ้นอยู่บนริมฝีปาก

โรคเริมที่เกิดบริเวณริมฝีปาก เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type I : HSV-I โดยเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายประมาณ 6-8 วัน ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 2-10 เม็ด ผู้ป่วยจะมีอาการคันหรือเจ็บยิบ ๆ หรือแสบร้อนรอบ ๆ ตุ่มใส โดยตุ่มเหล่านี้จะรวมตัวกันอยู่บนริมฝีปากประมาณ 1-2 วัน แต่บางรายอาจมีอาการนานถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาจะแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ หลายแผลติดกัน ตกสะเก็ด และหายไปในที่สุด แต่ไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น โดยโรคนี้เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ทางการสัมผัสโดยตรง เช่น ใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือ การจูบ รวมทั้งการสัมผัสสิ่งของของผู้ที่มีเชื้อด้วย ซึ่งมักพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เชื้อไวรัสเริมไม่สามารถกำจัดได้อย่างเด็ดขาด แต่เชื้อจะมีระยะพักตัว โดยเชื้อไวรัสนี้จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเสมอ ในตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นหรือใกล้เคียง

ส่วนสาเหตุการเป็นโรคเริมนั้นอาจเกิดมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด วิตกกังวลจากการเรียนหรือการทำงาน หรือในช่วงที่สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลง ไม่ค่อยสบาย ในรายของหญิงสาวอาจเกิดช่วงระหว่างมีประจำเดือน เพราะเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันต่ำ โดยวิธีรักษา มีทั้งยากินและยาทา ยารับประทานมีให้เลือก 3 ตัว คือ Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้ไม่ได้ทำให้อาการของโรคหายขาด ใช้เพียงแค่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นเท่านั้น สำหรับยาทา ช่วยลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็ว ยาที่นิยมใช้คือ Acyclovir แต่ทางที่ดีควรจะพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดโรคนี้ขึ้นดีกว่า.



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   3 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง เครดิตบูโร (Credit Bureau) คือ

เครดิตบูโร (Credit Bureau) คือ

                            ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) คือ ข้อมูลที่บ่งบอกถึงประวัติการชำระหนี้หรือสินเชื่อ รวมถึงการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ผู้ให้บริการสินเชื่อและสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลโดย บริษัท บัตรเครดิตแห่งชาติ จำกัด

บริษัท บัตรเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินของลูกค้า เพื่อใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์สินเชื่อ ป้องกันการเกิดปัญหาหนี้เสีย หรือ NPL ของสถาบันการเงินต่างๆ เป็นการรักษาระบบเศรษฐกิจของประเทศด้วย

Credit Bureau นั้นจะรวบรวมข้อมูลเฉพาะของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ประกอบด้วยข้อมูลที่บ่งชี้ตัวบุคคลโดยทั่วไป เช่น เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่ และส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการชำระสินเชื่อและบัตรเครดิต รวมทั้งหมดเรียกว่า รายงานข้อมูลเครดิต จะมีการบันทึกข้อมูลและจัดการเก็บวงเงินยอดหนี้คงค้าง และประวัติการผิดนัดชำระ ย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน

เครดิตบูโร แท้ที่จริงแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะ Black List ใคร หน้าที่จริงๆ เพียงแค่เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการชำระสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินเท่านั้น และสถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลนี้ในการพิจารณาสินเชื่อ และในการพิจาณาสินเชื่อก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยประกอบเข้าด้วยกัน ฉะนั้น ทางที่ดีควรอย่าผิดนัดชำระเพื่อรักษาเครดิตของตัวเองเป็นดีที่สุด

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

 

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่   3 ธันวาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง น้ำที่เด็กดื่มแล้วดื้อ ผู้ใหญ่ดื่มแล้วป่วย

 

       น้ำที่ว่าคือ น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม เพราะเมื่อดื่มแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่น ซ่า มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ดับกระหายได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะหน้าร้อน บางคนนั้นถึงขั้นดื่มทุกวันจนแทนการดื่มน้ำเลยก็ว่าได้

ผลเสียของการดื่มน้ำอัดลม

สำหรับผู้ใหญ่
- ทำให้ท้องอืด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากน้ำอัดลมทำให้เกิดแก๊ซในกระเพราะ เสียงต่อการเป็นโรคกระเพราะด้วย
- นอนไม่หลับ เพราะในน้ำอัดลมผสมคาเฟอีนด้วย ดังนั้น บางคนที่ดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากจะมีอาการปวดศรีษะ ใจสั่นและนอนไม่หลั
- เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ในวารสารโรคเบาหวาน ของอเมริกา ได้กล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำอัดลมเพียงวันละกระป๋อง เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและโรคเบาหวาน

   สำหรับเด็ก
มีงานวิจัยออกมา ระบุว่า เมื่อเด็กดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะทำให้เด็กดื้อ พฤติกรรมก้าวร้าว มีอารมณ์รุนแรง เนื่องจากน้ำอัดลมมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่มาก เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะส่งผลให้เด็กดื้อ โกรธง่ายและก้าวร้าวรุนแรง เป็นลำดับ ตามอัตราส่วนที่บริโภค

รู้แบบนี้แล้วควรหลีกเลี่ยงน้ำอัดลมครับ เพื่อสุขภาพต่อตัวเราเองและเด็กๆ

 



ความเห็น (1)
maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ครอบครัวของ ด.ญ.เมเฟอร์ลิน  อารีสตี้

เรื่อง  แสงเหนือมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ

 

           แสงสีเขียว แดง ที่ปรากฏบนท้องฟ้าอันมืดมิดของช่วงฤดูหนาว หากเป็นผู้คนที่ไม่เคยพบเจอกับปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบที่ว่ามาก่อนอย่างคนในแถบเอเชียอย่างบ้านเรา ก็อาจจะคิดว่านั่นเป็นเหตุการณ์ประหลาดที่อาจถูกนำไปตีเป็นเลขเอามาแทงหวยงวดต่อไป 

แต่สำหรับผู้คนที่อยู่แถบขั้วโลกเหนือ นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าแสงที่จะเกิดขึ้นบนท้องฟ้านั้นจะเปลี่ยนเป็นสีอะไรเท่านั้น 

แสงที่ว่าถูกเรียกเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวว่า แสงเหนือ ที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Northern Lightซึ่งเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่ารังสีออโรร่า (Aurora) แสงสีแบบเดียวกับการตรวจวัดความร้อนร่างกายด้วยรังสีออร่าที่จะแสดงผลอกเป็นสีเขียวหรือแดงตามค่าความร้อนที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น 

ทว่าการเกิดของแสงออร่าในธรรมชาติที่จะให้สีต่างกันนั้น กลับมีที่มาที่แตกต่างกัน เพราะแสงสีที่ว่าเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กของโลกสัมผัสกับลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ 
และปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับขั้วโลกใต้ด้วยเช่นกัน โดยเรียกตามชื่อของสถานที่เกิดว่า แสงใต้ หรือSouthern Light 

 

แกนกลางของโลกที่เกิดขึ้นจากธาตุโลหะต่าง ๆ เสมือนเป็น แม่เหล็กยักษ์ตั้งอยู่กลางโลก และโลกกับดวงอาทิตย์มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดชั้นบรรยากาศสนามแม่เหล็ก ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เป็นบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กแรงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของโลก จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น 
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็คือ ลมพายุสุริยะ ที่ประกอบด้วยอนุภาคสสารมากมาย เมื่อมันถูกพัดผ่านมายังสนามแม่เหล็กของโลก อนุภาคต่าง ๆ ที่ถูกดูดเข้ามาในสนามแม่เหล็กของโลกนี้เองที่ทำให้เกิดแสงสีขึ้น จะเกิดมากในช่วงที่มีการแปรปรวนบนดวงอาทิตย์อย่างในช่วงจุดดับ (Sunspots) แต่จะเกิดสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับพลังงานของ อนุภาคที่ถูกพัดมากับลมสุริยะ 

ที่จริงแล้วแสงสีที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายแต่สีเขียวกับสีแดงจะโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสีเขียวที่สามารถพบเห็นได้บ่อยครั้งเพราะเป็นสีที่สว่างที่สุด ส่วนสีแดงจะพบเห็นได้ค่อนข้างยาก ความแตกต่างของแสงสียังมีเหตุมาจากอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศที่ระดับความสูงต่างกัน ซึ่งทำให้ภาวะการกระตุ้นของอะตอมจะแตกต่างกันด้วย


รังสีออโรร่าที่เกิดขึ้นนี้มักจะพบเห็นได้ในบริเวณที่อยู่ระดับตั้งแต่ 100-1,000 กิโลเมตร เหนือพื้นดิน ซึ่งมีบรรยากาศเบาบาง ความกดดัน น้อยมากจนเกือบจะถึงขั้นสุญญา กาศ พลังงานจากดวงอาทิตย์ทั้งรังสีอุลตราไวโอเลตและอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่พุ่งออกจากดวงอาทิตย์จะไปกระตุ้นให้ก๊าซเฉื่อยที่มีอยู่เบาบางในบริเวณนั้นเรืองแสงขึ้นมา ซึ่งบางครั้งอาจเกิดนานเป็นชั่วโมงหรืออาจจะยาวนานถึงตลอดทั้งคืน 
ในอดีตวันที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้า แสงประหลาดที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้านี้ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังทางไสยศาสตร์ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณของภูตผีที่พากันออกมาร่ายรำยามค่ำคืน บ้างก็ว่ากลุ่มวิญญาณจำนวนมากที่ออกมาต่อสู้กันบนท้องฟ้า สำหรับคนพื้นถิ่นนอร์เวย์เข้าใจว่าแสงนี้เป็นแสงที่เกิดจากสาวพรหม จารี การเต้นรำและการเคลื่อนไหวของระลอกคลื่น
แต่ชาวไวกิ้งที่เป็นชนพื้นเมืองในแถบขั้วโลกเหนือในยุคแรก ๆ เชื่อว่าแสงเหนือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากวิญญาณของสาวพรหมจารี
ขณะที่ชาวเอสกิโมในกรีนแลนด์และชาวพื้นเมืองทางตอนเหนือของแคนาดาเชื่อว่า รังสีออโรร่าดินแดนแห่งความตาย และเมื่อใดที่แสงสีนั้นเปลี่ยนไปก็หมายความว่าเพื่อนของคุณที่เสียชีวิตไปแล้วกำลังพยายามติดต่อกับญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ 
ส่วนคนอเมริกันเชื่อว่าหากพวกเขาทำพิธีเรียกผี แสงสีที่เกิดขึ้นก็คือการตอบสนองของดวงวิญญาณที่พวกเขาพยายามจะปลุกขึ้นมานั่นเอง
แต่ไม่ว่าแสงเหนือหรือแสงใต้ที่ปรากฏบนท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาวของขั้วโลกเหนือและใต้ จะเคยถูกเข้าใจว่าอะไร สำหรับวันนี้ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว กลายเป็นหนึ่งในสินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศในแถบขั้วโลกเหนือ โดยเฉพาะนอร์เวย์ประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณอาร์คติกเซอร์เคิลที่ว่ากันว่าสามารถชื่นชมกับความมหัศจรรย์ของแสงเหนือได้ในทุกค่ำคืน 
ซึ่งหนึ่งในเมืองที่ชมความมหัศจรรย์ได้ดีที่สุดก็คือ ทรูมโซ ซึ่งให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์นี้ถึงขนาดให้มีการบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ถึงที่มาที่ไปที่พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยทรูมโซ
และอีกแห่งก็คือ เกาะสวาลบาร์ด ที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่สามารถศึกษารังสีออโรร่าทั้งกลางวันและกลางคืน โดยคนไทยที่ต้องการจะไปที่เกาะแห่งนี้ไม่ต้องขอวีซ่าก็สามารถข้ามไปได้หากมีจุดหมายอยู่แห่งเดียว แม้จะเป็นเกาะที่อยู่ในนอร์เวย์ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎระเบียบที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าเชื่อด้วยว่าที่นี่หนาวติดลบเกือบตลอดทั้งปีแห่งนี้จะมีคนไทยไปใช้ชีวิตอยู่ด้วย. 

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ครอบครัวของ ด.ญ.เมเฟอร์ลิน  อารีสตี้

เรื่อง   ชาเย็นสาเหตุทำให้เป็นนิ่วในไต 

 

  ในช่วงอากาศร้อน ๆ อบอ้าวแบบนี้ ถ้าได้ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว คงทำให้ชื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นน้ำประเภทที่ให้รสชาิติหวานกลมกล่อม อย่างเช่น กาแฟเย็น ชาเย็น ชาดำเย็น นมเย็น ฯลฯ ด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่  แต่ทราบกันไหมว่า ในน้ำประเภทนี้โดยเฉพาะชาเย็นนั้นหากดื่มมาก ๆ อาจเป็นอันตราต่อร่างกายได้ ทางการแพทย์ได้เตือนว่า ผู้ที่ดื่มชาเย็นเป็นประจำไม่ควรจะดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้เป็นนิ่วในไตได้ เนื่องจากชาเย็นจะมีปริมาณกรดออกซาลิกสะสมอยู่มากซึ่งเป็นสารเคมีที่สำคัญที่อาจทำให้เป็นนิ่วในไต (กาารดื่มชาร้อนก็จะมีกรดออกซาลิกเหมือนกัน แต่โอกาสที่จะทำให้เป็นนิ่วได้นั้น จะยากกว่าการดื่มชาเย็น)

     ดร.จอห์น มิลเลอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะโรคระับบทางเดินปัสสาวะ โรงเรียนแำพทย์สตริตช์ มหาวิทยาลัยโลโยลาแห่งชิคาโก กล่าวว่าผู้ที่เป็นนิ่วในไตง่ายไม่ควรดื่มชาเย็นเป็นอันขาดทั้งผู้ชายและผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนจะมีฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนน้อย และสตรีที่ได้ทำการผ่าตัดมดลูกออกไปแล้วมีโอกาสเป็นนิ่วได้ง่ายในไตมีลักษณะเป็นก้อนผลึกเล็ก ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุและเกลือที่มีอยู่ในปัสสวาะมักเกิดขึ้นในไต หรือท่อซึ่งเป็นท่อปัสสาวะจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ

     โดยปกติแล้วมันจะหลุดไปได้เองแต่ถ้ามีขนาดโตมันจะติดค้างอยู่ในท่อส่งผลทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากเป็นมากต้องทำการผ่าตัดเลยทีเดียวทราบอย่างนี้แล้วต่อไป ต้องเลือกบริโภคแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ครอบครัวของ ด.ญ.เมเฟอร์ลิน  อารีสตี้

เรื่อง  ทำไมเพนกวินจึงบินไม่ได้?

 

             จากผลการศึกษาที่ได้เผยแพร่ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences พบว่า จากการศึกษานกทะเลหลายชนิดที่มีความใกล้เคียงกับเพนกวินนั้น ยืนยันว่า ปีกที่เหมาะสำหรับการใช้บินนั้น จะไม่เหมาะสำหรับการว่ายน้ำและดำน้ำ

โดยก่อนหน้านี้ได้มีหลายคนพยายามตั้งทฤษฎีว่าเหตุใดเพนกวินจึงบินไม่ได้ โดยหนึ่งในนั้นชี้ว่า สาเหตุเกิดจากการขาดแคลนผู้ล่าเหยื่อที่อาศัยบนพื้นดิน ส่วนอีกแนวคิดหนึ่งชี้ว่าเกิดจากสมมุติฐานด้านชีวกลศาสตร์ ศาสตราจารย์จอห์น สปีคแมน จากมหาวิทยาลัยอะเบอร์ดีน หนึ่งในทีมวิจัยเปิดเผยว่า เมื่อเพนกวินต้องบินและดำน้ำ มันจำเป็นต้องใช้ปีกเพื่อทำกิจกรรมถึง 2 ประเภท เมื่อมองถึงสมมุติฐานด้านชีวกลศาสตร์ พบว่าเราไม่สามารถสร้างปีกที่ทำได้ทั้งสองอย่างให้ดีได้พร้อมๆกัน

 ในการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์การใช้พลังงานของนกทะเลปากยาว ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ที่มีความใกล้ชิดกับเพนกวินมากที่สุด นกดังกล่าวไม่เพียงมีความคล้ายคลึงกับเพนกวินมากเท่านั้น แต่ยังสามารถว่ายน้ำได้ดีใกล้เคียงกัน และสามารถบินได้ และผลการศึกษาพบว่า มันสามารถดำน้ำโดยใช้พลังงานที่น้อยกว่า ขณะที่เวลาบินพวกมันต้องใช้พลังในการบินอย่างสูง ศ.สปีคแมนกล่าวว่า พลังงานที่ใช้ไปมีปริมาณค่อนข้างสูง เนื่องจากนกดังกล่าวมีปีกสั้น ทำให้มันต้องกระพือในอัตราที่เร็วกว่านกทั่วไปเพื่อให้ทรงตัวอยู่ในอากาศได้ ทำให้นกทะเลปากยาว กลายเป็นสัตว์ที่มีความสามารถคาบเกี่ยวกับนกทะเลและสัตว์ปีกที่ไม่สามารถบินได้

ในอดีต นักวิจัยเสนอว่า เพนกวินอาจกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงวิวัฒนาการระหว่างพฤติกรรมการบินและความสามารถในการดำน้ำได้

ศ.สปีคแมนอธิบายว่า โดยพื้นฐานแล้วสมมุติฐานก็คือ ขณะที่ปีกของเพนกวินเริ่มมีประสิทธิภาพในการว่ายน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการบินของพวกมันก็ลดลงเรื่อยๆเช่นกัน และเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเพนกวินที่จะบิน และเลิกพฤติกรรมโดยสิ้นเชิง และใช้ปีกที่มีอยู่ในการเป็นอวัยวะช่วยสำหรับการว่ายน้ำแทน

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ครอบครัวของ ด.ญ.เมเฟอร์ลิน  อารีสตี้

เรื่อง  10 เคล็ดลับเลิกบุหรี่

              

     ท่านผู้สูบบุหรี่ทุกท่าน โปรดทราบ !!! ขณะนี้ เลิกบุหรี่ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก ข้อมูลจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ บอกว่า แต่ละปีคนไทยเลิกสูบบุหรี่ได้มากกว่า 200,000 คน หรือโดยเฉลี่ยมีผู้เลิกสูบบุหรี่ได้ถึงวันละ 600 คน จากสถิติพบว่า ร้อยละ 80 ผู้ที่หยุดสูบบุหรี่สามารถเลิกได้ด้วยตัวเอง ด้วยการเลิกอย่างเด็ดขาดและต้องมีการเตรียมตัวที่ดี บางคนอาจถือฤกษ์ 31 พฤษภาคมวันงดสูบบุหรี่โลก เป็นวันเลิกบุหรี่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน หากคุณอยากเป็น 1 ใน 200,000 คน ที่เลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จ ลองปฏิบัติตามวิธีง่าย ๆ เรามีคำแนะนำค่ะ

1. ขอคำปรึกษา เพื่อให้คุณมีแนวทางในการเลิกสูบบุหรี่ คุณอาจโทรศัพท์เพื่อขอคำแนะนำได้ที่ หมายเลข 1600 หรือขอคำปรึกษาจากคนรู้จักที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จมาแล้ว

2. หากำลังใจ คุณควรบอกให้คนใกล้ชิดได้ทราบถึงความตั้งใจที่จะเลิกบุหรี่ เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างจะช่วยให้คุณมีความพยายามที่จะเลิกสูบบุรี่ให้ได้ เพื่อคนที่คุณรัก

3. เป้าหมายอยู่ข้างหน้า คุณควรวางแผนการปฏิบัติตัว ในระหว่างการเลิกสูบบุหรี่ โดยกำหนดวันที่จะลงมือเลิกสูบบุหรี่ อาจเลือกวันสำคัญต่างๆ ของครอบครัว เช่น วันเกิดตัวเอง วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเกิดลูก แต่ไม่ควรกำหนดวันที่ห่างไกลเกินไป เพราะอาจทำให้หมดไฟเสียก่อน

4. ไม่รอช้า…ลงมือ คุณควรเตรียมตัวให้พร้อม ด้วยการทิ้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ให้หมด เตรียมผลไม้หรือขนมขบเคี้ยวที่ไม่หวานหรือไม่ทำให้อ้วนไว ้เพื่อช่วยในการลดความอยากสูบบุหรี่ รวมถึงปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่คุณมักทำร่วมกับการสูบบุหรี่ เช่น อ่านหนังสือแทนการสูบบุหรี่ระหว่างเข้าห้องน้ำ ลุกจากโต๊ะทันทีที่กินอาหารเสร็จ หรือแปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหาร

5. ถือคำมั่นไม่หวั่นไหว เมื่อถึงวันลงมือ จงตื่นนอนด้วยความสดใส บอกตัวเองว่ากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่ออยากสูบบุหรี่ก็ขอให้ทบทวนถึงเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ล้างหน้า ดื่มน้ำ อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ไม่สูบบุหรี่ เล่นกับลูก หรือสัตว์เลี้ยงให้มากขึ้น ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นความอยากสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้น

6. ห่างไกลสิ่งกระตุ้น ในระหว่างนี้ขอให้คุณหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ เช่น ถ้าเคยดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วสูบบุหรี่ไปด้วย ก็ควรงดดื่มในช่วงนี้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางคนสูบบุหรี่ด้วย

7. ไม่หมกมุ่นความเครียด เมื่อรู้สึกเครียดให้หยุดพักสมอง คลายเครียดสักครู่ ด้วยการพูดคุยกับคนอื่น หรืออ่านหนังสือการ์ตูนขำขัน พึงระลึกเสมอว่า มีคนไม่สูบบุหรี่อีกมากที่คลายเครียดได้ โดยไม่ต้องสูบบุหรี่

8. เจียดเวลาออกกำลังกาย คุณควรจัดเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 15-20 นาที เพราะนอกจากจะเป็นการควบคุมน้ำหนักที่อาจเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สมองปลอดโปร่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจและปอด หากไม่มีเวลาออกกำลังกาย ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เพื่อที่คุณจะได้ออกกำลังกายบ้าง

9. ไม่ท้าทายบุหรี่ อย่าคิดว่าลองสูบบุหรี่เป็นครั้งคราวคงไม่เป็นไร เพราะการทดลองสูบบุหรี่เพียงมวนเดียวอาจหมายถึงการหวนคืนไปสู่ความเคยชินเก่า ๆ อีก คุณมาไกลมากแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองถอยหลังลงคลองอีกเลย

10. หากต้องเริ่มต้นใหม่อีกอย่าท้อแท้ ถ้าหันกลับไปสูบบุหรี่อีก นั่นไม่ได้หมายความว่าโลกได้ล่มสลาย หรือคุณเป็นคนล้มเหลว อย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวเองในคราวต่อไป ขอเพียงพยายามต่อไป ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่บันทึก 20 ตุลาคม 2556

ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง     รักษาโรคด้วยน้ำมะพร้าว

       ธรรมชาติบำบัดถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมัน ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

มะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่าง ๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวหรือเนื้อมะพร้าวเป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม ฯลฯ

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง น้ำมะพร้าว และกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่ามะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่ามะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยิน และหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน ให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธิ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กถ้า ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด ให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียว ทุกครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวที่เปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้ อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม ควรกินให้หมดทีเดียว ผลไม้แต่ละอย่างมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าวควรต้องระวังเรื่องสารฟอกขาวหากเป็นไปได้ควรซื้อเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง เมื่อต้องการดื่มค่อยตัดทีละลูกจากทะลาย

ประโยชน์มะพร้าวสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น
1. ในผลมะพร้าวอ่อนจะมีน้ำอยู่ภายใน เรียกว่าน้ำมะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค และเป็นสารละลายไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน (หลอดเลือดดำ) ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้
2. น้ำมะพร้าวสามารถนำไปทำวุ้นมะพร้าวได้ โดยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ำมะพร้าว
3. เนื้อในของมะพร้าวแก่ นำไปทำกะทิได้ โดยการขูดเนื้อในเป็นเศษเล็ก ๆ แล้วบีบเอาน้ำกะทิออก
4. กากที่เหลือจากการคั้นกะทิ ยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ได้
5. ยอดอ่อนของมะพร้าว หรือเรียกอีกชื่อว่า “หัวใจมะพร้าว” (coconut’s heart) สามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ ซึ่งยอดอ่อนมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอดอ่อนทำให้ต้นมะพร้าวตาย ด้วยเหตุนี้จึงมักเรียกยำยอดอ่อนมะพร้าวว่า ‘สลัดเจ้าสัว’ (millionaire’s salad)
6.ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก ทำเสื่อ หรือนำไปใช้ในการเกษตร
7. น้ำมันมะพร้าว ได้จากการบีบหรือต้มกากมะพร้าวบด นำไปใช้ในการปรุงอาหารหรือนำไปทำเครื่องสำอางก็ได้ และในปัจจุบันยังมีการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย
8. กะลามะพร้าว นำไปใช้ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ กระดุม ซออู้ ฯลฯ
9. ก้านใบ หรือทางมะพร้าว ใช้ทำไม้กวาดทางมะพร้าว
10.จั่นมะพร้าว (ช่อดอกมะพร้าว) ให้น้ำตาล

 

                 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่  17ตุลาคม 2556

ครอบครัวของ เมเฟอร์ลิน อารสตี้

เรื่อง โรคขาดวิตามินเอ

                 วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน พบมากในน้ำมันตับปลา ตับ ไข่แดง เขย พืชใบเขียวเช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผลไม้สีส้มเช่น ส้ม ฟักทองซึ่งมีสาร betacarotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ตับเป็นแหล่งสะสมของวิตามินเอ

สาเหตุของการขาดวิตามินเอ

  • จากการขาดอาหาร โดยเฉพาะคนที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก เนื่องจากข้าวมีวิตามินเอต่ำ
  • ขาดวิตามินเอ เนื่องจากการดูดซึม การสะสม หรือกลไกการขนส่ง เช่นโรคท้องร่วงเรื้อรัง โรตตับอ่อนอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน
  • ผู้ที่รับประทานอาหารน้อย เช่นผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง
  • ผู้ที่ขาดฐาตุสังกะสีโดยมากพบร่วมกับผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง

อาการของคนขาดวิตามิน เอ

ความรุนแรงของโรคขาดวิตามินเอขึ้นกับอายุ หากขาดวิตามินเอตั้งแต่อายุน้อยจะมีอาการรุนแรง

อาการทางระบบการมองเห็น

  • ตาบอดกลางคืน Night blindness เด็กจะมองไม่ชัดในที่มืด ทำให้เด็กหกล้มง่าย
  • ตาแห้ง ตาขาวจะแห้งมีรอยย่น เรียกสะเก็ดปลากระดี่ หรือ Bitot'spot การมองเห็นยังคงปกติ
  • ตาวุ้น Keratomalacia ในระยะแรกกระจกตาจะแห้ง และขุ่น ต่อมาจะเหลวเหมือนลำไย เนื่องจากโปรตีนมีการติดเชื้อได้ง่าย

ระบบสืบพันธุ์

  • มีการสร้างฮอร์ดมนเพศชายน้อยลง อัตราการผสมของไข่และเชื้อต่ำ และอัตราการเสียชีวิตในครรภ์สูง

ระบบการเจริญเติบโต

  • ในเด็กเล็กจะมีการเจริญเติบโตช้า
  • การขาดวิตามินเอทำให้การเจริญเติบโตของกระดูก กระดูดอ่อน ฟัน ช้ากว่าปกติ ทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้า

ระบบภูมิคุ้มกัน

  • การขาดวิตามินเอทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวที่ผิวหนัง ผนังลำไส้ และผนังหลอดลม จะติดเชื้อได้ง่าย และใช้เวลานานในการหาย

ที่ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นตุ่มเรียก Follicular keratosis เนื่องจากมีการสร้าง keratin ที่รากขน

ทารกและก่อนวัยเข้าเรียน

  • ทารกที่ไม่ได้กินนมแม่ หรือทารกที่กินนมแม่ แต่อย่านมแม่เร็วเกินไป แล้วเลี้ยงต่อด้วยนมอื่นๆ ที่ไม ่เหมาะสมกับวัย
  • เด็กที่ ไม่ได้รับอาหารตามวัยเมื่อถึงเวลาอันสมควร เช่น ให้เด็กกินแต่แป้งกวน หรือข้าวต้มใส่น้ำตาลหรือเกลือ หรือกินข้าวกับน้ำแกงจืดโดยไม่ได้กินไข่ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง รวมทั้งไขมัน
  • เด็กที่เป็นโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส ท้องร่วงเรื้อรังซึ่งมีความต้องการใช้วิตามินเอ ในปริมาณสูง
  • เด็กที่เป็นโรคขาดสารอาหาร ประเภทโปรตีนและกำลังงานระดับ 1, 2 และ 3
  • เด็กที่ไม่ได้รับบริการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เช่น ไม่ได้รับบริการภูมิคุ้มกันโรคและไม่ได้รับการชั่ง น้ำหนักทุก 3 เดือน

เด็กวัยเรียน

  • เด็กที่ขาดสารอาหารประเภทโปรตีน และกำลังงานและไม่ได้บริโภคอาหารที่มีวิตามินเอ

หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร

  • หญิงที่งดอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารพวกเนื้อสัตว์ และผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลืองหรือส้ม รวมทั้งไขมันระหว่างตั้งครรภ์และให้นมลูก

การวินิจฉัย

โรคนี้จะวินิจฉัยเมื่อเกิดอาการของโรคแล้วเท่านั้น สำหรับกลุ่มเสี่ยงเช่นสงสัยว่าจะขาดสารอาหาร หรือมีโรคท้องร่วงเรื้อรัง เราอาจจะเจาะเลือดตรวจหาระดับวิตามินเอ Plasma retinol ค่าปกติอยู่ระหว่าง 20-80 µg/dL ผู้ที่มีค่าอยู่ระหว่าง 10-19 ถือว่ามีค่าต่ำ ส่วนผู้ที่มีค่าน้อยกว่า 10 µg/dL ถือว่าขาดวิตามินเอ

การป้องกัน

เด็กที่เกิดในประเทศที่มีความเสี่ยง ควรให้วิตามินเอ 200,000 ยูนิตทุก 3-6 เดือนจนอายุ 4 ปี อาหารที่ให้ควรจะเป็นพืชใบเขียว ผลไม้สีเหลือง

ใครควรได้รับวิตามินเอเสริม

  • องค์การอนามัยโลกแนะนำให้วิตามินเอเสริมแก่เด็กที่เป็นดรคหัดที่มาจากถิ่นที่มีการขาดวิตามินเอ
  • โรค Celiac disease
  • Crohn's disease
  • โรคตับอ่อนเรื้อรังทำให้มีอาการท้องร่วง


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่16ตุลาคม 2556

ครอบครัวของ เมเฟอร์ลิน อารสตี้

เรื่องโรคขาดโปรตีนและแคลอรี่

 

             โรคขาดโปรตีนและแคลอรี เป็นโรคเกิดจากร่างกายได้กำลังงานโปรตีนไม่พอ เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กที่อายุต่ำกว่า ๖ ปี ลักษณะอาการของโรคที่เห็นแตกต่างกันชัดเจน มี ๒ รูปแบบ คือ ควาชิออร์กอร์ (kwashiorkor) และมาราสมัส (marasmus)
          ควาชิออร์กอร์  เป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรีประเภทที่มีการขาดโปรตีนอย่างมาก  เด็กมีอาการบวมเห็นได้ชัดที่ขา ๒ ข้าง เส้นผมมีลักษณะบางเปราะและร่วงหลุดง่าย  ตับโต มีอาการซึม และดูเศร้า ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อมผิวหนังบางและลอกหลุด
          มาราสมัส  เป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรี  ประเภทที่ขาดทั้งกำลังงานและโปรตีน เด็กมีแขนขาลีบเล็ก เพราะทั้งไขมันและกล้ามเนื้อถูกเผาผลาญมาใช้เป็นกำลังงานเพื่อการอยู่รอด   ลักษณะที่พบเห็นเป็นแบบหนังหุ้มกระดูก  ผิวหนังเหี่ยวย่นเหมือนหนังคนแก่ ไม่มีอาการบวมและตับไม่โต
          อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มีลักษณะทั้งควาชิออร์กอร์ และมาราสมัสในคนเดียวกันก็ได้

          โรคขาดโปรตีนและแคลอรีที่พบในเด็กไทย
          โรคขาดโปรตีนและแคลอรี   พบได้ในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท และแหล่งเสื่อมโทรมในเมืองใหญ่ โดยการใช้มาตรการการชั่งน้ำหนักตัวตามอายุ เพื่อประเมินผลภาวะโภชนาการด้านโปรตีนและแคลอรี  พบว่าเด็กแรกเกิดถึงอายุ  ๕ ปี ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศประมาณ ๗ ล้านคนนั้น เป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรีเสีย ๔.๒ ล้านคน ซึ่งคิดได้เป็นร้อยละ  ๖๓  ของเด็กวัยก่อนเรียน  ในจำนวนเด็กที่เป็นโรคขาดอาหารนี้  ๒  ล้านคนเริ่มขาดโปรตีนและแคลอรี  ๒ ล้านคนอยู่ในพวกขาดโปรตีนและแคลอรีอย่างปานกลาง  และ ๒ แสนคนอยู่ในพวกขาดโปรตีนและแคลอรีอย่างรุนแรง

          ผลร้ายของโรคขาดโปรตีนและแคลอรี

          โรคขาดโปรตีนและแคลอรีมีผลร้ายต่อเด็กเองต่อครอบครัว และต่อประเทศชาติ เด็กที่เป็นโรคมีน้ำหนักน้อย  ตัวเล็กอ่อนแอ  ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะมีภูมิต้านทานต่ำ และเมื่อเกิดเป็นโรคก็ตายง่าย การศึกษายังพบด้วยว่า โภชนาการมีผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง ที่สำคัญที่สุดคือ ตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์แม่ในระยะ ๓ เดือนก่อนคลอดจนถึงขวบแรกของอายุ ถ้าเกิดเป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรีในช่วงนี้ สมองเด็กจะไม่เจริญและมีผลสืบเนื่องไปถึงโตได้  การเรียนรู้ต่างๆ ของเด็กย่อมไม่มีประสิทธิภาพ ถ้ารุนแรงเด็กก็ตาย ถ้าอาการไม่หนัก แม้ไม่ตายก็จะมีชีวิตอยู่แบบเฉื่อยชา ไม่สนใจในสิ่งแวดล้อม เด็กเหล่านี้ก่อให้เกิดภาระต่อครอบครัว  เพราะเด็กที่เจ็บป่วยบ่อยย่อมทำให้พ่อแม่เสียทั้งเงินและเวลาในการรักษาพยาบาล  ถ้าเด็กตายไป พ่อแม่ก็ต้องมีลูกเพิ่มอีก  เพื่อให้สมดังที่ตนปรารถนาไว้ ประเทศที่มีเด็กเป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรีกันมากๆย่อมมีผลเสีย  เพราะเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้นจะไม่สามารถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การพัฒนาประเทศไม่สามารถดำเนินไปได้ดี ก่อปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข และอื่นๆ อีกมากมาย

          สาเหตุของโรคขาดโปรตีนและแคลอรี

          เมืองไทยได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แต่การที่เด็กไทยเป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรีนั้น มีสาเหตุที่สำคัญอยู่ ๓ ประการคือ
          ๑. ความไม่รู้  อาหารที่ดีที่สุดของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ ๖ เดือน ได้แก่ น้ำนมแม่ แม่ที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมตนเองได้ แล้วใช้นมวัวเลี้ยงลูก  ถ้าเลือกใช้นมผิดๆ เช่น การใช้นมข้นหวาน หรือเลือกใช้ถูกแต่ผสมผิดสัดส่วน ไม่พิถีพิถันในเรื่องความสะอาดเกี่ยวกับการชงนม ทำให้เด็กเป็นโรคติดเชื้อขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เด็กป่วยเป็นโรคขาดโปรตีนและแคลอรี
ได้ หลังอายุ  ๖ เดือนไปแล้ว เด็กไทยในชนบทยังได้อาหารเสริมที่ด้อยในคุณค่าทางโภชนาการ คือ ได้แต่ข้าวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งด้อยทั้งกำลังงานและโปรตีน จึงก่อให้เกิดปัญหาการขาดโปรตีนและแคลอรีขึ้น
          ๒. ความยากจน  ครอบครัวที่มีฐานะยากจนและสมาชิกในครอบครัวมาก ย่อมประสบปัญหาการได้อาหารที่เพียงพอและคุณภาพดี
          ๓. ความเชื่อถือ ความเชื่อถือหลายอย่างเป็นความเชื่อถือที่ทำให้เกิดโรคขาดโปรตีนและแคลอรี เช่น การอดของแสลงในระหว่างการตั้งครรภ์

          การป้องกันโรคขาดโปรตีนและแคลอรี

          หลักสำคัญในการป้องกันโรคขาดโปรตีนและแคลอรี คือ
          ๑. ให้เด็กได้อาหารอย่างเพียงพอและมีคุณภาพอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิดจนถึง ๖ เดือน คือ น้ำนมแม่ และควรได้อาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการหลังจากอายุ ๓ เดือนแล้ว
          ๒. รัฐต้องส่งเสริมให้มีการผลิตอาหาร ทั้งระดับท้องถิ่นและอุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการควบคุมอาหารที่ผลิตได้ให้ถึงมือผู้ที่ยากจน พยายามจัดสถานที่เลี้ยงดูเด็กวัยก่อนเรียนในระดับหมู่บ้าน โดยให้รวมถึงการดูแลอาหารที่เด็กกินด้วย   ถ้าเป็นเด็กอยู่ในวัยเรียน  ก็ส่งเสริมให้โรงเรียนดำเนินการโครงการอาหารกลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ถึงปากท้องเด็กนักเรียนที่ยากจน
          ๓. ให้ความรู้ด้านโภชนาการแก่ประชาชน  ต้องถ่ายทอดความรู้ด้านโภชนาการให้แก่ประชาชน  เพื่อนำไปปฏิบัติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงตั้งครรภ์ที่กินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการจะได้รับประโยชน์ทั้งแม่และลูก 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่ 13พฤศจิกายน  2556

ครอบครัวของ เมฟอร์ลิน อารสตี้

เรื่อง ส้มตำ

      ส้มตำเป็นสุดยอดอาหารโปรดของคนไทย โดยเฉพาะบรรดาคุณสุภาพสตรี ส้มตำเป็นอาหารที่มีรสชาติปานกลางประกอบด้วย เผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยว ครบทุกรส เมื่อรับประทานคู่กับไก่ย่าง ข้าวเหนียวและผักสด แล้วก็ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่มีคุณภาพดี ถึงขั้นดีมาก
 

ส้มตำประกอบด้วย มะละกอดิบสับเป็นเส้น พริกขี้หนู กระเทียม มะเขือเทศ มะนาว น้ำตาลปี๊บ น้ำปลาดี เท่านี้ก็อร่อยแล้ว ถ้าเพิ่มปูเค็มหรือปลาร้าอย่างดีก็จะเป็นที่ถูกปากยิ่งขึ้น ส่วนการปรุงนั้นก็แล้วแต่รสมือของคนทำเพราะลูกค้าบางคนก็เน้นเผ็ดนำ บางคนขอหวานมากหน่อย หลายคนก็ต้องมีเปรี้ยวโดดๆ ฉะนั้นรสปากใครก็รสปากคนนั้น
 

เมื่อสืบสาวราวเรื่องถึงประวัติความเป็นมาของส้มตำก็มาจนด้วยปัญญา เพราะเราจะพบกับชุดคำตอบว่า ก็ทำมาตั้งแต่ปูย่าตาทวดแล้ว จึงต้องมีการสืบเสาะ แสวงหาข้อเท็จจริงมาประมวลและเรียบเรียงให้ได้เรื่องสักครั้งหนึ่งก่อน ส่วนผู้อ่านท่านใดจะร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อคิด ความเห็นก็เชิญตามสะดวก
 

ต้องเริ่มที่มะละกอก่อน กล่าวกันว่ามะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทวีปอเมริกากลาง และได้แพร่หลายเข้ามาส่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ก่อนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว  เพราะท่านราชทูต เดอ ลา ลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า พบผลมะละกอ แต่ชาวสยามเรียกว่าแตงไทย (melon) 
 

มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งในราว พ.ศ. 2475-79 รัฐบาลสยามได้สนับสนุนให้ชาวไร่ชาวนาปลูกมะละกอเพื่อนำมาสกัดเอายางมะละกอสำหรับส่งขายต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างประเทศศรีลังกาว่าสามารถขายยางมะละกอได้ปีละ 300,000 กว่าบาท โดยส่งออกไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำ "หมากฝรั่ง" ในตอนนั้นจึงมีการส่งเสริมปลูกกันมาก และมีการนำเข้ามะละกอพันธุ์ฮาไวเอียนมาเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์โดยใช้โรงเรียนกสิกรรม ตำบลทับกวาง เป็นสถานีทดลอง
 

เมื่อทราบว่ามะละกอปรากฏอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนานแล้ว แต่ทำไมจึงนำมาผนวกเข้ากับการปรุงอาหารแบบไทยๆ ได้ ก็ควรจะต้องสอบสวนตำราอาหารของคนไทยในยุคต่างๆ ว่ามีการขีดเขียนบันทึกไว้หรือไม่? 
 

ตำราอาหารแม่ครัวหัวป่าก์ ของ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2451 (ในสมัยรัชกาลที่ 5) ไม่ปรากฏว่ามีสูตรอาหารที่ชื่อว่าส้มตำเลยมีเพียงอาหารที่ใกล้เคียงกัน แต่พอจะนับเนื่องได้ว่าคล้ายส้มตำ โดยใช้มะขามเป็นส่วนผสมหลักในชื่อว่า ปูตำ ปรากฏอยู่ในเล่มที่ 3 น. 98
 

แล้วคนไทยมีอาหารที่เรียกว่าส้มตำรับประทานกันบ้างหรือไม่  ในอดีตเราก็มี ตำราอาหารที่เรียกว่าข้าวมันส้มตำ ปรากฏอยู่ในตำราอาหารเก่าๆ เช่น ตำรับเยาวภา ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือข้าวมันหุงด้วยกะทิ และส้มตำซึ่งใช้มะละกอเป็นหลักแต่มีส่วนผสมที่มากกว่าสูตรของคนอีสานคือมีกุ้งแห้งกับถั่วลิสงป่น และปรุงรสชาติแบบนุ่มนวลไม่จัดจ้าน ค่อนข้างไปทางหวานนำ


เมื่อคราวไปสำรวจโบราณสถานศรีเทพกับสมาคมประวัติศาสตร์ฯ พ.ศ. 2552 นั้นได้พบกับ ดร. ประเสริฐ ณ นคร อายุ 92 ปี (เกิด 21 มีนาคม 2461) ท่านได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อท่านอายุได้ 10 ขวบ อาศัยอยู่ที่แพร่ ท่านได้เงินวันละ 2 สตางค์ ไปโรงเรียนและได้ซื้อตำส้มมารับประทานจานละ 1 สตางค์ ท่านเล่าว่าก็เป็นส้มตำแบบปัจจุบันนั่นเอง มีมะละกอสับเป็นส่วนประกอบหลัก
 

เมื่อมีโอกาสพบกับ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร (เกิด 14 พฤศจิกายน 2472) ก็ได้สอบถามท่านเกี่ยวกับเรื่องส้มตำ ท่านเล่าว่า เมื่อท่านมาเรียนที่ขอนแก่น (โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน) ก่อน พ.ศ.  2487 ท่านก็ได้รับประทานส้มตำอย่างปัจจุบันแล้ว คือ มีมะละกอเป็นหลัก ผสมด้วยปูเค็มหรือปลาร้าแล้วแต่ชอบ หากไม่มีมะละกอก็นำผักหญ้าในท้องถิ่นมาปรุงก็ได้ เช่น กล้วยดิบ มะเฟือง แตงกวา มะยม
 

เมื่อตรวจสอบต่อไปอีก ก็ได้พบข้อมูลเกี่ยวกับร้านไก่ย่าง ส้มตำ ที่น่าสนใจมากคือร้านไก่ย่าง ส้มตำ ข้างสนามมวยราชดำเนิน ชื่อร้านไก่ย่างผ่องแสง เจ้าของร้านชื่อด้วงทอง ซึ่งเคยเป็นมือตำส้มตำให้กับร้านเฟื่องฟูมาก่อน
 

อาหารอีสานระดับตำนานก็คงต้องยกให้ร้านส้มตำไก่ย่าง ข้างสนามมวยราชดำเนิน ในอดีตนั้นอาหารอีสานไม่สามารถหารับประทานได้ง่ายอย่างในปัจจุบัน หากชาวบางกอกต้องการลิ้มรสอาหารอีสานก็ต้องนัดหมายกันที่ร้านแถวข้างสนามมวยราชดำเนิน
 

สนามมวยราชดำเนินสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของที่ดิน ในคราวนั้นได้มีการอพยพย้ายถิ่นของชาวอีสานจำนวนมากเข้าสู่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาพักอาศัยอยู่ริมสนามมวยราชดำเนินทำนองเพิงชั่วคราวและได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมใหญ่ของอาหารอีสานซึ่งชาวบางกอกก็ร่วมลิ้มรสอาหารด้วยเช่นกัน และเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงของสังคมบางกอก
 

ผมขอสรุปบทความเรื่อง ส้มตำเจ๊ด้วง ของเพรียวซึ่งพิมพ์อยู่ในนิตรสารสารประชาชน ประจำวันที่ 18 เมษายน 2508 ว่าคนอีสานคงจะอพยพย้ายถิ่นมาทำมาหากินในกรุงเทพฯ ราว พ.ศ. 2490 คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ทำให้เกิดชุมชนชาวอีสานขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือบริเวณข้างสนามมวยราชดำเนิน ปลูกสร้างกันในลักษณะเพิงที่พักชั่วคราว ใครมีทุนมากหน่อยก็ปลูกเป็นเรือนไม้ คุณด้วงทอง เจ้าของร้านส้มตำไก่ย่างผ่องแสงก็เข้ามาเป็นลูกมือตำส้มตำในราว พ.ศ. 2493 จนนายจ้างเจ้าของร้านชื่อเฟื่องฟูเพิ่มค่าจ้างจากเดือนละ 50 บาท จนเป็นหลายร้อยบาท พร้อมกับสวัสดิการครบ จนพอจะเก็บเพื่อทำเป็นทุนได้  ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2501 ได้มีการสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นขึ้นเพื่อทดแทนบ้านไม้ของเดิม คุณด้วงทองก็ได้เข้าซื้อด้วย  1 คูหา ในราคา 50,000 บาท พร้อมกับหนี้สินที่หยิบยืมผู้ที่เคารพนับถือมา  ต่อมาไม่นานคุณด้วงทองก็สามารถใช้หนี้สินหมด ด้วยปริมาณการขายอยู่ที่การใช้มะละกอวันละ 100 ผล ไก่ย่างวันละ 120 ตัว หากวันไหนมีรายการมวยพิเศษ ยอดการจำหน่ายจะสูงเป็นเท่าตัว
 

เมื่อประมวลข้อมูลต่างๆ เหล่านี้แล้วพอจะสรุปได้ว่าส้มตำอย่างชาวอีสานรับประทานนี้มีมานานแล้ว และถูกเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า ตำส้ม โดยใช้ผักผลไม้ใดๆ ก็ได้ที่มีตามฤดูกาลแต่จะให้อร่อยก็ต้องใช้มะละกอดิบ ต่อมาเมื่อเกิดการอพยพย้ายถิ่นของชาวอีสานเพื่อมาทำกินในกรุงเทพฯ จึงนำวัฒนธรรมการบริโภคติดตามมาด้วย จนเกิดความนิยมอย่างรวดเร็วในสังคมชาวบางกอก 
 

เกิดเป็นกระแสว่าหากจะหาอาหารอีสานรับประทานก็ต้องไปร้านส้มตำไก่ย่างข้างสนามมวยราชดำเนิน ซึ่งก็สอดคล้องกับความทรงจำในเยาว์วัยของ อาจารย์วรรณา นาวิกมูล ซึ่งเล่าไว้ว่าเมื่อราว พ.ศ. 2500 เศษ หากจะหาอาหารอีสานรับประทานละก็ คุณแม่ก็จะพาไปที่ร้านอาหารข้างสนามมวยราชดำเนิน 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่  14  พฤศจิกายน 2556

ครอบครัวของ เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง ความหมายของดอกไม้

ดอกคาร์เนชั่น ดอกไม้ที่มีความหมาย

 

         

           ความหมายของ ดอกคาร์เนชั่น

ดอกคาร์เนชั่นนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง ซึ่งในตำนานความเป็นมาของชาวกรีกโรมันมักจะนิยมในการใช้เจ้าดอกไม้ชนิดนี้ในการแสดงความยินดี ความรื่นเริงต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละสีค่ะ เรามาดูความหมายจากสีต่างๆ ของดอกกันดีกว่า อยากรู้แล้วใช่ไหมละค่ะ ว่าดอกแต่ละสีนั้นมีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง ถ้าอยากรู้ไปดูกันเลยค่ะ

สีของ ดอกคาร์เนชั่น ตามความหมาย

  • - ดอกคาร์เนชั่นสีขาว (White Carnation) ซึ่งมักนิยมใช้ในการแสดงความชื่นชมยินดีตามแต่วาระต่างๆ เช่นการรับปริญญา เป็นต้น
  • - ดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง (Yellow Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของความดูถูกเหยียดหยามอย่างมากเลยละค่ะ ถ้าผู้ให้ได้ให้ดอกคาร์เนชั่นสีเหลืองแก่ใครแสดงว่า ผู้ให้นั้นรู้สึกดูหมิ่นเหยียดหยามผู้รับอย่างมากเลยค่ะ ไม่มีใครอยากได้ดอกสีเหลืองแล้วใช่ไหมละค่ะ ไปต่อกันที่ดอกต่อไปเลยค่ะ
  • - ดอกคาร์เนชั่นสีแดง (Red Carnation) เป็นมีที่มีความหมายแสดงถึงความอกหัก หัวใจที่แตกสลาย
  • - ดอกคาร์เนชั่นลาย มีความหมายถึงการปฏิเสธ นั่นก็คือถ้าอยากบอกปฏิเสธรักใครก็ให้มอบดอกคาร์เนชั่นลายให้กับผู้นั้นค่ะ คล้ายเป็นการบอกปฏิเสธแบบใช้การให้ดอกไม้แทนการตอบปฏิเสธแบบคำพูด แต่ไม่ว่าจะบอกแบบไหนก็ช้ำใจเหมือนกันใช่ไหมละค่ะ อกหักกันมาเยอะแล้วเราไปดูสีของดอกคาร์เนชั่นที่สมหวังกันบ้างดีกว่าค่ะ
  • - ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (Pink Carnation) ถ้าเราต้องการที่จะสารภาพหรือบอกรักใครก็ต้องใช้งานเจ้าดอกคาร์เนชั่นสีชมพูนี้ได้เลยค่ะ เพราะว่ามันคือสีที่เป็นตัวแทนของความรัก รับรองว่าสมหวังแน่นอนค่ะ

      

ดอกุหลาบ ดอกไม้สื่อรักแทนใจ

 

       ตำนานความเป็นมาของ ดอกกุหลาบ

ตามตำนานของเจ้าดอกไม้สื่อรักแทนใจนี้นั้นมีต้นกำเนิดมามากก่า 70 ล้านปีมาแล้ว เพราะว่าเราได้มีการค้นพบซากฟอสซิลที่ รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ในประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ ซึ่งตามความเป็นมาทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ได้มีการปลูกดอกไม้ชนิดนี้ที่ประเทศจีนแต่ทางอียิปเองก็ปลูกเช่นเดียวกันแล้วส่งขายให้กับชาวโรมัน เพราะว่าชาวโรมันนั้นเป็นชาติที่รักและหลงใหลในดอกกุหลาบมากจึงสั่งซื้อจากประเทศอียิปส์และยังมีการปลูกเองอีกด้วยเพราะว่าชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักนั้นเองค่ะ

ความหมายของ ดอกกุหลาบ

ดอกกุหลายก็เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีความหมายของแต่ละสีของดอกแต่โดยตัวของมันเองนั้นมีความหมายในลักษณะรวมๆ ว่าเป็นดอกไม้แห่งความรักอยู่แล้ว เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าแต่ละดอกนั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง

  • - ดอกสีแดง (สีนี้ฮิตมากเลยค่ะ) มีความหมายที่หมายถึง “ฉันรักเธอเข้าแล้ว”
  • - ดอกสีขาวที่มีความหมายว่า “ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”
  • - ดอกสีส้ม ที่มีความหมายแสดงถึงการบอกแทนถึง “ความในใจกับความรักและสิ่งที่ผ่านมา”
  • - ดอกสีชมพู ที่มีความหมายแสดงถึง “ความงดงาม ความอ่อนโยน”
  • - ดอกสีเหลือง ความหมายของดอกสีเหลืองนี้อ่านดูแล้วอาจจะรู้สึกยังไงๆอยู่นะค่ะ เพราะว่าความหมายของเขานั้นหมายถึง “ขอเป็นชู้ทางใจ หรือ ความสนุกสนาน ร่าเริง ความสุข”
  • - ดอกสีม่วง ดอกสีนี้ไม่ค่อยได้พบกันเท่าใดนักค่ะ ซึ่งมีความหมายประจำสีนี้ว่าหมายถึง “รักแรกพบ”
  • - ดอกสีขาวและดอกสีแดงรวมกันนั้นมีความหมายว่า “สองเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

ดอก Statice ดอกไม้สีม่วง

 

 Statice

ถิ่นกำเนิดของ ดอก Statice

ถิ่นกำเนิดของ ดอก Statice นั้นอยู่ในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้นโดยปกติแล้วดอกไม้ชนิดนี้จึงไม้ดอกที่ชอบน้ำเค็มมากๆ ถ้าหากเราปลูกเจ้าดอกชนิดนี้ตรงบริเวณที่เป็นน้ำเค็มหรือว่าจะปลูกที่บริเวณริมทะเล จะทำให้ตัวต้นนั้นเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถปลูกได้เฉพาะในบริเวณที่เป็นน้ำเค็มเท่านั้น เราสามารถที่จะปลูกในบริเวณที่เป็นดินธรรมดาก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกในข้างต้นนั่นแหละค่ะ มันชอบพื้นที่ใกล้ทะเล ต่อไปเรามาดูลักษณะทั่วไปของต้นและดอกของเจ้า Statice กัน

ลักษณะทั่วไปของต้นและ ดอก Statice

ลักษณะของลำต้นจะเป็นกอเตี้ยๆ มีความสูงไม่มากนักประมาณ 1-3 ฟุต มีลักษณะการแผ่ออกของใบเป็นพุ่มๆ ในส่วนของใบจะมีลักษณะเป็นใบแบนๆ ยาวๆ มีสีเขียวอ่อน บริเวณขอบของใบนั้นจะหยักเป็นคลื่น ในส่วนของก้านดอกนั้นจะตั้งตรงและยาวขึ้นสูงจากกลางกอ ลักษณะของดอกที่ได้นั้นจะเป็นรูปกรวย มักจะอยู่รวมกันเป็นช่อๆ ซึ่งที่จะเห็นกันได้บ่อยๆ ก็คือดอกสีม่วง และความพิเศษที่มีอยู่ในตัวของดอกนั่นก็คือ เมื่อบานแล้วจะสามารถอยู่ได้นาน และเมื่อดอกแห้งก็ยังจะคงสีและคงรูปอยู่ได้เหมือนตอนดอกกำลังสดอยู่ ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการนำไปจัดซุ้มดอกไม้งานแต่งงาน

ดอกมัม หรือ ดอกเบญจมาศ ดอกไม้มงคล

 

 

ประวัติและความเป็นมาของ ดอกมัม

ดอกมัม หรือ ดอกเบญจมาศ ถือได้ว่าเป็นดอกมงคลของประเทศจีนเลยก็ว่าได้ค่ะ แปลกใจหรือเปล่าค่ะ ว่าทำไมถึงเป็นดอกไม้มงคลของประเทศจีนได้ ก็อย่างที่เรารู้กันค่ะว่าประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่ชื่นชอบบทกวี การแต่งเพลง และถ้าบทเพลงหรือบทกวีที่มากจากนักปราชญ์ของชาวจีนชื่อดังนั้นได้มีการเผยแพร่และได้รับความนิยม จะทำให้ดอกไม้ในบทเพลง บทกวีนั้น กลายเป็นดอกที่จะได้รับความนิยมตามบทเพลงหรือบทกวีนั้นๆ ด้วย ซึ่งเจ้าดอกมัมนี้มีการปลูกขึ้นครั้งแรกที่ประเทศจีนและญี่ปุ่นค่ะ เมื่อเวลา 3,000 กว่าปีมาแล้วโดยปกติแล้วจะชอบแสงแดดจัด มีมากมายกว่า 100 สายพันธุ์ค่ะ บางสายพันธุ์นั้นก็มีกลิ่นหอมพอประมาณ แต่บางสายพันธุ์นี่ซิค่ะมีกลิ่นแรงจนจากกลิ่นหอมกลายเป็นกลิ่นฉุนเลยละค่ะ

สีและความหมายของ ดอกมัม

สีของ ดอกมัม นั้นจะมีมากมายหลายสีค่ะ ซึ่งแต่ละสีนั้นก็มีความสวยงามน่ารักไม่แพ้กันเลยละค่ะ วันนี้ก็จะขอยกตัวอย่างสีของดอกและความหมายตามสีของดอกมาให้ได้รู้จักกันพอหอมปากหอมคอกันสัก 3 สีนะค่ะ ไปเริ่มกันเลยค่ะ

  • - ดอกสีแดง นั้นมีความหมายแสดงถึง ความรัก “การรักใคร่ชอบพอกันค่ะ”
  • - ดอกสีขาว นั้นมีความหายแสดงถึง ความซื่อสัตย์,ความจริง นิยมมอบให้กับเพื่อนๆค่ะ
  • - ดอกสีเหลือง นั้นมีความหมายแสดงถึง ความโชคดีค่ะ จึงนิยมที่จะมอบให้กับญาติผู้ใหญ่ของเราในการพบปะกันหรือนานๆเจอกันทีแบบนี้ค่ะ

ดอกมัมส่วนใหญ่ในประเทศไทยของเรานิยมใช้ในการจัดงานทุกชนิดค่ะไม่ว่าจะเป็นงานศพ, งานแต่งงาน, ซุ้มดอกไม้ ซึ่งในงานแต่ละงานก็จะใช้สีของดอกในงานนั้นแตกต่างกันไปค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นดอกไม้ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในการ จัดดอกไม้เพื่อใช้ในงานต่างๆ ในประเทศไทยบ้านเรา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนที่มีการจัดงานก็มักจะเห็นดอกมัมอยู่ในงานนั้นเสมอๆ เลยค่ะ ถ้าเพื่อนสนใจก็ลองนำไปใช้ในงานของเพื่อนๆ ดูได้นะค่ะ และทางเราก็มีบริการนำดอกชนิดนี้มา จัดดอกไม้งานแต่งงาน เช่นกันค่ะ

ดอกลิลลี่ ดอกไม้ของเจ้าหญิง

 

 ดอกลิลลี่

ลักษณะทั่วไปของ ดอกลิลลี่

ความโดดเด่นที่เห็นได้อย่างชัดเจนของ ดอกลิลลี่ นั้นก็เห็นจะเป็นตรงบริเวณส่วนของหัวหรือส่วนของดอกนั่นเอง ที่มีขนาดใหญ่จนเป็นที่สะดุดตาและเป็นจุดสนใจแก่ผู้พบเห็น นอกจากดอกจะมีขนาดใหญ่แล้วยังมีสีสันของดอกที่สวยงามและสง่ามากๆ สามารถเป็นได้ทั้งไม้ตัดดอก หรือจะเป็นไม้กระถางก็ได้สวยงามไม่แพ้กันค่ะ และคุณๆ รู้หรือไม่ว่าบางสายพันธุ์นั้นมีกลิ่นของดอกที่หอมมากๆ เลยทีเดียว ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมปลูกในปัจจุบันก็คือ ลิลลี่ปากแตร สาเหตุก็เพราะว่ามันมีรูปร่างเหมือนแตรนั่นเอง ที่สำคัญดอกพันธุ์นี้มีกลิ่นดอกที่หอมมากและมีสีขาวสะอาดอีกด้วย และอย่างที่บอกว่าลิลลี่นั้นเป็นดอกไม้ที่แพงที่สุดและก็เป็นที่นิยมกันอย่างมากที่จะไป จัดดอกไม้งานแต่งงาน แล้วเพื่อนๆ อยากรู้หรือเปล่าว่ามันคือดอกลิลลี่สายพันธุ์อะไร (Oriental hybrids) พันธุ์ลูกผสมนั่นเอง ซึ่งจะมีอยู่ในพื้นที่ของโครงการหลวงต่างๆ เช่น ดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง และดอยปุย นอกจากดอกตามโครงการหลวงแล้วก็แล้วยังมีดอกลิลลี่ป่าอีกด้วย ซึ่งดอกลิลลี่ป่านั้นมักจะออกดอกในช่วงเดือนสิงหาคมและจะออกดอกดีอย่างยิ่งในช่วงหน้าหนาวที่มีอากาศหนาวเย็นจัด รู้จักกับลักษณะต่างๆ ของดอกลิลลี่กันไปแล้ว คราวนี้เรามารู้จักกับความหมายของเขากันบ้างดีกว่า

ความหมายของ ดอกลิลลี่

อย่างที่รู้กันว่า ดอกลิลลี่ นั้นมีมากมายหลายสี ซึ่งความหมายของมันก็มีมากมายหลากหลายความหมายเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่ารอช้าไปเริ่มรู้จักกับความหมายของเจ้าดอกไม้ของเจ้าหญิงดอกนี้กันเลยดีกว่า

  • ลิลลี่สีขาว ให้ความหมายคือ “ความรักที่บริสุทธิ์” ที่อ่อนหวาน อ่อนโยน คล้ายๆ กับรักแรกพบประมาณนี้ แหมช่างโรแมนติกจริงๆ
  • - ลิลลี่สีชมพู เหมาะมากๆ ที่จะให้กับคนรักของคุณเพราะความหมายของมันก็คือ “ความรักที่ลงตัว คุณคือคนที่ใช่” แหมถ้าได้ดอกลิลลี่สีชมพูจากคนรักก็คนจะหน้าบานเลยหละ
  • - ลิลลี่สีส้ม เป็นสีแห่งความสดใสดังนั้นความหมายของมันก็คือ “ความสดใส สนุกสนาน ร่าเริง”
  • - ลิลลี่สีเหลือง เหมาะที่จะมอบให้กับคนที่คุณห่วงใย เพราะความหมายของมันก็คือ “ความรักที่แสดงออกให้คุณได้รู้ถึงความห่วงใย” นั่นเอง

พิเศษใช่ใหม่ละค่ะ ดอกไม้ชนิดนี้ ไม่ธรรมดาเลย หรูหรา มีระดับ เหมาะกับคนที่ต้องการนำไปจัดงานที่แสดงถึงความมีระดับของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทางเราก็มีการนำดอกไม้ชนิดนี้ไปใช้ในการ จัดดอกไม้ในงานต่างๆ เช่นกันค่ะ

 

ดอกกล้วยไม้ ดอกไม้ที่ให้แทนความคิดถึง

 

 

แหล่งกำเนิด ดอกกล้วยไม้ดอกกล้วยไม้

แหล่งกำเนิดของ ดอกกล้วยไม้ จะมีแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ ที่สำคัญของโลกอยู่ประมาณ 2 แหล่งด้วยกัน นั่นก็คือ เอเชียแปซิฟิค กับ ลาตินอเมริกา แต่ถ้าพูดถึงดอกไม้ชนิดนี้ในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแล้ว จะมีประเทศไทยของเรานี่แหละค่ะ ที่เป็นศูนย์กลางในการค้นพบสายพันธุ์กล้วยไม้ป่าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในประเทศไทย นอกจากนี้แล้วลักษณะของพันธุ์กล้วยไม้ป่าที่พบเจอในบ้านเรานั้นจะมีลักษณะของดอก สี และรูปร่างที่เป็นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างจากพันธุ์กล้วยไม้ที่อยู่แถบลาตินอเมริกา

ความหมายของ ดอกกล้วยไม้

ถ้าพูดถึง ดอกกล้วยไม้ แล้ว เจ้าดอกไม้ชนิดนี้สามารถเป็นตัวแทนคำพูดของเราได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะว่าเรามักจะนิยมใช้เป็นตัวแทนคำพูดของเราที่เราอาจจะอยากบอกคนรักหรือคนที่คุณแอบชอบว่า “ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้” แหม บางทีคนเรามันก็เขินๆ จนไม่กล้าพูดเองใช่ไหมละค่ะ เพราะฉะนั้นใช้เจ้าดอกไม้ชนิดนี้เป็นตัวแทนบอกความรู้สึกของคุณไปเลยค่ะ รับรองว่าผู้รับต้องยิ้มแก้มปริแน่ๆ และบางคนก็นิยมชมชอบเป็นอย่างมากถึงกับนำไปใช้ จัดดอกไม้งานแต่งงาน ของพวกเขาเลยทีเดียว เอาไปจัดเป็นช่อก้ได้หรือจะจัดเป็น ซุ้มดอกไม้งานแต่ง งานก็เก๋ดี ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ที่ฉีกกรอบเดิมๆ ดีนะค่ะ แถมยังมีความสุขอีกต่างหาก เพราะว่างานแต่งงานของเราใช้ดอกไม้ที่เราชอบ จะมองไปทางไหนก็เจอแต่สิ่งที่เราชอบ วันนั้นคงจะเป็นวันที่พิเศษมากๆ เลยละค่ะ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจก็ลองนำไปประยุกต์ใช้ 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่บันทึก 30 ตุลาคม 2556 ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้ เรื่อง เบาหวาน เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุม ของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โรค เบาหวานนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ โดยเปรียบร่างกายเราเป็นระบบปั๊มน้ำ และน้ำในระบบก็คือเลือดของเราโดยปรกติแล้วปั๊มน้ำก็จะทำงานอย่างปรกติ แต่เมื่อมีการทำให้น้ำในระบบเกิดความข้นขึ้น(ก็คือการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำ) น้ำในระบบก็จะมีความหนืดขึ้น ปั๊ม(หัวใจ)ก็จะต้องทำงานหนักขึ้น ท่อน้ำ(หลอดเลือด)ก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆเพิ่ม ขึ้นได้ ปี 2550 พบผู้ป่วยเบาหวานแล้วถึง 246 ล้านคน โดยผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย เบา หวาน เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นทุกปีจนมีการกำหนดให้วันที่ 14 พฤษจิกายน ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลกเพื่อให้มีการรณรงค์ป้องกันให้เป็นที่แพร่หลาย ขึ้น อินซูลิน กับ เบาหวาน อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่ในการนำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อใช้ใน การสร้างพลังงานและสร้างเซลล์ต่างๆ โดยปรกติแล้วเมื่อมีน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดตับอ่อนก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่ง อินซูลิน แล้วอินซูลินก็จะเข้าจับน้ำตาลเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งร่างกายมี อินซูลิน ไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ประเภทของ เบาหวาน เบาหวาน สามารถแบ่งออกได้เป็น2ชนิด ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน(autoimmune) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน(ketones) สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถึงตายได้ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็น เบาหวาน ที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด อาการเบื้องต้นของ เบาหวาน ผู้เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเบื้องต้นคือ 1. ปวด ปัสสาวะบ่อย ครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตุจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน 2. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น 3. กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง 4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง 5. เบื่ออาหาร 6. น้ำหนัก ตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำ ไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน 7. ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตุได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก 8. สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน 9. อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง 10. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไต โดย เบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะมีอาการเหล่านี้บางอย่าง หรืออาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย อาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน มักจะเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปีแล้วไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง • ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy)เกิด จากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium ของ หลอดเลือดเล็กๆ ในลูกตา ทำให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น Basement membrane มากขึ้น ทำให้ Basement membrane หนา แต่เปราะ หลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่าย เลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมา และมีส่วนทำให้ Macula บวม ซึ่งจะทำให้เกิด Blurred vision หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มา ตกกระทบยัง Retina ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง ตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด • ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)ไต มักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ Glomeruli จะทำให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปี นับจากแรกเริ่มมีอาการ • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) เบาหวาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้น ไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เช่นรู้สึกชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด ในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ(impotence) • โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease) เบาหวาน เป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอด เลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิด โรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเกิดอาการ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วย เบาหวาน บางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจาก เบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญ มากอีกประการหนึ่งของผู้เป็น เบาหวาน คือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่นอาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป ดังนั้นผู้เป็น เบาหวาน บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ หัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ • โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) ผู้เป็น เบาหวาน จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิด หลอดเลือดตีบได้สูง เพราะ เบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่งร่างกายและถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมอง ก็จะเกิดอัมพาตขึ้น โดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็น โรคเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า โดยจะมีอาการเบื้องต้นสังเกตุได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใดหรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงโดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง • โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral vascular disease) • แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer) ผู้ที่มีโอกาสเป็น โรคเบาหวาน เบาหวาน พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนอายุกว่า 40 ปีขึ้นไป คนที่อยู่ในเมืองมีโอกาสเป็น เบาหวาน มากกว่าคนในชนบท คนอ้วนที่น้ำหนักเกิน โดยดูจากดัชนีมวลกาย ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย และหญิงที่มีลูกดกโดยเฉพาะผู้มีประวัติคลอดบุตรมีน้ำหนักแรกคลอด มากกว่า4กิโลกรัม จะมีโอกาสเป็น เบาหวานได้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันลักษณะการบริโภค และกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันส่งผลให้มีคนเป็น เบาหวาน เพิ่มมากขึ้น และการพบผู้ป่วยที่อายุน้อยที่เป็น เบาหวาน ก็เพิ่มสูงขึ้น การป้องกันการเป็นเบาหวาน 1. ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอันจะก่อให้เกิดโรคเบาหวาน 2. ควบคุมโภชนาการ ให้มีความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย รวมไปจนถึงการใช้ยารักษาโรค 3. ควรตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ โดยปรึกษาแพทย์ว่าควรตรวจเช็คเมื่อใด และ ระยะเวลาห่างในการตรวจที่เหมาะสม 4. ยาบางชนิดหรือยาสมุนไพร อาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด จะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยา หรือ สมุนไพร เหล่านี้ สิ่งที่ตรวจพบเมื่อเป็น เบาหวาน เบาหวานชนิดที่ 1 มักพบในคนที่ มีรูปร่างซูบผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อลีบฝ่อ เบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีรูปร่างอ้วน บางรายตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติตามร่างกาย การตรวจปัสสาวะมักจะพบน้ำตาลในปัสสาวะขนาดมากกว่าหนึ่งบวกขึ้นไป การ ตรวจน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 6 ชั่วโมง (fasting plasma glucose/FPG) มักพบว่ามีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร การวินิจฉัย เบาหวาน หากสงสัยว่าเป็น เบาหวาน ควรไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลโดย อดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วไปเจาะเลือดในตอนเช้า เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร6ชั่วโมง (FPG) ซึ่งคนปกติจะมีค่าต่ำกว่า 110 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร หากพบมีค่า เท่ากับหรือมากกว่า 126 มิลลิกรัม ในการตรวจอย่างน้อย 2ครั้ง ก็วินิจฉัยได้ว่าเป็นเบาหวาน และยิ่งมีค่าสูงเท่าใดก็แสดงว่ามีความรุนแรงของการเป็นเบาหวาน เพิ่มมากขึ้น คำแนะนำเกี่ยวกับ เบาหวาน 1. เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ต้องใช้เวลาการรักษานานหรือตลอดชีวิต หากไม่ได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องก็อาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มาก 2. ผู้ ที่กินยาหรือฉีดยารักษาเบาหวานอยู่ บางครั้งอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการได้แก่ ใจสั่น หน้ามืด ตาลาย ตัวเย็น เหงื่อออก ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นลม หมดสติ และอาจจะชักได้ ควรจะต้องพก น้ำตาลหรือของหวานติดตัวไว้ ถ้ารู้สึกมีอาการก็ให้รีบรับประทาน แล้วทบทวนดูว่าเกิดอาการเหล่านี้ได้อย่างไร โดยสังเกตุตัวเองจากการบริโภคอาหารเมื่อเป็นเบาหวานเช่น กินอาหารน้อยไปหรือไม่ ออกกำลังมากเกินไปหรือไม่ กินหรือฉีดยาเบาหวาน เกินขนาดไปหรือไม่ แล้วควมคุมทั้ง 3 อย่างนี้ให้พอดีกัน สำหรับผู้ที่กินอาหารผิดเวลาก็อาจเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควร รับประทานอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อด้วย 3. อย่า ซื้อยากินเอง เนื่องจากยาบางประเภทมีผลต่อค่าน้ำตาลในเลือดได้ เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ และยาบางประเภทก็อาจทำให้ฤทธิ์ของยารักษาเบาหวาน แรงขึ้นได้ ก็จะมีผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ เช่น แอสไพริน ดังนั้นเมื่อเป็น เบาหวาน ก่อนทานยาประเภทใดควรจะต้องแน่ใจว่ายานั้นไม่มีผลต่อค่าน้ำตาลในเลือด 4. ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นครั้งคราว เพื่อป้องกันตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม การบริโภคอาหารเมื่อเป็น เบาหวาน 1. เลือก บริโภคอาหารให้ครบ 5หมู่ โดยคำนึงถึงพลังงานที่ได้จากอาหารโดยประมาณจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง) ประมาณ 55-60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) ประมาณ 15-20%ไขมัน ประมาณ 25% 2. ผู้ ที่มีน้ำหนักตัวมากควรจะต้องลดปริมาณการรับประทานลง โดยอาจจะค่อยๆลดลงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยรับประทานปรกติ และพยายามงด อาหารมันๆ ทอดๆ 3. รับประทานอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยในการขับถ่าย 4. หลีกเลี่ยงการรับประทานจุกจิกและรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา 5. พยายามรับประทานอาหารในปริมาณที่สม่ำเสมอกันในทุกมื้อ 6. หากมีอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม 7. แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปรกติดีแล้วก็ควรจะต้องควบคุมอาหารตลอดไป อาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อเป็น เบาหวาน diabetes • น้ำตาลทุกชนิด รวมไปถึงน้ำผึ้ง • ผลไม้กวนประเภทต่างๆ • ขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆ • ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ • น้ำหวานประเภทต่างๆ • ขนมทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่ 4 ตุลาคม 2556 ครอบครัวของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีสตี้ เรื่อง ช็อกโกแลต ช็อกโกแลต ( Chocolate) คือผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลก ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม "ช็อกโกแลต" หรือบางส่วนของโลกในนาม "โกโก้" ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อแตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกา อุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้ว่า • โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้ • เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้ • ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของต้นโกโก้และเนยโกโก้ ช็อกโกแลตคือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของฝักถั่วโกโก้และเนยโกโก้ ซึ่งได้ผสมน้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ และถูกทำให้อยู่ในรูปของแท่งและรูปอื่น ๆ เมล็ดของต้นโกโก้นอกจากทำเป็นช็อกโกแลตได้แล้วยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่ม ได้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มช็อกโกแลตนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอัซเตก (Aztecs) หลังจากนั้นโดยชนเผ่าอินเดียนแดงและชาวยุโรป บ่อยครั้งที่ช็อกโกแลตมักจะถูกทำให้อยู่ในรูปของสัตว์ต่าง ๆ คน หรือวัตถุในจินตนาการ เพื่อร่วมในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น รูปกระต่าย รูปทรงไข่ในเทศกาลอีสเตอร์ รูปของเหรียญหรือซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาส และรูปทรงหัวใจในเทศกาลวาเลนไทน์ ชนิดของช็อกโกแลต ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมที่นิยมมาก และมีให้เลือกในหลากหลายรูปแบบ รูปแบบและรสชาติของช็อกโกแลตนั้นแตกต่างกันได้โดยส่วนผสมและปริมาณของส่วน ผสมในช็อกโกแลต นอกจากส่วนผสมแล้วรสชาติยังแตกต่างกันโดยระยะเวลาและอุณหภูมิของการคั่ว เมล็ดโกโก้ด้วย • ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (unsweetened chocolate) คือ ช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด ใช้ในการอบอาหาร และเป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีการเจือปนใด ๆ ทั้งสิ้น ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติเข้มข้มและลุ่มลึกของช็อกโกแลตบริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเพิ่มน้ำตาลเข้าไป ช็อกโกแลตชนิดนี้จะใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำบราวนี เค้ก ลูกกวาด และคุกกี้ • ช็อกโกแลตดำ ช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) คือช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มนมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกเป็นช็อกโกแลตธรรมดา แต่ว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเป็นช็อกโกแลตหวาน และกำหนดให้มีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 15% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 35% ช็อกโกแลตดำมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ป้องกันมิให้เกิดคราบไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือด หัวใจ สาเหตุของโรคหัวใจเลือดตีบ และช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดแข็งตัว สาเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด และป้องกันความดันโลหิตสูง • ช็อกโกแลตนม ช็อกโกแลตนม (milk chocolate) คือช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือนมข้นหวาน รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดว่าหากจะเรียกว่าช็อกโกแลตนม ต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 10% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 25% ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ (cocoa butter) นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12% • Chocolate Liquor เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อกโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ประมาณ 53% กลมกล่อม • ช็อกโกแลตกึ่งหวาน ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (semi-sweet) อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่เนยโกโก้ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติความหวานเล็กน้อย และกลมกล่อมลิ้นอย่างมากก • ช็อกโกแลตหวาน ช็อกโกแลตหวาน (sweet chocolate) ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่า ๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย NA KA • ช็อกโกแลตขาว ช็อกโกแลตขาว (white chocolate) ชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ • Liquid Chocolate เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวด ขวดละ 1 ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน • กูแวร์ตูร์ ช็อกโกแลตชนิดกูแวร์ตูร์ (couverture) เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของเนยโกโก้อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลต อยู่ 'มีรสเผ็ด; • Ganache ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต Ganache ทำโดยการเทวิปปิงครีมที่นำไปอุ่นลงไปในชอคโกแลตสับในปริมาณที่เท่ากัน ทิ้งไว้สักครู่จนชอคโกแลตเริ่มละลายและคนให้เข้ากัน จะได้ส่วนผสมที่ข้นขึ้น อาจเติมเนยในปริมาณเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเงาให้กับกานาชด้วย • Confectionery Coating เป็นช็อกโกแลตที่ใช้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาติต่าง ๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของเนยโกโก้ เหมือนชนิดอื่น ๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้ ประโยชน์ของช็อกโกแลต เป็นที่ยอมรับกันว่า ช็อกโกแลตเป็นอาหารที่มีสารเคมีที่ส่งผลต่อระบบประสาท เล่ากันว่า นักรักชื่อกระฉ่อนโลกอย่างจิอาโคโม คาสซาโนวา (1725-1795) กินช็อกโกแลตก่อนขึ้นเตียงกับผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ ด้วยช็อกโกแลตขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารกระตุ้นอารมณ์ใคร่ และผู้หญิงร้อยละ 50 สารภาพว่ากินช็อกโกแลตก่อนเมคเลิฟ ไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่ศึกษากับเพศชายจำนวน 8000 คนที่สำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ด พบว่า คนที่รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่เคยรับประทาน ช็อกโกแลต สาเหตุที่กินช็อกโกแลตแล้วอายุยืนอาจเกี่ยวข้องกับ สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่จำนวนมากในช็อกโกแลต โพลีฟีนอลเป็นสารที่ช่วยลดอนุมูลอิสระของไลโปโปรตีนความแน่นต่ำ และช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ความเชื่อดังกล่าวยังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเปรียบเทียบกลุ่มที่รับประทานช็อกโกแลตเปรียบเทียบ กับกลุ่มที่ให้รับประทานช็อกโกแลตเทียม เพื่อทดสอบความจำพบว่า กลุ่มที่กินช็อกโกแลตสามารถจดจำคำพูดและภาพได้ดีกว่า และยังเคลื่อนไหวตอบสนองได้คล่องแคล่วกว่า ปัจจุบันนักวิจัยกำลังทดลองซ้ำเพื่อเปรียบเทียบผลอยู่ การทดลองเหล่านั้นสอดคล้องกับชีวิตของคนที่มีอายุเกินร้อยปีหลายคน ยกตัวอย่าง ฌอง คลามงต์ (1875-1997) และ ซาร่าห์ เคลาส์ (1880-1999) ทั้งสองคลั่งไคล้ช็อกโกแลตมาก คลามงต์ มีนิสัยติดกินช็อกโกแลตอาทิตย์ละสองปอนด์จนกระทั่งแพทย์ต้องแนะนำให้เธอเลิก กินเมื่ออายุได้ 119 ปี สามปีก่อนที่เธอจะลาโลกไปด้วยอายุ 122 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุยืนมักแนะนำให้กินช็อกโกแลตดำแทนขนมหวานมีแคลอรีสูงและ นิยมกันมากในอเมริกา ในอังกฤษ ช็อกโกแลตแท่งสอดใส้คานาบิสนิยมใช้กับผู้ป่วยโรค multiple sclerosis หรือโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ หรือเอ็มเอส เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดกับระบบประสาทส่วนกลางแบบฉับพลัน โรคดังกล่าวมีพัฒนาการอย่างช้าๆ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางสายตา การพูด เมื่อรักษาเฉพาะอาการแล้วอาจเกิดขึ้นอีกได้ และร้ายแรงถึงขั้นอัมพาต ตาบอด และเสียชีวิต ในช็อกโกแลตมีส่วนประกอบมากกว่า 300 ชนิดที่ต่างกัน เช่นอนันดาไมด์ และเอ็นโดจีนัส คานาบินอยด์ที่พบได้ในระบบประสาท คนที่ไม่เชื่อแย้งว่า หากกินช็อกโกแลตให้ออกฤทธิ์ต่อประสาทได้จริงคงต้องกินกันทีละหลายปอนด์มาก ถึงเห็นผล และกินมากๆ ยังเสี่ยงเป็นนิ่วด้วย ถึงกระนั้น มีข้อมูลน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือ สารสองชนิดของอนันดาไมด์พบอยู่ในช็อกโกแลต ซึ่งเชื่อกันว่ามีผลช่วยยืดความรู้สึกสุขสบายให้ยาวนาน ช็อกโกแลตยังมีกาเฟอีน แต่ไม่มากนักและยังสามารถหาได้จากแหล่งอื่นที่มีมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ช็อกโกแลตนมมีกาเฟอีนน้อยกว่าดื่มกาแฟชนิดกาเฟอีนต่ำเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ช็อกโกแลตมีสารทริพโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เมื่อร่างกายขับเซโรโทนินออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความวิตกกังวลได้ ช็อกโกแลตช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สารที่คล้ายกับที่ได้จากฝิ่นที่ผลิตขึ้นเองในร่างกาย เมื่อร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ บางครั้งเชื่อว่า เอ็นดอร์ฟินมีส่วนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและสงสัยกันว่าเป็นตัวที่ทำให้คนบาง คนถึงขนาดติด



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่ 6 ตุลาคม 2556 ครอบครัของ เด็กหญิง เมเฟอร์ลิน อารีตี้ เรื่อง โรคเอดส์ โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus :HIV) หรือเรียกย่อๆ ว่า เชื้อเอชไอวี โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้ม กันโรค ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆ (หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรคฉวยโอกาส) จึงเข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด เชื้อไวรัสเอดส์มีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักดั้งเดิมคือ เอชไอวี-1 (HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกากลาง, เอชไอวี-2 (HIV-2) พบแพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก นอกจากนี้ยังพบสายพันธุ์อื่นๆ ที่กลายพันธุ์มาอีกมากมาย ในปัจจุบันทั่วโลก พบสายพันธุ์เชื้อเอชไอวี มากกว่า 10 สายพันธุ์ กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยพบมากที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เนื่องจากเป็นแหล่งแรกที่พบเชื้อเอชไอวี และกระจายอยู่เป็นเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือในโลก คือสายพันธุ์ซี มากถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน รวมทั้งพม่า ส่วนในประเทศไทยพบเชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบมากกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างคนที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกลุ่มรักร่วมเพศ และผ่านการใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น โรคเอดส์ สามารถติดต่อได้ 3 ทาง คือ 1.การ ร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช่ถุงยางอนามัย ทั้งชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติด โรคเอดส์ ทั้งนั้น ซึ่งมีข้อมูลจากกองระบาดวิทยาระบุว่า ร้อยละ 83 ของผู้ติดเชื้อเอดส์ รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ 2.การรับเชื้อทางเลือด โอกาสติดเชื้อ เอดส์ พบได้ 2 กรณี คือ - ใช้เข็มฉีดยา หรือกระบอกฉีดยา ร่วมกับผู้ติดเชื้อ เอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น - รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด แต่ปัจจุบันเลือดที่ได้รับการบริจาคมา จะถูกนำไปตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อน จึงมีความปลอดภัยเกือบ 100% 3.ติดต่อ ผ่านทางแม่สู่ลูก เกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์และถ่ายทอดให้ทารก ในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์เหลือเพียงร้อยละ 8 แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงาน นอกจากนี้ โรคเอดส์ ยังสามารถติดต่อผ่านทางอื่นได้ แต่โอกาสมีน้อยมาก เช่น การใช้ของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ทำความสะอาด, การเจาะหูโดยการใช้เข็มเจาะหูร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์,การสักผิวหนัง หรือสักคิ้ว เป็นต้น ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นการติดต่อโดยการสัมผัสกับเลือด หรือน้ำเหลืองโดยตรง แต่โอกาสติด โรคเอดส์ ด้วยวิธีนี้ต้องมีแผลเปิด และปริมาณเลือดหรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายต้องมีจำนวนมาก ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อเอดส์ มีหลายประการ คือ 1.ปริมาณเชื้อเอดส์ที่ได้รับ หากได้รับเชื้อเอดส์มาก โอกาสติด โรคเอดส์ ก็จะสูงขึ้นไปด้วย โดยเชื้อเอดส์ จะพบมากที่สุดในเลือด รองลงมาคือ น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอด 2.หากมีบาดแผล จะทำให้เชื้อเอดส์เข้าสู่บาดแผล และทำให้ติด โรคเอดส์ ได้ง่ายขึ้น 3.จำนวนครั้งของการสัมผัส หากสัมผัสเชื้อโรคบ่อย ก็มีโอกาสจะติดเชื้อมากขึ้นไปด้วย 4.การ ติดเชื้ออื่นๆ เช่น แผลริมอ่อน แผลเริม ทำให้มีเม็ดเลือดขาวอยู่ที่แผลจำนวนมาก จึงรับเชื้อเอดส์ได้ง่าย และเป็นหนทางให้เชื้อเอดส์เข้าสู่แผลได้เร็วขึ้น 5.สุขภาพของผู้รับเชื้อ หากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ในขณะนั้น ก็ย่อมมีโอกาสที่จะรับเชื้อได้ง่ายขึ้น เมื่อติดเชื้อเอดส์แล้ว จะแบ่งช่วงอาการออกเป็น 3 ระยะ คือ 1.ระยะไม่ปรากฎอาการ (Asymptomatic stage) หรือระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมา จึงดูเหมือนคนมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนปกติ แต่อาจจะเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จากระยะแรกเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี แต่บางคนอาจไม่มีอาการนานถึง 10 ปี จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อต่อไปให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ 2.ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) หรือระยะเริ่มปรากฎอาการ (Symptomatic HIV Infection) ในระยะนี้จะตรวจพบผลเลือดบวก และมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นในเห็น เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน, มีเชื้อราในปากบริเวณกระพุ้งแก้ม และเพดานปาก, เป็นงูสวัด หรือแผลเริมชนิดลุกลาม และมีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ผิวหนังอักเสบ น้ำหนักลด เป็นต้น ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นปีก่อนจะกลายเป็นเอดส์ระยะเต็มขึ้นต่อไป 3.ระยะเอดส์เต็มขั้น (Full Blown AIDS) หรือ ระยะ โรคเอดส์ ในระยะนี้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก ทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย หรือที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" ซึ่งมีหลายชนิด แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใด และเกิดที่ส่วนใดของร่างกาย หากเป็นวัณโรคที่ปอด จะมีอาการไข้เรื้อรัง ไอเป็นเลือด ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus จะมีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้อาเจียน หากเป็นโรคเอดส์ของระบบประสาทก็จะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า แขนขาอ่อนแรงเป็นต้น ส่วนใหญ่เมื่อผู้เป็นเอดส์เข้าสู่ระยะสุดท้ายนี้แล้วโดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ ได้เพียง 1-2 ปี ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอดส์หรือไม่ ผู้ที่ตัดสินใจจะมีคู่หรืออยู่กินฉันท์สามีภรรยา ผู้ที่สงสัยว่าคู่นอนของตนจะมีพฤติกรรมเสี่ยง ผู้ที่คิดจะตั้งครรภ์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก ผู้ที่ต้องการข้อมูลสนับสนุนเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพของร่างกาย เช่น ผู้ที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศ (บางประเทศ) หาก สงสัยว่า รับเชื้อเอดส์มา ไม่ควรไปตรวจเลือดทันที เพราะเลือดจะยังไม่แสดงผลเป็นบวก ควรตรวจภายหลังจากสัมผัสเชื้อแล้ว 4 สัปดาห์ขึ้นไป จึงจะได้ผลที่แม่นยำ เราสามารถป้องกัน โรคเอดส์ ได้ โดย 1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ 2. รักเดียว ใจเดียว 3. ก่อนแต่งงาน หรือมีบุตร ควรตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และขอรับคำปรึกษาเรื่อง โรคเอดส์ จากแพทย์ก่อน 4. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด ถุงยางอนามัย สามารถป้องกัน โรคเอดส์ ได้แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้ว่าถูกต้องหรือไม่ เช่น ถุงยางมีคุณภาพดีพอหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง โดยปกติให้ดูจากวันผลิตไม่เกิน 3 ปี หรือดูวันหมดอายุที่ซอง ซองต้องไม่ชำรุด หรือฉีกขาด นอกจากนี้ต้องเลือกขนาดใช้ให้เหมาะสม ถ้าขนาดไม่พอดี ก็อาจฉีดขาด หรือหลุดออกง่าย ซึ่งจะไม่สามารถป้องกัน โรคเอดส์ อย่างได้ผล ใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้และนิ้วกลางจับขอบห่วงถุงยางให้ถนัดแล้วบีบขอบห่วง ในให้ห่อตัวเล็กลง นั่งท่าที่เหมาะสม เช่น นั่งยองๆ หรือยกขาข้างใดข้างหนึ่งวางบนเก้าอี้แล้วค่อยๆ สอดห่วงถุงยางที่บีบไว้เข้าไปในช่องคลอด ดันให้ลึกที่สุด ใช้นิ้วสอดเข้าไปในถุงยางจนนิ้วสัมผัสกับขอบล่างของห่วงด้านใน แล้วจึงดันขอบห่วงถุงยางลึกเข้าไปในช่องคลอด ให้ถึงส่วนบนของเชิงกระดูกหัวเหน่า ด้วยการงอนิ้วไปทางด้านหน้าของตัวคุณให้ลึกเข้าไปในปากช่องคลอดประมาณ 2-3 นิ้ว วิธีถอดถุงยางให้หมุนบิดปิดปากถุง เพื่อให้น้ำอสุจิคงอยู่ภายในถุงยาง แล้วจึงค่อยๆ ดึงออก ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ มีแต่เพียงยาที่ใช้เพื่อยับยั้งไม่ให้ไวรัสเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อเอดส์ให้หมดไปจากร่างกายได้ ยาต้านไวรัสเอดส์ในปัจจุบันมี 3 ประเภทคือ 1. Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ได้แก่ AZT ddl ddC d4T 3TC ABC รับประทานยาต้านไวรัสเอดส์ 2. Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) ได้แก่ NVP EFV 3. Protease Inhibitors (Pls) ได้แก่ IDV RTV Q4V NFV หากรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์แล้ว อาจมีผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้อาเจียน มีผื่นตามผิวหนัง โลหิตจาง ฯลฯ ดังนั้นการรับประทานยาเหล่านี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ผู้ที่เป็น โรคเอดส์ สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และควรดูแลสุขภาพให้ดี ไม่ควรวิตกกังวล เพราะหากไม่มีโรคแทรกซ้อนจะสามารถมีชีวิตยืนยาวไปได้อีกหลายปี โดยมีข้อปฏิบัติคือ 1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง 2.รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือหากมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการรับเชื้อ หรือแพร่เชื้อเอดส์ 4.งดการบริจาคเลือด อวัยวะ และงดใช้สิ่งเสพติดทุกชนิด 5. หากเป็นหญิง ไม่ควรตั้งครรภ์ เพราะเชื้อเอดส์สามารถถ่ายทอดสู่ลูกได้ถึง 30% 6. ทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด ไม่กังวล รวมทั้งอาจฝึกสมาธิ 7.อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก จากข้อมูลทางการแพทย์ระบุชัดว่า เชื้อเอชไอวีไม่สามารถแพร่สู่กันได้โดยการติดต่อในชีวิตประจำวันกับผู้ติด เชื้อเอชไอวี และไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการกอด การสัมผัสมือที่เป็นการทักทายแบบชาวตะวันตก หรือการปฏิสัมพันธ์ภายนอกอื่น เช่น การใช้ห้องน้ำร่วมกัน การใช้เตียงนอนร่วมกัน การใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารหรือรถแท็กซี่ร่วมกัน นอกจากนี้ เอชไอวีไม่ใช่โรคติดต่อทางอากาศเหมือนกับไข้หวัด และไม่ติดต่อผ่านทางแมลง หรือ ยุง โดยทั่วไปแล้วเชื้อเอชไอวีติดต่อกันผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีติดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน การแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย เช่น อสุจิ เลือด หรือของเหลวในช่องคลอด นอกจากนี้เชื้อเอชไอวียังสามารถติดต่อผ่านทางการใช้เข็ม หรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกันของผู้ใช้ยาเสพติด ขณะที่ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถแพร่เชื้อไปสู่ลูกได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน ครอบครัวนักอ่าน วันที่ 7 ตุลาคม 56 ครอบครัวของ เมเฟอร์ลิน อารีสตี้ เรื่อง Google Glass Google Glass คือแว่นตาที่ผสมเทคโนโลยีใหม่ทันสมัย Google พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้ได้เห็นอยู่เสมอ ล่าสุดได้พัฒนา แว่นตาที่เรียกว่า Google Glass ขึ้นมาและจะ เริ่ม วางจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาในปีหน้า 2014 หลายท่านอาจได้เห็นข่าวตามหนังสือพิมพ์หรือ Internet บ้างแล้ว หลายท่านอาจยังสงสัยว่า มันคืออะไรและทำอะไรได้บ้าง ถ้าให้พูดง่ายๆ มันคือ แว่นตาชนิด หนึ่ง ที่มีความพิเศษมหัศจรรย์ โดยใส่เทคโนโลยีเพิ่มเข้าไป ทำให้แว่นตาสามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง แบบไม่น่าเชื่อ เรียกไว้ว่าเป็นแว่นตาคอมพิวเตอร์ก็ได้ เพราะมันทำได้หลายอย่างเหมือนคอมพิวเตอร์ทำได้เลย แว่นตากูเกิ้ลทำงานอย่างไร จากข้อมูล blog ของ Google คาดว่าแว่นตาชนิดนี้ส่วนการแสดงผลน่าจะทำแบบจอ LCD หรือ Amoled ในหน้าจอแสดงผลจะมีข้อมูลต่างๆให้ผู้สวมใส่รับรู้ข้อมูลผ่านหน้าจอนี้ เมื่อต้องการสั่งงานการคลิกทำโดยการ เอียงศรีษะ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถพูดสั่งออกมาเป็นคำสั่งได้ด้วย ข้อมูล ตัวเครื่อง Google Glass The New York Tmies สื่อต่างประเทศรายงานว่า ในตัว Google Glass ใช้ระบบปฏิบัติการ Android, ด้านหน้ามีหน้าจอแสดงผลเล็กๆ หน้าจอนี้มีตัวตรวจจับการเคลื่อนไหว, การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมี GPS, และระบบ 3G หรือไม่ก็ 4G, มี Wi-Fi และ Bluetooth หลายๆฟังชั่น ของ Google Glass เหมือนกับระบบ Smartphone รุ่นใหม่ สามารถเชื่อมต่อส่งข้อมูลกันได้ ผ่านทาง Wi-Fi หรือ Bluetooth 4.0, ด้านหน้ามีกล้องสำหรับถ่ายภาพและวีดีโอ Google Glass ทำอะไรได้บ้าง หากได้เปิดดูจะเห็นว่าเมื่อสวมใส่แว่นตานี้แล้ว ผู้สวมใส่เหมือนจะกลายเป็น ผู้รับรู้เหตุการณ์สถาณการณ์ต่างๆที่ต้องการได้ โดยจะมี ผู้ช่วยแสดงอยู่ขอบหน้าจอเล็กๆคอยบอกข้อมูลต่างๆ อย่างเช่นผู้ใส่แว่นตาจะ ลงไปสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่แว่นตาบอกว่าขณะนี้มันปิดอยู่, ผู้ใส่แว่นถามหาจุดที่วางหนังสือสอนกีตาร์แว่นตา ก็บอกตำแหน่งให้เดินไปหยิบได้อย่างถูกต้อง, Video chat กับเพื่อนๆ และอีกมากมาย พอดีได้ฟังการบรรยาย เรื่อง OER & Faboodle โดย Mr. Ishan Abeywardena เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา เขาได้นำเสนอผลงานเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ชื่อ Faboodle ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสื่อสารโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้ facebook และ moodle เพื่อใช้ในการเรียนรู้ด้านการศึกษาแบบเปิด และได้พูดถึงเกี่ยวกับเทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่จะมีบทบาทในสังคมอนาคตอันใกล้ คือ Google Glass ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจ จึงได้รวบรวมข้อมูลมานำเสนอต่อ เผื่อบางคนที่เพิ่งเคยได้ยินจะได้ทำความรู้จักไว้ก่อนทำให้ไม่ตกเทรนด์ Google Glass คือ แว่นตาไฮเทค หรือ แว่นตาอัจฉริยะ จะเรียกอย่างไรก็แล้วแต่สะดวก อย่างที่เคยเห็นกันมาบ้างแล้วในภาพยนตร์ไซไฟ (Scientific-fiction) จะมีคุณสมบัติและฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกับสมาร์ทโฟน ทั้งเรื่องของการถ่ายภาพ และฟีเจอร์ที่ดึงเอางานถนัดอย่างระบบค้นหา เข้ามาผสมผสาน ที่โดดเด่นก็คือระบบการค้นหาด้วยเสียง มันจะมีส่วนของไจโรสโคป ตัววัดต่างๆ (accelerometer) และเข็มทิศ ซึ่งทั้งหมดจะถูกรันด้วยหน่วยประมวลผล และมีการเชื่อมต่อระบบ อาทิ Wi-Fi, Bluetooth, GPS, 3G เป็นต้น ความพิเศษของ Google Glass ทำให้ผู้สวมใส่สามารถถ่ายภาพ บันทึกวีดิโอ เล่นวีดิโอแชท แชร์สิ่งที่น่าสนใจไปยัง Social Network ไปจนถึงการรับรู้เหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการ ผ่านจอเล็กๆ บน Google Glass ได้ และอาจจะทำอะไรได้อีกหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าที่คนทั่วไปรู้ก็เป็นได้ ชำแหละส่วนประกอบของแว่นอัจฉริยะ ชิ้นส่วนภายในที่ใช้ผลิต Google Glass ก็คล้ายกับชิ้นส่วนในสมาร์ทโฟนระดับกลางๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องซีพียูว่าใช้ของใคร ข้อมูลที่ออกมามีแค่กล้อง 5 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวีดิโอที่ 720p มีพื้นที่เก็บข้อมูล 16 GB (ที่ว่างที่ใช้งานได้มี 12 GB ) ส่วนแบตเตอรี่บอกแค่ว่าใช้งานแบบปกติได้หนึ่งวันเต็มๆ จะใช้งานได้สั้นกว่านี้ถ้าใช้บันทึกวิดีโอหรือแชทผ่านวีดิโอ ส่วนหน้าจอเมื่อดูผ่านแว่นอัจฉริยะแล้วเทียบเท่ากับมีจอ HD ขนาด 25 นิ้ววางอยู่ด้านหน้าห่างไป 2.4 เมตร ฮาร์ดแวร์อีกตัวที่น่าสนใจก็คือ bone conduction transducer ที่ส่งเสียงด้วยการสั่นไปยังหูชั้นในได้โดยตรงเลย อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็ได้ออกข้อห้ามต่างๆ นาๆ หรือบางประเทศก็ร่างเป็นกฎหมายไว้เพื่อป้องกันการละเมิดทางกฎหมายที่มีผล กระทบกับสังคมไว้ เพราะฉะนั้นผู้ใช้ก็ควรระมัดระวังมิเช่นนั้นอาจถูกยกเลิกการใช้บริการได้ เช่นกัน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

maveline aristy
เขียนเมื่อ

บันทึกการอ่าน

ครอบครัวนักอ่าน

วันที่ 8 ตุลาคม 56

ครอบครัวของ เมเฟอร์ลิน อารีสตี้

เรื่อง  คอมพิวเตอร์ 

 

                 คอมพิวเตอร์ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9">อังกฤษ: computer) มาจากภาษาละตินว่า Computare หรือในhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">ภาษาไทยว่า คณิตกรณ์http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C#cite_note-2">[2]http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C#cite_note-3">[3] ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า " เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์" หรืออาจกล่าวได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยในการคำนวณและการประมวลผลข้อมูล เป็นhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3">เครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย จากคุณสมบัตินี้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งไม่ใช่เครื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูป แบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทาง ตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8">สารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป

 

อันตรายจากการใช้คอมเป็นเวลานาน

         สำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ต้องบอกไว้ก่อนว่า อาการบางอย่างที่กล่าวนั้น บางท่านอาจจะยังไม่เคยเป็น 
หรือไม่เคยเกิดกับท่านมาก่อน แต่รับรองได้เลยว่า ถ้าท่านยังมีนิสัย นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่มีการพัก 
วันหนึ่งคุณก็จะพบกับอาการที่กล่าวไว้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง มาเริ่มดูกันเลยดีกว่า ว่าคุณนั้นเป็นกี่อย่างกันแล้ว.. 
อาการปวดเมื่อยตาแล้วซักพักลามไปถึงอาการปวดศรีษะ หรือไม่ก็ คันตา แสบตา จนทำให้เราต้องขยี้ จนตาแดง 
หรือ อาการตาแห้ง สายตาพร่ามัว สายตาสั้นเป็นครั้งคราว ซึ่งทำให้เราต้องเพ่ง สักระยะหนึ่งก่อนที่เราจะเห็นภาพนั้นชัด 
อาการปวดหัว ปวดคอ และปวดหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นอาการที่เกิดจาก การที่คุณเป็น “มนุษย์ไซเบอร์” 
ที่ชอบเล่น อินเตอร์เน็ต เป็นเวลานานๆ อาจจะแค่ 2-3 ชั่วโมงไปจนถึงตลอดทั้งวัน ซึ่งเวลาทั้งหมด อาจหมดไปกับการ Chat การเล่นเกมส์ หรือ การทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทั้งหมดนี้เป็นตัวการที่ทำให้คุณเกิดอาการ ดังที่กล่าวมาข้างต้นทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงต้องมา ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ เมื่อต้องใช้งาน คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ 
วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ 
1.ตรวจสอบตำแหน่งจุดวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ให้ด้านหน้าหรือด้านหลังตรงกับหน้าต่าง เพราะจะทำให้เกิดเงาและแสงสะท้อน 
ซึ่งจะทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักมากขึ้น กับการเพ่งเมื่อทำการอ่านข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ 
2.ทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ และหน้าจอ อย่างสม่ำเสมอ เพราะฝุ่นละอองก็มีส่วนทำให้ 
เกิดการระคายเคืองกับดวงตาได้ง่ายด้วยเหมือนกัน 
3.กำหนดระยะห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนถึงแขน ให้ห่างประมาณ 20-30 เซนติเมตร จะช่วยถนอมดวงตาจากแสงสว่างหน้าจอได้ ควรมีการละสายตา จากคอมพิวเตอร์ประมาณ 30 วินาทีเป็นอย่างน้อย ในทุกๆ 10-20 นาทีของการมองจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจจะพักสายตา ด้วยการหลับตาประมาณ 2-3 นาที 
และหลังจากนั้นอาจมองไปไกลๆในส่วนที่สบายตา เพื่อให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย 
4.ในบางครั้งที่คุณอาจมีงานที่เร่งด่วน จนทำให้คุณมีสมาธิกับงานของคุณมาก และเพ่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์
มากเกินไป จนอาจทำให้คุณลืมกระพริบตาซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ดวงตาแห้ง ง่ายต่อการอักเสบและฝุ่นละออง ฉะนั้นพยายามกระพริบตา เป็นระยะๆ และบ่อยๆ 
5.อย่านั่งหลังค่อมขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเร็ว เสียบุคลิกภาพ และจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายอีกด้วย อยากแนะนำ ให้เลือกใช้เก้าอี้ที่มีเบาะเอนหลังได้ เพื่อจะได้ใช้พิง พักหลังได้ 
6.หากต้องพิมพ์เอกสารบ่อยๆ ขอแนะนำให้ใช้ ที่ติดแผ่นเอกสารไว้กับจอคอมพิวเตอร์ 
โดยติดไว้ในระดับเดียวกับหน้าจอและสายตา เพื่อสะดวกต่อการมอง ไม่ต้องก้มๆ เงยๆ อ่านซึ่งจะทำให้ปวดเมื่อยไปปล่าวๆ 
7.ควรปรับแสง และความสว่างของคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตาที่สุด 
หรือไม่ก็หาแผ่นกรองแสงมาใช้เพิ่มก็ได้

 

โทษต่อสุขภาพกาย เช่น แสบตา, ปวดข้อมือ, ไม่รับประทานอาหาร จนแสบกระเพาะ, อดนอน ตื่นสาย ทำให้เพลีย ง่วงเวลาเรียนหรือเวลางาน เป็นต้น
     โทษต่อสุขภาพจิต เช่น เกิดความทุกข์ ไม่สุขใจ ขัดแย้งภายในจิตใจหรือขัดแย้งกับผู้คนรอบข้างได้ เพราะหากเล่นเกมและอินเตอร์เน็ต นานๆเข้าเด็กจะเกิดความรู้สึกชอบเอาชนะ เคยชินกับการแข่งขัน ต้องมีแพ้มีชนะ, เคยชินกับการได้ดังใจ เพราะเกมสั่งบังคับได้ มีความสุขหรือรู้สึกสำเร็จเมื่อสั่งได้ดังใจ, ไม่มีวินับ ไม่มีการควบคุมตนเอง ไม่บังคับตนเอง ขาดความรับผิดชอบ เพราะเมื่อเกิดความเพลิดเพลินกับการเล่นเกมแล้ว มักจะไม่ในใจทำอย่างอื่นที่สำคัญ หรือฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ความรับผิดชอบที่มีอยู่ว่าควรทำ หรือไม่ทำอะไร เช่น ไม่อ่านหนังสือ ไม่เข้านอนไม่ทานข้าว ไม่กวาดบ้าน ล้างชามตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีอยู่ หรือแม้กระทั่งเกิดพฤติกรรมหนีออกจากบ้านหลายวัน ไปกินนอนอยู่ในร้านเกม และการขโมยเงินพ่อแม่เพื่อไปเล่นเกม เป็นต้น
     โทษต่อสุขภาพ สังคม หรือทักษะทางสังคมของเด็ก เช่น เด็กจะเห็นเพื่อนเป็นศัตรูของความสนุกสนาน เพื่อนมาแย่งเล่น(หมายเหตุ - การละเล่นในอดีต เช่น วิ่งไล่จับ รีรีข้าวสาร มอญซ่อนผ้า ต้องเล่นกับเพื่อน เล่นคนเดียวไม่ได้ เพื่อนคืออุปกรณ์การ จึงต้องรู้จักคบเพื่อน เอาใจเพื่อน ไม่เช่นนั้นเพื่อนไม่เล่นด้วย) จึงไม่อยากคบเพื่อน หรือแม้อยากจะคบแต่ก็คบเพื่อนฝูงไม่ค่อยเป็นเพราะไม่ค่อยได้ฝึก ทำให้ขาดทักษะทางสังคม เพราะเด็กอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บางคนอ้างว่าการเล่นเกมออนไลน์ หรือ Chat พูดคุยกันทางอินเตอร์เน็ตก็ได้เพื่อน ซึ่งมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ว่าความสัมพันธ์ออนไลน์เป็นความสัมพันธ์ในโลกเสมือนไม่ใช่โลกแห่งความ เป็นจริง เพราะเป็ฯความสันพันธ์ที่พูดคุยกัน หรือแสดงความยินดี ความห่วงหาอาทรต่อกันได้มากโดยไม่ได้แสดงข้อเสีย เพราะไม่ได้อยู่ร่วมกันจริงๆ หรือเป็นความสัมพันธ์ที่บางคนไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริง เป็นเด็กอาจแสดงเป็นผู้ใหญ่ เป็นชายอาจแสดงเป็นหญิง เป็นคนเห็นแก่ตัวอาจแสดงตัวเป็นคนมีน้ำใจก็ได้ เพราะในโลกอินเตอร์เน็ต สามารถแสดงเป็นอะไรก็ได้ไม่มีใครรู้ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่คบหากันทางอินเตอร์เน็ตจนสนิทสนมกันแล้วนัดพบ จบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างง่ายดายอย่างที่ได้เห็นเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
     โทษต่อการผลิตผลงานของชีวิต ได้แก่ การเรียนตก เสียการเสียงาน เสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น ในกรณีที่เป็นเด็กอาจเสียความสัมพันธ์กับพ่อแม่ พี่น้อง ส่วนในกรณีที่เป็นผู้ใหญ่อาจเสียความสัมพันธ์กับคู่สามีภรรยาจนเกิดเหตุหย่า ร้างก็มีมาแล้ว หรือ อาจถึงขั้นเสียผู้เสียคร จากการมีพฤติกรรมอันธพาล ขโมยเงิน มั่วสุม เล่นการพนัน ใช้ยาเสพติด หรือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น ทางออกที่ดี คือ ความสมดุล ความสมดุลคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช้คอมพิวเตอร์หรือ อินเตอร์เน็ตเลยคงจะไม่ได้ เพราะชีวิตในอนาคตทั้งการเรียน หรือการทำงานต้องใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต แต่เล่นมากจนติดก็ไม่ดีแน่
   จึงควรเล่นแต่พอดีในยามว่างในจำนวนเวลาที่ไม่มากและเราสามารถกำหนดเวลา เล่นเกมหรืออินเตอร์เน็ตได้ เช่น หนึ่งหรือสองชั่วโมง เราอยากจะเล่น หรือเลิกเล่นเมื่อไรก็ได้ ไม่ใช่เกมหรืออินเตอร์เน็ตกำหนดเรา เรียกให้เราเล่น ทั้งๆที่เป็นเวลาที่ไม่ควรเล่น หรือบังคับไม่ให้เราเลิกทั้งๆ ที่เป็นเวลาที่ควรเลิก
        แพทย์เชื่อว่า อาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยที่ไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำให้คุณตายได้ ซึ่งเราไม่ได้กำลังพูดถึงนักเล่นเกมที่ตายหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากอดอาหาร และน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน แต่หมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กับโต๊ะ คอมพิวเตอร์
        นักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง อาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม เป็นอันตรายถึงตายได้ ลักษณะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกว่า DVT (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะชั้นที่นั่งราคาประหยัด บางทีจึงเรียกอาการนี้ว่า "economy-class sysdrome" ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปี ผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิมเตอร์ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งอาการโคม่า เนื่องจากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาของเขา ก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่ง อาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดขันอยู่ในเส้นเลือดดำ ซึ่งมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่น
        โดยอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขา จะเริ่มบวม ส่วนอาการที่อันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออก และเดินทางไปยังหัวใจ หรืออวัยวะภายในที่สำคัญๆ ซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นจะไม่อาจคาดเดาได้

โรคหรืออาการผิดปกติอันเนื่องมาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆมีดังนี้ครับ
อาการปวดตา ตาแห้ง
การมองจอคอมพิวเตอร์ก็เหมือนการจ้องไปที่ดวงไฟ เมื่อจ้องนานๆจะมีอาการปวดตา ดวงตาล้า ตาแห้ง มองภาพไม่ค่อยชัด ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ต้องหยุดครับ อย่าฝืนทำต่อ

โรคต้อกระจก
เป็นผลพวงมาจากข้อแรก เมื่อเราจ้องจอคอมพิวเตอร์มากๆ นานๆ โดยไม่มีระบบกรองแสงที่ดี สามารถส่งผลกระทบกับดวงตา ทำให้เป็นโรคต้อกระจกได้

อาการปวดหลัง เอวและต้นคอ
เป็นอาการที่เกิดจากการนั่งใรท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือนั่งบนเก้าอี้ที่ไม่อำนวยต่อการนั่งนานๆ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทำงานหน้าคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เอวและต้นคอได้ง่าย

อาการปวดนิ้วหรือนิ้วล็อค
เป็นอาการยอดฮิตของคนใช้คอมพิวเตอร์ เกิดจากการจับเมาส์หรือพิมพ์ในท่าเดิมๆเป็นเวลานานๆ (คนเล่นเกมส์มากๆต้องระวัง) ร่างกายจะสร้างพังผืดบริเวณนิ้วหรือโคนนิ้วขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถยืดนิ้วได้ตรงเช่นเดิม

โรคกระเพาะ
อาการนี้มักจะเกิดกับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์แบบบ้าระห่ำ (Computer Addiction) คือใช้แบบข้ามวันข้ามคืน ไม่สนใจอาหารการกิน แบบนี้ไม่ดีนะครับ โรคกระเพาะจะถามหา แถมเป็นโรคที่ทรมานมาก รักษาให้หายก็ใช้เวลานาน

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคนี้มักจะมาคู่กับโรคกระเพาะ คือนอกจากจะอยู่หน้าคอมโดยไม่กินข้าวกินปลาแล้ว ยังไม่ค่อยเข้าห้องน้ำอีกด้วย ถ้าไม่จวนตัวขนาดข้าศึกมาจ่อหน้าประตูเมืองละก็ อย่าได้หวัง ไม่ลุกง่ายๆหรอก อันตรายนะครับโรคนี้ ทรมานมากๆ ใครไม่เจอกับตัวไม่รู้ ปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออก ออกก็กระปิบกระปอย เจ็บแสบไปหมด

อาการหรือโรคด้านบนนั้นเป็นเฉพาะอาการที่เจอกันมากๆนะครับ ความจริงแล้วยังมีมากกว่านี้ เช่นเป็นโรคกรดไหลย้อนอันเนื่องมากจากโรคกระเพาะ ยังไม่นับคำพูดถากถางจากครอบครัวและคนรอบข้าง ซึ่งเป็นอาการทางสังคมอีก

ดังนั้นการใช้คอมพิวเตอร์เราต้องมีวินัยในตัวเองเสียหน่อยครับ ต้องดูแลตัวเองบ้าง อย่าปล่อยเลยตามเลย มาดูกันครับว่าเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆ
- อย่าอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เกินครั้งละ 1 ชั่วโมง เมื่อครบชั่วโมง ควรลุกขึ้นบิดร่างกายแขนขาบ้าง เดินออกไปนอกห้อง มองต้นไม้ ใบไม้ สีเขียวๆ ซัก 5-10 นาที ค่อยกลับมาทำงานใหม่
- อย่ากลั้นไม่เข้าห้องน้ำ เมื่อมีอาการอยากเข้าห้องน้ำให้เข้าทันที ไม่เช่นนั้น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและท้องผูกจะมาเยือน
- อย่าอดอาหาร เมื่อถึงเวลาอาหารต้องหยุดใช้คอมพิวเตอร์ทันที เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ พักสัก 10-15 นาที ค่อยกลับมาทำงานใหม่
- ใช้แว่นตาแบบตัดแสงที่ใช้กับคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ เพื่อป้องกันดวงตา
- ใช้เก้าอี้ที่เหมาะสมกับการใช้หน้าคอมพิวเตอร์ สามารถเอนได้มากๆหน่อย เพื่อให้เราไม่ต้องนั่งอยู่ท่าเดิมตลอดเวลา
- ระหว่างใช้งานเมาส์และแป้นพิมพ์ ให้หยุดเป็นระยะเพื่อบริหารนิ้ว ยืดนิ้วบ้าง เพื่อป้องกันอาการนิ้วล็อค

 

 



ความเห็น (4)

ข้อเขียนที่ยาวมาก ควรเป็น “บันทึก” แทน “อนุทิน” ครับ ;)…

ชอบนะ ดี มีประโยชน์ ควรค่ากับทุกคน เพื่อสุขภาพของเพื่อนชาวโกทูโน ย้ายลงบันทึกก็จะเป็นพระคุณนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท