เช้านี้ หมอกควันที่ปกคลุมถนนคดโค้งหนาทึบ จนแทบจะไม่เห็นแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านใบไม้หนาทึบลงมา
เธอคว้าชายเสื้อกันหนาวที่สะบัดด้วยแรงลมให้กระชับตัว เมื่อรถสองแถวแล่นเข้ามาจอดรับอย่างกระทันหัน
แรงลมพัดหอบฝุ่นที่คลุ้งเข้าโปรยปรายให้กับคนโดยสารเกือบทั้งคันรถ
บางคนก็หันมามองเธอที่งกเงิ่นขึ้นด้านท้ายรถอย่างไม่คุ้นเคย แต่อีกหลายคนแค่เหลือบตามองก่อนจะหลับตาต่อ
รถสองแถวระหว่างจังหวัดตอนเช้ามืดจะแน่นไปด้วยผู้คนที่ต้องเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนมากคือผู้หญิงและเด็กนักเรียน
เบียดสะโพกเข้านั่งตัวลีบตรงท้ายรถ
นึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้นั่งตอนท้าย
อย่างน้อยกลิ่นที่ติดตัวจะไม่รบกวนใคร
ถ้าเพียงแต่รถส่วนตัวไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้องมานั่งอึดอัดใจอย่างนี้ เธอนึกในใจ
เธอเอียงคอมองลอดช่วงแขนของผู้ชายที่ยืนโหนตรงบันไดรถออกไปข้างนอก จนเกือบเมื่อยคอ แต่ดูเหมือนว่าผู้โดยสารคนอื่นก็คุ้นชินกับท่านั่งเอียงคอ จะเพราะไม่ต้องอึดอัดกับการมองหน้าคนตรงข้ามในรถที่แน่นอย่างนั้นหรือเพราะกระโปรงแคบบังคับก็สุดคาดเดา
บรรยากาศรอบตัวเหมือนจะรัดแน่น ตำแหน่งหน้าที่การงานดูเหมือนจะไร้ค่าเมื่อต้องมานั่งเบียดคนในที่แคบๆ
ขอเพียงเอาตัวรอด พยายามเบี่ยงตัวไม่ให้สัมผัสใครที่นั่งใกล้ และระวังหลบลมหายใจของของคนที่นั่งติดกันได้ ก็เป็นผลสำเร็จที่เพียงพอแล้ว
"ป้าลงไหน"
คนขับรถอายุประมาณสามสิบถามเธอก่อนจะคำนวณค่าโดยสาร
"ป้า" คำนี้เรียกสายตาคนอื่นได้พอสมควร
หลายคนหันมามองอย่างผาดๆ เมื่อเธอสบตาก็เมินหนี
ก็คงน่าสนใจดี เธอคิดอย่างขมขื่น
ผู้หญิงวัยสี่สิบอย่างเธอ ผมสั้นกระเซิงด้วยแรงลม ใส่แว่นสายตา หน้าไม่แต่ง ถึงผิวพรรณสะอาด เล็บตัดสั้นไม่เคลือบ แต่สวมกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ แถมมีกลิ่นกระเทียมติดมือแต่เช้า ดูจะผิดแผกจากคนทำงานคนอื่นไม่น้อย
เช้าๆ อย่างนี้ เกือบทุกคนในรถที่ส่วนมากอยู่ในวัยเดียวกับเธออยู่ในชุดสวยงาม กระโปรงสั้น รองเท้าส้นสูง แต่งหน้าเคลือบสีเล็บ น้ำหอมกรุ่นติดตัว ถึงสายตาอิดโรย ไม่มีแววมิตรภาพ ก็ตาม
เธอบอกสถานที่และจ่ายเงินด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับคนอื่นๆ
.....
บ่ายแล้ว
เมื่อเสร็จธุระจากโรงพยาบาลที่ไปตรวจตามนัด
บนรถโดยสารสายเดิม
เธอวางของพะรุงพะรังบนตัก
นึกถึงคำของหมอผู้หญิงวัยต้นๆยี่สิบเมื่อเช้า
"พี่ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ
ผิวหน้าหนาวก็จะคันง่าย เป็นผื่นได้ง่าย ก็ตามวัยด้วยนะคะ อายุเยอะขึ้นก็จะแพ้ง่ายเป็นธรรมดา ก็อย่าอาบน้ำนานนะคะ ทาโลชั่นมากหน่อยนะคะ"
..
"น้องไปลงไหน"
เสียงของผู้หญิงอีกคนวัยเกือบสี่สิบที่นั่งติดกันเรียกเธอกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน
บนตักของเธอคนนั้นก็มีแต่เข้าของ ส่วนมากเป็นของกินของใช้เหมือนกัน
"ซื้อปลาไปทำอะไร"
เธอถามต่อแบบมีไมตรี ก่อนที่ผู้หญิงวัยเดียวกันคนอื่นๆในรถจะเข้าร่วมสนทนา
"ทำงานหรือเปล่า"
"เรียนอะไรมา"
เธอขยับตัวกับคำถามเรื่องส่วนตัวเหล่านั้น
นี่ถ้ารถส่วนตัวไม่เสีย ก็ไม่ต้องมานั่งอึดอัดอย่างนี้ เธอคิดอีกรอบ
แต่ดูเหมือนคำถามเหล่านั้นเป็นแค่หัวข้อสนทนาปกติของผู้หญิงชาวบ้านวัยกลางคน
และไม่มีใครสนใจมากนักที่เธอจะไม่ค่อยตอบคำถาม
แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
"ไม่ไหวนะ ของแพงเดี๋ยวนี้ ซื้อของกินทีใจหาย"
"นั่นซิ แล้วเดี๋ยวนี้ซื้อกับข้าวสำเร็จไม่พอกินเหมือนเมื่อก่อน"
"แต่ลูกไม่กินที่ทำหรอกนะ เขาว่าไม่ทันไปโรงเรียน ต้องไปซื้อกิน"
"โอ๊ยผู้หญิงเดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำกับข้าวกันแล้วล่ะ เราพวกที่ทำอยู่เนี่ย พวกโบราณ"
"คนเดี๋ยวนี้ไม่ทำกับข้าวกินเองแล้ว อย่างไก่ หมู ปลา เนี่ยลูกบอกว่าไปซื้อที่เขาทำซิ ง่ายดี มือไม่เหม็นด้วย แต่ก็ชอบทำเองมากกว่า อยากกินรสไหนก็ได้"
"กับข้าวสำเร็จรูปเดี๋ยวเนี่ยใส่สารอะไรบ้างก็ไม่รู้"
"แฟนไม่กินกับข้าวนอกบ้าน ต้องเราทำเอง เปิ้นว่ากินนอกบ้าน กินไม่อร่อย"
เธอกวาดสายตาผ่านอย่างทั่วถึงทั้งคันรถอย่างสบายใจ
ผู้หญิงเกือบทั้งคันรถ
ค่อนข้างท้วม เสื้อสำเร็จรูปที่ไม่ค่อยเข้ารูปนัก กางเกงขายาว
บ้างแต่งหน้า บ้างไม่แต่ง ฝ้ากระจายแถวโหนกแก้ม
เล็บมือไม่เคลือบ นิ้วแห้งแตก
มีของกินวางเต็มตัก
คุยและหัวเราะเสียงดัง
ต่างก็เรียกตัวเองเป็นป้ากับคนขับรถอย่างไม่ขัดเขิน
เธอ แอบยกมือขึ้นดม
กลิ่นกระเทียมทำกับข้าวให้ครอบครัวเมื่อเช้าเริ่มจาง
แต่กลิ่นไมตรีที่กำจายเต็มคันรถเริ่มแทรกเข้าเนื้อตัวของเธอ
บางทีการที่รถส่วนตัวเสีย ก็ดีเหมือนกัน เธอนึกในใจ
อย่างน้อยก็ทำให้ได้เรียนรู้ความหลากหลายของผู้หญิงวัยกลางคนถึงจะอยู่ในสังคมไทยเดียวกันก็ตาม
แล้วสังคมไทยควรเป็นอย่างไหนนะ ที่จะทำให้ผู้หญิงวัยกลางคนอยู่ได้อย่างมีความสุข
เมื่อ พ. 08 มี.ค. 2549 @ 22:13 [14617]
การรวมกลุ่มนะ..ผมว่า
ผู้หญิงวัยนี้ น่าจะมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่ทุกคนในกลุ่มช่วยกันคิดช่วยกันวางแผน
พวกเธอผ่านอะไรมามากพอที่จะทำประโยชน์กับสังคมอย่างจริงจังและไม่ท้อถอยถือว่ามากด้วยประสบการณ์
เสียดายที่สังคมเราขาดการรวมกลุ่มแบบที่ไม่ใช่การสุมหัวแบบไทยๆ
เมื่อ อา. 08 เม.ย. 2550 @ 18:31 [217535]
น่ารักจังเลยค่ะ...อาจารย์จันทรรัตน์
ดิฉันชอบเรื่องนี้มากค่ะ เลยเข้ามาเรียนขออนุญาต ให้เด็กๆอ่านและจับแก่นของเรื่อง ในรายวิชาการเขียนสร้างสรรค์เชิงวารสารศาสตร์นะคะ เด็กๆจะได้ข้อคิดที่ดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ของเขา ส่วนใหญ่อยู่ในวัยนี้ค่ะ
เมื่อ จ. 09 เม.ย. 2550 @ 00:00 [217905]
ขอบคุณค่ะ อาจารย์ ดอกไม้ทะเล
ด้วยความยินดีค่ะ ถ้าบันทึกจะเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
เป็นวิธีเขียนที่เอามาทดลองทำค่ะ คือการบันทึกถอดบทสะท้อนของความคิดและอารมณ์ โดยใช้ข้อมูลและประสบการณ์ .........
แต่บางทีนักวิชาการอาจจะไม่ค่อยมองว่าเป็นเรื่องของความรู้ ...ในการประเมินบทความนักวิชาการส่วนมากจึงมักจะเน้นรูปแบบการเขียนที่มีกรอบ คือเริ่มด้วยบทนำ เนื้อเรื่อง สรุป ว่าเป็นลักษณะวิชาการที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งของสร้างความรู้คิดว่าผ่านขบวนการของการมีภาพเกิดขึ้นในใจ แล้วจึงถ่ายทอดลงไปเป็นตัวอักษรอีกที....
อาจจะไม่ตรงกับวิชาการแบบที่เห็นทั่วไปนะคะ...เพราะโดยส่วนตัวคิดว่า...ถ้าไม่ยึดแน่นกับความคิดใดความคิดหนึ่ง..การถ่ายทอดความรู้ ก็มีได้หลายแบบ มีบล็อกอยู่แล้วก็เลยลองเขียน เผื่อบางทีอาจจะเจอคนที่คิดคล้ายๆกันบ้างน่ะค่ะ
ถ้าอาจารย์จะพอมีเวลาเล่าให้ฟังนะคะ อยากทราบว่าเด็กๆ อ่านแล้วจะให้ข้อคิดกลับอบ่างไรบ้าง
ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เมื่อ อ. 10 เม.ย. 2550 @ 14:48 [219870]
ดิฉันคิดว่า การเขียนด้วยภาษาสร้างสรรค์ ถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนความเป็นไปในแง่มุมต่างๆของชีวิตมนุษย์เช่นนี้ มีค่าต่อจิตใจอย่างสูงค่ะอาจารย์
สงสัยจะเป็นเพราะว่า ภาษาที่เขียนแบบสร้างสรรค์ เป็นภาษาที่เอื้อต่อการถ่ายทอดเรื่องราว อันเนื่องด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ อันเป็นรูปแบบรับรู้ของจิตใจมนุษย์
(ใจ รู้ร้อน รู้หนาว รู้เจ็บ รู้ปวด รู้สุข รู้ทุกข์ )
อ่านข้อเขียนและข้อคิดที่อาจารย์เขียนไว้ทุกบล็อกแล้วนี้ ทำให้ดิฉันเห็นจริง ด้วยภาษาง่ายๆ สั้น กระชับ จับใจ ตรงไปตรงมา แบบผู้มองและเห็นธรรมดาของชีวิต
ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกสบายกายสบายใจ มีความเบิกบานใจที่จะทำงานที่เราเชื่อ ในวิธีที่เราถนัด ต่อไปอย่างมีความสุขอะค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ ที่อนุญาตให้เผยแพร่บันทึกนี้ในรายวิชาแก่นักศึกษา เปิดเทอมนี้ดิฉันจะเข้ามารายงานผลให้อาจารย์ทราบเป็นระยะๆนะคะ
เมื่อ อ. 10 เม.ย. 2550 @ 20:52 [220298]
ขอบคุณค่ะ อาจารย์ ดอกไม้ทะเล
ดีใจที่อาจารย์มีความเบิกบานและมีความสุขค่ะ
โลกของความสุขอยู่ในใจแท้ๆ แต่หลายๆคนหาไปเจอ เมื่ออาจารย์ได้เจอแล้ว และยังมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่มีความสุขจึงเป็นเรื่องน่ายินดีมากค่ะ
หากความรู้ทางสตรีจะเป็นประโยชน์ในการสอนนักศึกษาก็ยินดีค่ะ