ในหัวข้อระยะสุดท้ายของชีวิต หรือ ในมรณวิถี เราใช้วิธีเรียนผ่านการเล่าประสบการณ์หรือตั้งคำถามแล้วแลกเปลี่ยนในกลุ่มย่อย ซึ่งผู้เรียนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆละ ๑๐ คน
เราจำเป็นต้องรู้เวลาตายของคนไข้หรือเปล่า
คำถามข้างบนเป็นคำถามของผมที่โยนเข้ากลุ่มเป็นคนแรก เพราะกลัวพวกอินเดียแย่งพูดก่อน
คำถามนี้เกิดจากคำบ่นจากเพื่อนพยาบาลที่ผมเคยได้ยินมาว่า ตอนที่คนไข้ใกล้เสียชีวิต สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นภาระมากก็คือ การเข้าไปตรวจสัญญาณชีพของคนไข้เป็นระยะๆ ราวกับว่า เราอยากจะรู้ว่า เขาเสียชีวิตตอนไหน จะได้มาบันทึกเวลาที่แน่นอน ถ้าไม่ทำพอใครถามแล้วตอบไม่ได้ มันเหมือนไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่
บางครั้งถึงกับเอาเครื่องมาตั้งดูเส้นกราฟกันเลยก็มี แบบให้เห็นกันจะจะ ทั้งๆสิ่งนี้ต้องเรียกว่า เป็นการรบกวนความสงบของคนไข้ในขณะที่กำลังถึงลมหายใจสุดท้าย รบกวนเวลาที่คนไข้กับญาติจะได้มีเวลาส่วนตัว
ผมถามกลุ่มว่า มีใครมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง แล้วเห็นว่าการทำแบบนี้เป็นอย่างไร
แน่นอนครับ เรื่องรบกวนความสงบของคนไข้เป็นสิ่งสะท้อนตรงกันหมดในคนทำงานด้านการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย การทำเช่นนั้น เป็นการให้ความสนใจสิ่งที่เป็นเรื่องของเรา..ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา ของพยาบาลของหมอ มากกว่าให้ความสำคัญกับคนไข้ในฐานะ..ความเป็นคน
แต่ก็มีบางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเสียงจากจีน จะบอกว่าครอบครัวของคนไข้เองนั่นแหละ เป็นคนขอร้องให้พยาบาลทำ เพราะตัวเลขของเวลาเหล่านั้นล้วนมีความหมายสำคัญต่อคนไข้และคนในครอบครัวต่อไป
ความเห็นที่ช่วยกันเสนอ
<< APHN Diploma of Palliative Care ๗: ฉันต้องหาย..ต้องหาย แล้วไง
สำหรับผมแล้ว..ในวาระสุดท้ายของชีวิตน่าจะมีโลกส่วนตัวอยู่กับคนที่เรารัก หรืออยู่กับสิ่งที่เรารัก หรืออยู่กับความดีงามอย่างใดอย่างหนึ่งครับ...
อาจารย์ย่ามแดง ครับ
"แทนที่จะเข้าไปจับแต่ชีพจร วัดความดัน น่าจะเข้าไปจับอารมณ์ วัดความรู้สึกของคนไข้และญาติด้วยปฏิสัมพันธ์อย่างอื่นบ้าง"
ผมชอบประโยคนี้ครับ
ส่วนเรื่องการรู้เวลาตายนั้น ในช่วงสุดท้ายของชีวิตสำหรับผู้ป่วยคงอยากได้ความสงบและอาจจะไม่ได้ถือเป็นประเด็นสำคัญ ส่วนในฝ่ายญาติพี่น้องนัน้คงแล้วแต่บุคคล บางทีญาติหลายรายมองการวัดสัญญาณชีพเป็นเครื่องหมายของการดูแลทางการแพทย์ ในความเห็นผมคงทำในสิ่งที่ไม่รบกวนผู้ป่วยมากเกินไปแต่ให้ความใส่ใจต่อความรู้สึก/อารมณ์+ทำตามความต้องการสุดท้ายของผู้ป่วยและญาติให้มากที่สุดครับ
เพิ่งมาอ่านค่ะ อ่านแล้วนึกขึ้นได้เลยว่า คนจีนจะให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาการตายของบรรพบุรุษมาก ยกตัวอย่างเช่น จากประสบการณ์ตรงของดิฉันเลยคือ ตอนพ่อใกล้จะสิ้นลม มีผู้ใหญ่บางคนมาบอกว่า ต้องให้พ้นเที่ยงคืนไปนะ แล้วลูกหลานถึงจะได้มีกินมีใช้ โธ่ พ่อของดิฉันจะสิ้นลมอยู่แล้ว ตอนประมาณหกโมงเย็น ขืนต้องมาเชื่อถือแบบนี้ พ่อคงทรมาณจาการพยายามยื้อชีวิตต่อเนื่องด้วยการใส่สายระโยงระยาง
สุดท้าย พ่อดิฉันสิ้นใจอย่างสงบค่ะ ไม่มีกระบวนการยื้อชีวิต ส่วนการที่ลูกหลานจะร่ำรวยหรือไม่นั้นคงอยู่ที่หลายเหตุหลายปัจจัยของแต่ละคน