คิดถึงบ้านเมื่อฟ้าลั่น


เป็นสิ่งที่ติดในความรู้สึกตั้งแตเด็ก ๆ เมื่อจากบ้าน

            วันนี้ 12 พ.ค.50 นั่งทำงานที่บ้านตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว  เนื่องจากพรุ่งนี้  ต้องเดินทางไปจังหวัดตรัง  ตามที่นัด อ.จำนง (ครูนงเมืองคอน)ไว้ว่าเจอกันที่คิวรถตู้ นคร-ตรัง เวลาบ่ายสองโมง แลที่ทราบมี"ครูราญเมืองคอน"ร่วมด้วย   การไปจังหวัดตรังเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันมากกว่าที่จะเป็นวิทยากร ตามที่น้อง อ."ชายขอบ" (อ.อนุชา หนูนุ่น) ประสานงานมา  F2F กันอีกครัง และ ได้ร่วมภารกิจอันสำคัญที่ผมอยากร่วมอยู้แล้วเพราะผมไม่ขาดทุนอะไร  เมื่อได้เจอคนเก่ง

             เหมือนชื่อบันทึกเขียนหลอกๆไว้ว่ามั๊ยครับ   เพราะย่อหน้าแรกเขียนไปคนละเรื่องเลย  ขณะที่ผมเขียนบันทึกนี้ฟ้าร้อง ฮือ ๆ เบา ท้องฟ้าครึ้มสลัว ลมพัดเอื่อย ๆ เป็นบรรยากาศอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมคิดถึงบ้าน คิดถึง พ่อ และแม่  บ้านที่ว่าก็คือบ้านที่ผมเกิดฝังรกที่นั่น  แม้ตอนนี้มีครอบครัวมีบ้านตัวเองแต่บรรยากาศเหล่านั้นยังฝังความรู้สึกอยู่เสมอ

             ตอนเรียน ชั้นประถม  พี่สาวเรียนมัธยมมาอาศัยบ้านป้า(พี่สาวของแม่) ที่อำเภอทุ่งสง  พี่สาวกลับบ้านปิดเทอม ผมติดตามมาเที่ยวบ้านป้าด้วยเมื่อพี่กลับมาเรียนเปิดก่อนผม  ในสมัยนั้นถือว่าผมเข้าเมืองสำหรับผมที่มาจากชนบท  นั่งรถไฟมาทางเดียวที่มาทุ่งสงได้  ตอนมาถึงเรารู้สึกตื่นตาตื่นใจสนุกสถานที่ได้เจอเพื่อนใหม่ เห็นอะไรหลายอย่างที่บ้านชนบทไม่มีที่นี่มีไฟฟ้า มีน้ำประปา

             เวลาเดียวกันกับวันนี้ครับ  บรรยายกาศคล้าย ๆ กัน   ผิดกันที่วันนั้นที่บ้านป้าไม่มีลมพัด ฟ้าลั่น(เป็นคำที่บ้านผมพูดกัน มันคือฟ้าร้อง)  ครึ้มฝน  ผมลืมเพื่อนลืมของใหม่ทันที  กลับคิดถึงบ้านคิดถึงพ่อและแม่จับใจ   ผมคิดว่าในวันนั้นถ้าผมเดินกลับบ้านได้ผมจะทำทันที  หลับตาลงเห็นภาพที่บ้านทันที 

             เช่ารุ่งขึ้นผมเข็ดเลยครับไม่อยู่ต่ออีกทั้ง ๆ ที่บอกพี่สาวว่ามาอยู่สักอาทิตย์  ที่ไหนได้ครับวันเดียวจะแย่อยู่แล้ว

             อาการคิดถึงบ้าน  ผู้หลักผู้ใหญ่มักหยอกล่อเราตอนเด็ก ๆ ว่าจะไปอยู่ไหนได้  เพราะใจไม่เข้มแข็งพอ  และนั้นคือสมัยก่อนที่เขาอยากให้เราลืมบ้านบ้างเพื่อการเรียนการศึกษาพัฒนาตนเอง  หากเราจากบ้านไม่ได้เราก็ไม่มีความเจริญในชีวิต(ผู้ใหญ่ว่าเมื่อก่อน)  

            แต่คงผิดกันกับสมัยนี้แล้วละครับ  เพราะหลายคนออกจากบ้านไปแล้วไม่อยากกลับบ้าน  เพราะมีความคิดที่ว่ามันลำบากเหลือเกินหนีไปให้พ้น  ขายที่ ขายนา ขายบ้านก่า ไปอยู่ที่อื่น ทิ้งพี่ทิ้งน้องไป   แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่ตนเองลำบากหมดที่พึ่ง  เพราะไปอยูต่างบ้านต่างเมืองจะพึ่งใครได้   คิดได้ก็สาย   ก็กลับบ้านเดิม   และมาพึ่งใบบุญญาติเก่า เหมือนเดิม  แต่กลับมาก็มาแต่ตัวทรัพย์สมบัติเดิมขายไปหมดแล้ว แบบนี้มีให้เห็นมากในชุมชนที่ผมเคยเข้าไปทำงาน 

            ผมไม่อายที่จะบอกใคร ๆ ว่าคิดถึงบ้านเมื่อตอนเด็ก ๆ เพราะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ใครเมื่อได้ยินเราพูดว่าคิดถึงบ้านเขาชื่นชมว่าเราเป็นคนไม่ลืมหลัง  และช่วยเตือนสติให้อย่างมากในช่วงที่เราเสียกำลังใจ  กับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่  ได้รู้ว่าแค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้วถ้าเทียบกับอดีตเราเติมให้กับชีวิตมากพอสมควรแล้ว  ถึงแม้นไม่ดีเลิศก็ตาม ทำให้หายโล่งและมีความสุขดีทันที   

            ฝนเทลงมาแล้วตอนนี้  นี่ถ้าเป็นตอนเด็กเราก็ตัดใบกล้วย  ใบบอนขนาดใหญ่กางเดินกลับจากโรงเรียนโดยไม่ต้องพกพาร่มเหมือนสมัยนี้  เลิกเรียนถ้าเดินผ่านบ้านผู้เฒ่าผู้แก่จะดุเราแบบเป็นห่วงว่าทำไม่ฝนจะตกแล้วไม่ตัด "ทางกล้วย"(ใบกล้วย)  ถือเตรียมไว้เดี๋ยวถูกฝน(โดนฝน) เย็น(หนาว)จะเป็นหวัด พูดแล้วก็เรียกให้เราไปเอาที่ท่านเพราะท่านเตรียมพร้ามาแล้วพร้อมที่จะตัดให้เรา  นี่คือวิถีชีวิตความเอื้ออาทรของคนสมัยเมื่อผมวัยเด็ก  ผมเสียดายที่สิ่งเหล่านั้นหายไปหมดแล้วก็ว่าได้ในขณะนี้  เมื่อเป็นอย่างนี้คงห้ามกันไม่ได้หรอกครับที่จะไม่ให้คิดถึงบ้านเมื่อฟ้าลั่น

คำสำคัญ (Tags): #คิดถึงบ้าน
หมายเลขบันทึก: 95815เขียนเมื่อ 12 พฤษภาคม 2007 15:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
  • สวัสดีครับ
  • เดือนหก  ฝนตก  กบฮ้อง  ..หัวใจฮ่ำฮอน  คิดฮอดบ้าน
  • ...
  • ผมเองก็คิดถึงบ้านเหลือทน... http://gotoknow.org/blog/pandin/95445

 

พี่ชาญวิทย์เล่าได้ยอดเยี่ยมมากครับ

นโยบายจังหวัดอยู่ดีมีสุขจะช่วยให้ความทรงจำหนหลังกลับมาได้มั้ยครับ

  • ฟ้าลั่น...ผมนึกถึงเมื่อตอนเดินจูงวัวอยู่กลางทุ่งนา ฟ้าครึ้ม ลมพัดแรง ฝนตกหนัก ฟ้าแลบด้วย..อีกไกลกว่ากจะถึงบ้าน น่ากลัวจัง...
  • ตื่นเต้น.... กลัว...กลายเป็นประทับใจไปเลย...พอฟ้าลั่นก็เกิดอาการคิดถึงบ้านเหมือนกันครับ
  • เข้ามาครั้งนี้เหมือนได้ท่องวิมานครับ สดใน สวยงาม แปลกตาดีจัง
  • พรุ่งนี้เจอกันตามนัดครับ บ่ายสองโมง

เรียน คุณแผ่น

  • ตามท่านไปแล้วย้อนกลับมา  ดูบทกวีของท่านแล้วกินใจตามสภาพบทกวีนั้นจริง ๆ ขอบคุณนะครับที่มาทัก ในโอกาสต่อไปคงได้แลกเปลี่ยนกันอีกเยอะครับ

เรียน อาจารย์ภีม ครับ

  • ขอบคุณครับที่แวะมาทักกัน  เรื่องอยู่ดีมีสุข บูรณาการโครงการได้ทุกโครงการอยู่แล้ว  น่าจะเหลือที่ต้องทำคือบูรณาการคน บูรณาการความคิด ถ้าคิดเหมือนท่านผู้ว่า ฯ วิชม ทองสงค์ ทุกคนทุกฝ่ายก็ไม่ยากเลยครับ
  • เมื่อ 2-3 วันก่อนได้ไปสังเกตการณ์  การพิจารณาโครงการที่อำเภอส่งเข้ามา ที่ห้องประชุมศาลกลางเก่าครับ  มีหลายโครงการที่ดี ในเรื่องการพัฒนาคน ครับ

เรียน อ.จำนง

  • บ่าย 2 โมงวันนี้เจอกันครับ
  • มีเวลาก็เรียนรู้เรื่องการตกแต่งลองดู  ก็ตระเวนดูคำแนะนำที่ท่านสมชิกบอกไว้ และสร้างไว้ให้แล้วครับ

เรียน คุณชาญวิทย์และครูนง

      กลับจากตรังคงได้อ่านเรื่องราวดี ๆ จากทั้ง 2 ท่านอย่างแน่นอน จะอดใจรอค่ะ สำคัญว่าทั้ง 2 ท่าน อย่าไปนานจน คนที่บ้านคิดถึง (คนละเรื่องเดียวกันกับ คิดถึงบ้าน)  เข้ามาหยอก คงไม่ว่ากันนะคะ 

  • เดี๋ยวนี้ ใบกล้วย ใบบอน หายากแล้วครับ
  • ที่ที่ยากกว่าคื่อ ความเอื้ออาทร ที่เราสัมผัสมาเมื่อเราเด็กๆครับ
  • แล้วเราจะได้สิ่งเหล่านี้กลับมาได้อย่างไรครับ???

ฟ้าลั่น...คิดถึงมะม่วงค่ะ ^---^

ไม่ค่อยชอบเวลาฟ้าร้อง (คำราม) เท่าไหร่ค่ะ  ฟังดูน่ากลัว จำได้ว่าตอนเด็กๆ จะคลุมโปงมุดผ้าห่มทุกที  เวลาที่ฟ้าร้อง

มักจะคิดถึงบ้านเวลาฝนตกพรำๆ  กบ เขียด อึ่งอ่าง ร้องระงม...นึกถึงเมื่อตอนเด็กๆ ถ้าฝนตกพ่อต้องออกไปหาปลา

  • อ่านบันทึกของพี่ชาญวิทย์แล้ว เหมือนกับได้อ่านนิยายของนักเขียนอาชีพครับ
  • ทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนเป็นเด็กๆ เหมือนคุณนิดหน่อยเลยครับ

 

สวัสดีครับ  คุณ oddy

                ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม  ก็เพิ่งกลับมาไปหลายวันก็ต้องกลับมาเร่งงานนะครับ ดีครับสร้างบรรยากาศพูดเล่นกับบ้าง

ท่านน้อง หนุ่มเมืองร้อยเกาะ

                ใบกล้วย ใบบอน อาจยังหาได้อยู่  แต่ความเอื้ออาทรนั้นหายาก  และไม่ค่อยมีด้วย อยากได้คงต้องซื้อ   แต่ที่มีให้ซื้อคือของปลอม 100 เปอร์เซ็นต์  ไม่ได้แก่น  ของแท้ต้องเป็นแบบแจก

สวัสดีครับ คุณนิดหน่อย คิดถึงบ้านเวลาฟ้าลั่นฝนตกแม้นหัวใจหดหู่  แต่ก็มีความสุขที่นึกถึงบรรยากาศเหล่านั้นครับ  ขอบคุณที่มาเยี่ยม
ดีใจ ที่บันทึกนี้ทำให้น้องสิงห์ป่าสัก  หวลกลับเป็นเด็กในใจอีกครั้งครับ  ขอบคุณหลาย

เรียน  พี่สุวิทย์

 อ่านเรื่องเล่าของพี่แล้วนึกถึงอดึต สมัยพ.ศ2514 -15สมัยท่นั่งรถ(ห้อยโหน)รถรับส่งนักเรียนของอสย.มาเรียนท่ สหมิตรบำรุง  เรื่องท่เขียน(เล่า)มีประโยขน์มากสำหรับมือใหม่หัดขับ(KM) ติดตามมา10 กว่าวันแล้ว (เพิ่งจะเปิด COM เป็น)

เรียน น้องจุก(ไมตรี)

  • ขอบคุณมากที่มาเยี่ยม  พบเพื่อนเก่าเรียกชื่อเก่าให้หวลคิดถึงเรื่องราวมากมาย  บรรยากาศหนึ่งที่เจ็บปวดจำไม่ลืม ในทีรอรถเราสองคน คือ บางวันเห็นรถที่รอวิ่งผ่านไปก่อนที่มาถึงจุดนัดหมายแต่รถไม่เห็นพี่  วิ่งตามหลังรถมาหลายสิบเมตรแต่ก็ไม่มีใครเห็น  ต้องเดินกลับบ้านคอตกน้ำตาซึม
  • เขียนแลกเปลี่ยนกันบ้างน่ะ ไม่แน่ใจตอนนี้ที่บ้านน้องจุกเดิมใครอยู่กันบ้าง
  • ดีใจมากที่ได้เจอทาง Blog นี้
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท