โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) ได้จัดค่ายวิทยาศาสตร์ขึ้นที่ ภูเรือ จ.เลย ระหว่างวันที่ 5-8 พค 50 มีเยาวชนเข้าร่วม 47 คน
เยาวชนที่ร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ นอกจากนี้ยังมีพื้นฐานจิตใจดี และที่สำคัญคือเปิดใจกว้างสำหรับความรู้ใหม่ และไม่หยุดยั้งในการพัฒนาตนเอง เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
เยาวชนในค่ายมาจากหลากหลายชั้นเรียน และหลากสถาบัน นอกเหนือจากการเรียนในชั้นเรียนปรกติ เยาวชนในโครงการต้องหาโอกาสทำงานวิจัยกับนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง เพื่อให้เยาวชนทำงานวิจัยเป็น ตระหนักถึงความสำคัญของการวิจัย คุ้นเคยกับบรรยากาศการวิจัย รู้จักนักวิจัยมืออาชีพ และมีทัศนคติที่ดีต่อการวิจัย
เนื่องจากเยาวชนแต่ละคนมีประสบการณ์การวิจัยที่แตกต่างกัน ทีมงานจึงได้ทำกิจกรรมการจัดการความรู้ โดยได้แบ่งเยาวชนเป็น 4 กลุ่มๆ ละประมาณ 12 คน โดยให้แต่ละคนในแต่ละกลุ่มเล่าประสบการณ์ชีวิตในเชิงบวกในหัวข้อ "การทำงานวิจัยที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ"
น่าประหลาดใจมากที่เด็กๆ เหล่านี้มีจิตวิญญาณของการแบ่งปันสูงมาก ทุกคนเล่าเรื่องราวของตัวเองอย่างสร้างสรรและมีทัศนคติที่เป็นบวก โดยหวังว่าประสบการณ์ของตนเองจะเป็นประโยชน์กับรุ่นน้อง เพื่อนๆ พี่ๆ ในขณะเล่าเรื่อง ความรู้สึกจริงจังและจริงใจได้แสดงออกมาทางสีหน้าและท่าทางของผู้เล่า ทำให้การเล่าเรื่องเปี่ยมไปด้วยพลัง และผู้ฟังก็ตั้งใจฟังอย่างชื่นชมและเปิดใจรับเต็มที่
รักพงษ์เล่าว่า เมื่อเป็นเด็ก สังคมได้บ่มเพาะให้เขาไล่ตามความสำเร็จของคนอื่น เขาต้องเก่งที่สุด ต้องเป็นที่หนึ่ง อยู่มาวันนึง รักพงษ์รู้สึกเหนื่อย จึงคิดขึ้นมาได้ว่าถึงเวลาที่ต้องเลิกไล่ตามคนอื่นเสียที เขาจึงหันมาเปิดใจเรียนรู้อย่างจริงจังด้วยความกระหายอยากรู้ มากกว่าที่จะเรียนเพื่อผลการเรียน เมื่อถึงคราวที่ต้องทำงานวิจัย รักพงษ์ก็ใช้หลักการเดียวกัน จึงทำให้เขาทำวิจัยได้อย่างดีและมีความสุข
ติ๊ดตี่เล่าว่า สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จคือการค้นหาตัวเองจนพบ เธอพบว่าเมื่อตอนเด็ก เธอทำวิจัยเรื่องไม้เท้าคนตาบอด แต่พบว่านั่นยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ ปัจจุบันเธอทำวิจัยเรื่องโรคมาลาเรียอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ
น้องบ๊งเล่าว่า การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยต้องเรียนค่อนข้างหนัก เมื่อร่วมโครงการ JSTP ต้องทำงานวิจัยไปด้วย บ๊งจึงใช้การบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการเรียนออกมาดี และงานวิจัยก็ประสบผลสำเร็จ
จากเรื่องเล่าทรงพลังทั้งหมด เด็กๆ ได้สะกัดเอาปัจจัยแห่งความสำเร็จออกมาเป็น mind map โดยกลุ่มนึงเสนอว่า ปัจจัยแห่งการทำวิจัยที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ ได้แก่
1. รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก 2. มีความอยากรู้ 3. ขยัน 4. การจดบันทึก 5. รู้จักตกตะกอนความคิด 6. ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงมือทำ 7. ทำงานอย่างต่อเนื่อง 8. มีฮีโร่ในดวงใจ 9. การจัดการเวลา 10. ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน 11. เปิดหูเปิดตา 12. หาตัวเองให้เจอ 13. ทำให้คนอื่นเห็นความสำคัญของงาน
วันนั้น (7 พค 50) ที่ภูเรือ ฝนตกเป็นละออง แต่ทุกคนกลับรู้สึกชุ่มชื่นกับความรู้และกำลังใจที่เพื่อนๆ แบ่งปันให้แก่กันและกัน
อ.เขียนได้เห็นภาพดีครับ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆในค่ายเลย
ขอบคุณอาจารย์มากครับที่มาสรุปรวบยอดให้ได้อ่านกัน ข้อคิดที่ทุกๆคนนำมาแบ่งปันกันในค่ายล้วนแล้วแต่กลั่นออกมาจากใจ และประสบการณ์ที่ตนเองได้รับจากการได้ทำงานวิจัยในโครงการ JSTP หรือไม่ก็ได้มาจากประสบการณ์ในการเรียนในแต่ละสถาบัน ซึ่งและละคนก็มีความเห็นที่น่าสนใจแตกต่างกัน การได้นำมาแลกเปลี่ยนกันนั้นทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ได้รับเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะสามารถนำมาปรับใช้กับตนเองได้แล้ว ยังจะเป็นกำลังใจ และไฟที่จะกระตุ้นให้สู้กับงานของตัวเองได้อีกด้วย
ได้ข่าวว่าจะมีการนำมารวบรวมเป็นเล่มด้วยนะครับ :)
และกิจกรรมอื่นๆภายในค่ายก็น่าประทับใจไม่แพ้กันนะครับ
เป็นการสรุปที่ดีมากเลยค่ะ ต้องขอบคุณอาจารย์มากเลยนะคะ ที่ให้สีสันกับค่ายเรา เป็นอย่างมาก จากการได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องแนวคิดนี้ ทำให้ได้คิดและนำแนวทางนี้ไปต่อยอดความคิดได้เป็นอย่างดี เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะเผยแพร่... ค่ะ
หลังจากงานครูวิทย์ฯในดวงใจเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน ไม่น่าเชื่อว่าดร.จะนำการจัดการความรู้ไปใช้ได้จริงอย่างเห็นผลและ
รวดเร็วขนาดนี้ ชื่นชมค่ะ โอกาสหน้าสคส.ขอติดตามไปจับาภาพการจัดการความรู้
ในค่ายเยาวชนด้วยน่ะค่ะ
กิจกรรมอื่นๆ ก็น่าประทับใจนะครับ ถ้าอาจารย์เอามาเล่าในนี้คงจะเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการมากเลยครับ
ตอนเริ่มต้นทำโครงงาน ผมยังเด็ก กำลังชอบเล่นรถTAMIYA เลยลองคิดดูว่า จะทำยังไงถึงจะดึงเอาจุดเด่นของของเล่นที่เราเล่นอยู่มาโยงเข้ากับโครงงานวิทยาศาสตร์ให้ได้ เพราะการที่เราได้ทำงาน กับสิ่งที่เรารัก จะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุข และสนุกกับงานที่ทำ ผมดัดแปลงรถTAMIYA ให้เป็นอุปกรณ์หลักในการทดลอง โดยใช้จุดเด่นของTAMIYA คือ เป็นอุปกรณ์ที่มีแรงเสียดทานระหว่างการเคลื่อนที่น้อยมาก ผมดัดแปลงTAMIYA ให้ยึดติดกับแผ่นอะคริลิค และเคลื่อนที่ผ่านของไหลได้ พยายามใช้สอยอุปกรณ์ที่ใกล้ตัว หาง่าย โดยดัดแปลงให้เหมาะสมกับการทดลอง เช่น การนำแท่งเหล็กฉากที่สามารถหาได้โดยง่าย มาใช้แทนรางรถ TAMIYA ที่มีราคาแพง
พยายาม ทุ่มเท แรงกาย แรงใจ ให้กับงาน ทำการทดลองให้รถTAMIYA วิ่งผ่านของไหลกว่าหลายร้อยเที่ยว เพื่อคำนวณหาผลการทดลองให้แม่นยำที่สุด แต่ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยกับงานแค่ไหน ก็ไม่ท้อถอย เพราะ มีความสุขกับงานที่เรารัก
คิดทบทวนอยู่ตลอดเวลา ว่ารูปแบบการทดลองที่ได้ทำไปแล้ว ยังมีข้อบกพร่องในส่วนใดบ้าง พยายามปรับแก้รูปแบบการทดลอง และทำการทดลองใหม่ เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
ปรึกษานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงจะชี้แนะแนวทางการทำโครงงาน ให้กลับไปคิดทบทวนเกี่ยวกับโครงงานของตนแล้ว คำสอนของนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง ยังสอดแทรกระเบียบการวิจัย เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะอันเหมาะสมของนักวิจัยที่ดีให้กับเราอีกด้วย รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์ (ปั่น) JSTP7